บทที่สี่​ วรานนท์​ ไม่ใช่​ วรนนท์​ + แจ้ง​ Ebook

1907 Words
บรรยากาศในห้องกระทะทองแดงตอนนี้ถึงจะมีเสียงร้องโหยหวนแต่ภายในใจของทั้งสามกลับเงียบสงัดราวกับกำลังยืนอยู่ในป่าช้า “เจ้าว่ากระไรนะท่านทด กระผมขอฟังใหม่อีกที” ยมบาลเทียนหวังว่าสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่จะเป็นเพียงอาการหูแว่วจากการทำงานหนัก “กระผมคิดว่า...บางทีกระผมอาจจะรับวิญญาณมาผิดตน” ยมบาลทดเอ่ยเสียงแผ่วกับเพื่อนยมบาลตรงหน้า เขากลืนน้ำลายเล็กน้อยใบหน้าซีดเผือดเหลือบมองวรานนท์พร้อมกับส่งยิ้มแห้ง “ผิดตัวงั้นเหรอท่าน!? ท่านอย่ามายิ้มแบบนี้ใส่ผมสิครับ ผมใจคอไม่ดีเลย” วรานนท์ยกมือขวาขึ้นแนบอกซ้าย ถึงแม้ตอนนี้หัวใจของเขาจะไม่เต้นอีกต่อไปแล้วแต่ตอนนี้มันเหมือนกำลังฟื้นตัวกลับมาเต้นอีกครั้งถึงแม้จะเป็นความรู้สึกทิพย์ก็ตาม “ท่านอย่าเงียบสิ พูดอะไรบ้าง! บอกผมมาว่ามันไม่จริง” เขาเพิ่งทำใจได้ไม่นานว่าตัวเขานั้นสิ้นอายุขัย ระหว่างที่รอคำตอบจากยมบาลทดเขาได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเพียงเรื่องตลก เขารับไม่ได้แน่ถ้าหากว่ามันคือเรื่องจริง “ว่าอย่างไรท่านทด?” เมื่อยมบาลเทียนเห็นยมบาลทดยังคงยืนนิ่ง เขาจึงหยิบกระดานรายชื่อจากมือของยมบาลทดมาไว้ในมือของตน “เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อ วรานนท์ ทอประกายส่องแสงใช่ไหม?” “ใช่ครับ” ยมบาลเทียนรีบค้นหารายชื่อทันที “ทำไมนามสกุลทอประกายส่องแสงถึงได้มีมากเพียงนี้” “เป็นนามสกุลของเด็กที่โตในบ้านเด็กกำพร้าทอประกายส่องแสงครับ” วรานนท์ไขความกระจ่างให้กับยมบาลเทียนและยมบาลทด “ส่วนวรนนท์นั่นน่าจะเป็นใครสักคนที่บ้านเด็กกำพร้า” ถึงแม้ชื่อของพวกเขาจะใกล้เคียงกันและอายุเท่ากันแต่วรานนท์ไม่ก็รู้จักชายที่ชื่อวรนนท์ เพราะสถานสงเคราะห์ค่อนข้างมีบริเวณพื้นที่กว้างและมีสาขาหลักและสาขาย่อยอีกประมาณสามถึงสี่ที่ นั่นจึงเป็นเห็นผลที่เขาอาจจะรู้จักเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ใช้นามกุลเดียวกันไม่ทั่วถึง “เหมือนข้าจะเจอข้อมูลของเจ้าแล้ว” ยมบาลเทียดไล่เช็กประวัติของวิญญาณตรงหน้าก็ร้องอุทานขึ้น “โอ๊ะโอ... ท่านทดดูอะไรนี่สิ” เขายื่นกระดานดำที่กำลังเผยข้อมูลของวิญญาณชายตรงหน้าพวกเขา “เก้าสิบปีอย่างนั้นหรือท่านเทียน!!! แล้วแบบนี้กระผมควรทำเช่นไรดี” ยมบาลทดถึงกับสะอึกเมื่อได้เห็นข้อมูลการสิ้นอายุขัยของวรานนท์ เขาจะสิ้นอายุอีกหกสิบหกปีข้างหน้า วิญญาณที่เขาพามาผิด...จะมีอายุถึงเก้าสิบปี “อะไรเก้าสิบครับท่าน หมายถึงอายุขัยของผมรึเปล่า?” วรานนท์ดึงกระดานดำในมือของยมบาลทดมาไว้กับตน และเมื่อได้อ่านข้อมูลเขาก็แทบทรุดตัวนั่งลงกับพื้นด้วยอาการหมดอาลัยตายอยาก “เก้าสิบปี แถมเป็นโรคชราสิ้นอายุขัยไปเองโดยปราศจากโรคภัยและอุบัติภัย” “กระผมควรทำเช่นไรดีท่านเทียน กระผมควรทำอย่างไรดี” ยมบาลทดร้อนรนกระวนกระวายใจ เดินเป็นวงกลมพยายามคิดหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดจนคิ้วแทบย้ายฝั่ง วรานนท์นั่งเหยียดขาห่อไหล่ “ท่านก็พาผมขึ้นไปส่งตอนนี้เลยได้ไหมครับ?” “ถ้าได้ข้าคงไม่เครียดให้เจ้าเห็นอย่างนี้หรอก” “แต่ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเอง ร่างผมน่าจะยังคงอยู่แบบครบสมบูรณ์นะครับท่าน” วรานนท์ลุกขึ้นยืนอย่างมีความหวัง หวังว่าจะได้กลับไปมีชีวิตอีกครั้ง “ที่นี่ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงก็จริง แต่บนโลกมนุษย์นั้นน่าจะผ่านไปหลายสิบปี” ช่วงเวลาของบนโลกมนุษย์และนรกนั้นไม่เท่ากัน เพียงหนึ่งนาทีของที่นี่คือหลายวันของบนโลกมนุษย์ “ท่านอย่าพูดเล่นสิครับ ผมไม่ตลกด้วยนะ” “เจ้าวิญญาณดวงซวย เจ้าคิดว่าท่าทางของท่านทดเหมือนการพูดเล่นอย่างนั้นรึ ป่านนี้ตอนนี้สัญลักษณ์ของเจ้าคงเหลือแค่ผงกระดูกกับชื่อเสียงที่เขียนแปะไว้หน้าโลงเท่านั้นแหละ” “แล้ว... แล้วอย่างนี้ผมควรทำยังไงดีละครับ!” วรานนท์นั่งทรุดตัวลงและเอนกายนอนแผ่อย่างหมดแรง หนทางการกลับขึ้นไปมีชีวิตเป็นเด็กหนุ่มอายุยี่สิบสี่ไปดับสิ้นลงและดูเหมือนว่าจะไร้หนทางแก้ไข้ด้วย “อืม...ทำอย่างไรดีนะ” ยมบาลเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร... มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา “ท่านไม่เดือดเนื้อร้อนใจเลยเหรอครับ? ผมตายเลยนะครับ ผมตายแล้ว!!” “เอาอย่างนี้ไหมล่ะ เจ้าก็คิดเสียว่าลงมาชดใช้กรรมล่วงหน้าอย่างไรเล่า! อย่างไรเสียกรรมของเจ้าก็ต้องได้ลงกระทะทองแดงอยู่แล้ว” ยมบาลเทียนตบเข่าดังฉาดให้กับความคิดของตน “โธ่ท่าน มันได้ที่ไหนกัน!!” วรานนท์นั่งกุมขมับ “ส่วนท่านจะเดินวนไปวนมาอีกนานไหม?” วิญญาณดวงซวยหมายถึงยมบาลทดผู้ที่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ให้เขา “ข้าซวยแน่ ข้าจะรายงานท่านพญายมราชอย่างไรดี หนักใจเหลือเกิน คราวนี้โดนปลดจากตำแหน่งรับวิญญาณแหง อุตส่าห์เลื่อนขั้นขึ้นมาได้ไม่กี่ปี ข้าต้องระเห็จกลับไปเป็นช่างซ่อมบำรุงหรือคนให้อาหารอีกาหรือเนี่ย” “เอ่อ...ขอประทานโทษนะครับท่าน ท่านอย่าเพิ่งห่วงตัวเองสิ สิ่งที่ท่านควรห่วงคือชีวิตผมทั้งชีวิตนะครับ!!” “อย่างไรเจ้าก็ตายไปแล้ว ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ แต่ชีวิตข้านี่สิยังคงต้องดำเนินต่อไป...” “อ่าวท่าน!!! โอเคงั้นเดี๋ยวผมจัดการธุระของผมเอง” วรานนท์เดินออกจากห้องกระทะทองแดงโดยไม่สนยมบาลทั้งสอง เขาเดินกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจยมบาลทั้งสองเป็นอย่างมาก เขายังไม่ถึงฆาตยังไม่ควรได้ลงมาที่นี่ ณ เวลานี้ด้วยซ้ำและยมบาลทั้งสองควรแสดงน้ำใจในการช่วยเหลือเขาบ้างสักนิดก็ยังดี วิญญาณดวงน้อย ๆ อย่างเขาคงต้องจัดการทวงความเป็นธรรมให้ตัวเองโดยการเผชิญหน้ากับท่านพญายมราชผู้เป็นใหญ่ที่สุดของสถานที่แห่งนี้เสียแล้ว วรานนท์เดินผ่านห้องลงโทษต่าง ๆ ราวกับเป็นสถานที่ที่เห็นเป็นปรกติ เขาเมินต่อเสียงร้องทรมานและร้องขอความช่วยเหลืออย่างเวทนาของวิญญาณดวงอื่น จนกระทั่งตอนนี้ด้านหน้าของเขาคือบัลลังก์สีดำน่าเกรงขาม “เจ้าชื่ออะไร? หลุดรอดกลับเข้ามาที่ห้องพิจารณาคดีได้อย่างไร?” ยมบาลรักษาการณ์บริเวณนั้นรีบทักท้วงและส่งด้ายแดงขึ้นมาพันข้อมือของวิญญาณที่หลุดรอดแอบหนีออกมา “ท่านพญายมราชอยู่ที่ไหนครับ? ผมมีเรื่องด่วนมากต้องคุยกับท่าน” “เจ้ากล้ามากนะที่บุ่มบ่ามร้องตะโกนอย่างนี้ ไหนดูสิว่าเป็นใครมาจากไหน” เขาหยิบกระดานรายชื่อประจำตัวขึ้นมา เพียงไม่นานข้อมูลของวิญญาณที่กำลังโดนด้ายแดงจองจำก็ปรากฏขึ้น “วรนนท์ ทอประกายส่องแสง เพิ่งมาถึงสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้ก็ก่อเรื่องคิดจะแหกนรกแล้วรึ สงสัยข้าคงต้องเพิ่มข้อหากระทำชั่วเพิ่มอีกสักหลายข้อเสียแล้ว” “ไม่ใช่สักหน่อย ผมชื่อวรานนท์!!” “ตกนรกแล้วยังจะพูดปดอีกรึ!” “ผมพูดความจริง... ท่านพญายมราช ท่านอยู่ที่ไหนครับผมต้องการความช่วยเหลือ ยมบาลของท่ารังแกผม ท่านพญายมราชชชชชชช~” วรานนท์พยายามดิ้นแต่ก็ไม่อาจสู้พลังของด้ายแดงได้ เขาร้องตะโกนโวยวายร้องเรียกหาท่านพญายมราชเป็นระยะ “ท่านพญายมราชชชชชชช~ ผมมาร้องขอความเป็นธรรม ช่วยผมด้วย...โอ๊ยยยยย ช่วยด้วย ปล่อยผมปล่อย” วรานนท์ร้องแหกปากตะโกนอย่างสุดเสียงในขณะที่เขาต้องฝืนทนต่อความเจ็บปวดที่มาจากด้ายแดงและยังตั้งฝืนต่อการถูกยมบาลท่านอื่น ๆ พยายามดึงตัวกลับไปยังขุมเดิมที่จากมา “ข้างนอกเอะอะวุ่นวายอะไรกัน” เสียงอันทรงพลังซึ่งเป็นความหวังเดียวของวิญญาณดวงซวยดังขึ้น ทันใดนั้นเองท่านผู้เป็นใหญ่ในปรโลกก็ปรากฏตัวออกมา ลักษณะรูปร่างของท่านผู้นี้ไม่แตกต่างจากยมบาลตนอื่น แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือความรู้สึกเกรงกลัวและความน่าเกรงขามที่แผ่กระจาย การแต่งกายของพญายมราชก็คล้ายกับยมบาลตนอื่น นุ่งโจงกระเบนแดงแต่แตกต่างตรงมีสร้อยไขว่พาดเป็นกากบาทโดยมีอัญมณีสีแดงประดับไว้ตรงกลาง “เจ้ามีเหตุอันใดถึงมาก่อความวุ่นวาย” วรานนท์นั่งลงคุกเข่าประนมมือขึ้นและพยายามเรียบเรียงคำพูดให้กระชับได้ใจความ “ผมชื่อวรานนท์ไม่ใช่วรนนท์ครับท่าน” “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” “ผมชื่อวรานนท์ ทอประกายส่องแสง ซึ่งในประวัติของท่านคือวรนนท์ ทอประกายส่องแสงครับ ท่านพามาผิดครับ ผมไม่ใช่คนที่ต้องหมดอายุขัยตอนนี้” “อย่างนั้นรึ...สุวาน” ประโยคหลังท่านเรียกลูกน้องข้างกายเพื่อขอบัญชีหนังมา สุวานยื่นสมุดบัญชีเล่มสีดำและกระดานรายชื่อเพื่อตรวจสอบให้กับผู้เป็นเจ้านาย จากนั้นก็มีตัวหนังสือปรากฏเป็นชื่อของวิญญาณที่ต้องไปรับเหมือนคราวพิจารณาคดีความดีความชั่วครั้งแรก “วรนนท์ ทอประกายส่องแสงสิ้นอายุขัยในวัยยี่สิบสี่ปี ส่วนวรานนท์ ทอประกายส่องแสงจะสิ้นอายุขัยในวัยเก้าสิบปี... เจ้าคือคนหลังสินะ” “ครับผม!” ในขณะที่วรานนท์กำลังยื่นเรื่องร้องความเป็นธรรมต่อหน้าท่านพญายมราชอยู่นั่น ยมบาลทดและยมบาลเทียนก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามายังห้องพิจารณาคดี “ยมบาลทด เจ้าเป็นคนพาดวงวิญญาณตนนี้มาใช่หรือไม่?” “...ข-ขอรับ” ยมบาลทดก้มหน้ารับผิด “เจ้ารู้ใช่ไหมว่านี่เป็นความผิดพลาดครั้งที่สองของเจ้า ครั้งแรกเจ้าโชคดีที่นำส่งวิญญาณกลับไปคืนร่างได้ทัน แต่ครั้งนี้...” พญายมราชมองหน้าวรานนท์ด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้วและไม่สามารถแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้คงจะต้องใช้วิธีเจรจาเยียวยาวิญญาณอับโชคตนนี้แทน “ข้าจะลดโทษและพักโทษที่เจ้าสมควรได้รับไว้ก่อนและส่งเจ้าขึ้นไปเกิดใหม่ .... ส่วนเจ้าโดนลดตำแหน่งและต้องคอยดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้กับวิญญาณตนนี้ด้วย” “เกิดใหม่เหรอครับ?” วรานนท์เลื่อนสายตาลงอย่างผิดหวัง “มีแค่ทางนี้ทางเดียว อย่างไรตอนเจ้าสิ้นอายุขัยก็ต้องได้มาชดใช้กรรมอยู่แล้ว ตอนนี้ข้าทำได้เพียงพักโทษและส่งเจ้าขึ้นไปเกิด” “ครับ” เขาตอบรับเสียงแผ่วและเมื่อสิ้นสุดเสียงของเขารอบข้างก็กลายเป็นสีขาวโพลนสนิททันที... ————————————————— ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาถึงตอนนี้นะคะ​ ในนี้จะลงเป็นตัวอย่างเพียงเท่านี้นะคะ​ สามารถติดตามต่อได้ในรูปแบบของebook ใน​ Meb​ หรือรายตอนต่อใน​ readawrite​ ค่ะ พิมพ์ชื่อเรื่องหรือนามปากกาหาได้เลยนะ นามปากกา​ โรโคโรโค่

Great novels start here

Download by scanning the QR code to get countless free stories and daily updated books

Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD