บทที่สอง​ ปรโลก

2345 Words
“ไอ้นนท์แกตายแล้วจริงเหรอวะเนี่ย ไม่เห็นจะรู้สึกตัวสักนิด” วรานนท์บ่นพึมพำพลางมองสำรวจร่างกาย ทว่าเขาพยายามคิดเหตุการณ์ถูกชน คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก มันไร้ความรู้สึก ไร้ความตกใจไม่ว่าใครสักคนพบเจออุบัติเหตุใหญ่กับตัวเองก็ไม่น่าลืมความทรงจำจดหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาคิดในระหว่างที่เดินตามผู้สมอ้างตนว่าเป็นยมบาลมาเรื่อย ๆ จนลืมสังเกตข้างทางที่เปลี่ยนไป ถนน ตึกรามบ้านช่องกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า เป็นเวิ้งกว้างมองไกลสุดลูกหูลูกตา มีเพียงทางยาวแคบที่บ่งบอกว่าเป็นเส้นทางเท้า หากหลุดทางเส้นนี้ไปก็อาจหลงอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่สามารถรับรู้ทิศทาง กลางวันและกลางคืน ด้ายสีแดงที่หย่อยคล้อยตึงขึ้นจนทำให้ผู้นำทางต้องหยุดและหันมองว่าเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณเจ้าปัญหา “หยุดทำไม?” เขาขมวดคิ้วถามเชิงดุผู้อยู่ใต้บังคัญบัญชา แต่คำถามเขาไม่ได้ต้องการคำตอบจึงดึงปลายด้ายและเดินนำต่อ วรานนท์เดินทางต่อพร้อมมองด้ายที่ข้อมือไปด้วย ตอนนี้หากเขาขัดขืนคำสั่งด้ายที่ข้อมือนี้ก็จะส่องแสงและทำให้ร่างกายทรมารปวดแสบปวดร้อนเหมือนกับตอนแรกที่เคยดิ้น เขาเงยหน้าและเพิ่งพบว่ารอบข้างที่คุ้นเคยได้เปลี่ยนไป “สรุปแล้วคุณ… เอ่อท่านเป็นยมบาล” “ใช่” “แล้วทำไมไม่เห็นมีเขางอกบนหัวเลยละครับ” วิญญาณเจ้าปัญหาถามสงสัยหลังจากเดินตามหลังมาเป็นเวลาค่อนข้างนานจนเริ่มพิจารณารูปร่างของชายผู้มารับ ศีรษะของยมบาลทดไม่มีเขาเหมือนในหนังละคร หน้าตาก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัว แถมเจอกันครั้งแรกก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปรกติที่ต่างจากมนุษย์คนอื่นนอกเสียจากส่วนสูงที่โดดเด่น แต่นั้นก็ถือว่ายังไม่แปลกเท่าไร “ยมบาลก็เคยเป็นคนปรกติ” “ยังว่า ผมถึงไม่รู้สึกกลัวท่านเลย… สักนิด” เขาเหล่มองยมบาลทดเล็กน้อยหลังจากเผลอหลุดคำพูดกวนประสาทออกไป โดนแน่ โดนพลังแห่งด้ายแดงแน่ “ไว้เจอท่าพญายมราชก่อนเถอะ เจ้าจะไม่พูดอย่างนี้” สีหน้าของวรานนท์ผ่อนคลายและโล่งใจเมื่อยมบาลทดโต้ตอบปรกติโดยไม่ใส่ใจคำพูดพล่อย ๆ ของตนเอง “ทำไมผมไม่เห็นยมบาลท่านอื่นเลยนอกจากท่าน อุบัติเหตุใหญ่คนตายเยอะ แต่ทำไมถึงมีผมอยู่คนเดียว” วรานนท์จ้องมองเพ่งหาผู้ร่วมเดินทางที่กำลังถูกนำไปสู่ปรโลกเฉกเช่นเดียวกับเขา ไม่มี… ไม่มีสิ่งใดที่เคลื่อนไหวได้เลยนอกจากเขาและชายนุ่งโจงกระเบนแดง “ป่านนี้คนอื่นถึงที่หมายกันหมดแล้วมั้ง เพราะเจ้าเอาแต่ถามนั่นถามนี้ สงสัยเต็มไปหมด แถมยังกล่าวหาว่าข้าเป็นโจรบ้าง เป็นคนบ้าบ้าง หากวันนี้ข้าโดนลงโทษเพราะนำวิญญาณอย่างเจ้าไปช้า ข้าจะหมายหัวเจ้าไว้ วรนนท์!” ยมบาลทดถลึงตาใส่ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้วรานนท์ตกใจกลัวแม้แต่น้อยแถมเขายังต่อปากต่อคำกลับ “ผมไม่เกี่ยว ก็ท่านไม่อธิบาย” “หึ!” ยมบาลทดทำเพียงส่งเสียงในลำคอ หากเป็นไปได้เขาอยากจะฉายภาพเคลื่อนไหวที่พยายามอธิบายให้แก่วรานนท์ได้เห็น “ว่าแต่ปลายทางที่ท่านกำลังพาผมไปคือที่ไหนครับ?” “นรก!ข้าเป็นยมบาลคงมารับตัวเจ้าขึ้นสวรรค์หรอกมั้ง” “อ่าวท่าน กวนผมแล้ว” เขาเริ่มคลายกังวลเกี่ยวกับการสนทนากับยมบาลทด การพูดคุยจึงค่อนข้างเริ่มเป็นกันเองไร้ความเกรงกลัว “แล้วไอ้ด้ายที่พันมือผมไว้คืออะไรครับ” “ขี้สงสัยเสียจริง” “แล้วมันไว้ทำอะไรครับ” เขาไม่ละความพยายามต่อสิ่งที่อยากรู้อยากเห็น “ด้ายจับวิญญาณ” “ถ้าผมดิ้นหรือขัดขืนมันจะแสบขึ้นมาเองเหมือนตอนนั้นเหรอครับ?” “เปล่า ข้าทำเองเพื่อคุมเจ้าให้อยู่ในโอวาท” ด้ายแดงสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของวิญญาณหน้าใหม่ “โอ้ยยยยยย!แล้ว… แล้วตอนนี้ผมทำอะไรผิด” “ทำให้ดูเป็นตัวอย่างว่าข้าสามารถบังคับได้” ด้ายแสงเรืองแสงขึ้นอีกครั้ง “โอ้ยยยย แล้วครั้งนี้คืออะไรครับ” “หมั่นไส้” “ครับ?ผมจะฟ้องท่านพญายมราชว่าท่านรังแกวิญญาณไร้ทางสู้อย่างผม!” วรานนท์เถียงคอเป็นเอ็น “ถ้าเจ้ากล้าก็เชิญ เจ้าไม่สามารถมองหน้าท่านพญายมฯได้หรอก” ไม่ว่าใครก็ตามได้เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าท่านพญายมราชแล้ว ท่านผู้นั้นจะถูกพลังอำนาจและรัศมีของความน่าเกรงขามกดไว้ ในประวัติศาสตร์นรกไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้าของท่านพญายมราชได้เลยสักราย “เอ๊ะตรงนั้น” วรานนท์ยกมือทั้งสองขึ้นชี้ไปยังประตูเหล็กสีแดงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ตอนนี้เขาไม่ต้องรู้สึกเหมือนกำลังเดินอย่างไร้จุดหมายปลายทางอีกแล้ว ตอนนี้ทุกย่างก้าวของเขาจดจ่ออยู่กับประตูบานใหญ่ตรงหน้าเท่านั้น มันใกล้เพียงแค่เอื้อมทว่าเดินอย่างไรก็ไม่ถึงราวกับภาพตรงหน้าเป็นภาพลวงตา ความตื่นเต้นต่อสิ่งตรงหน้าของเขาได้อันตรธานหายจนหมดเกลี้ยง ไม่หลงเหลือความยินดีอีกแล้ว ทางด้านหน้าอาจเป็นเพียงภาพหลอนที่เขาสร้างมันขึ้นมา ตลอดทางวิญญาณหนุ่มได้แต่มองก้มมองพื้น มองฝีเท้าของตนเองที่กำลังก้าวเดินอย่างไร้จุดหมาย “ใกล้ถึงยังครับ?” “เจ้าก็เห็นประตูแดงไม่ใช่หรือไง?” “เห็นครับ แต่ไม่เห็นจะถึงประตูนั่นสักที” เผลอครู่เดียวยมบาลทดก็หยุดฝีเท้าลง วิญญาณที่ตามหลังจึงเงยหน้าขึ้นและพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าประตูเหล็กสีแดงขนาดใหญ่มหึมา ใหญ่จนไม่สามารถหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบขนาดได้เลย กลางประตูทางเข้ามียมบาลสองตนยืนเฝ้ายามอยู่ด้านหน้าเพื่อคอยคัดกรองยมบาลและวิญญาณที่สัญจรเข้า-ออกสู่ประตูนรกแห่งนี้ “ท่านทดท่านรู้ใช่ไหมว่าเวลามันล่วงเลยมานานแค่ไหน ทำไมท่านถึงเพิ่งมาเล่า!” ยมบาลที่ยืนคุมอยู่ทางฝั่งซ้ายเอ่ยขึ้น “โธ่ท่านผาน จะอะไรสักอีกก็วิญญาณที่กระผมพามานั้นค่อนข้างมีปัญหา” ยมบาลทดชี้ไปด้านหลัง “ท่าน ผมไม่เกี่ยวนะ” วรานนท์กระซิบหวังให้ยมบาลทดได้ยินเพียงคนเดียว “อะแฮ่ม!” ยมบาลผานที่กำลังสอบถามยมบาลทดกระแอมเสียงดังจนทำเอาวรานนท์สะดุ้งตกใจกลัว จากที่กำลังมองสำรวจประตูยักษ์จึงจำต้องก้มมองสำรวจปลายเท้าแทน “เอาเถอะ รอบนี้พวกกระผมจะปล่อยผ่านไป แต่หากมีคราวหน้าพวกกระผมคงต้องยื่นเรื่องให้ท่านพญายมฯ” “ขอบคุณท่านผวนเป็นอย่างมาก กระผมจะไม่ผิดพลาดอีก” ผาน?ผวน? วรานนท์ทวนชื่อของยมบาลสองตนตรงหน้าเขาก็เก็บอาการไม่อยู่หลุดขำพรืดออกมาทันทีพร้อมกับมองยมบาลผวนและยมบาลผานสลับกัน “เจ้าหัวเราะอะไร?” “ท่านชื่อผาน?ส่วนท่านชื่อผวน?” “เจ้ามีปัญหาอะไรกับชื่อของพวกข้าอย่างนั้นรึ?” วรานนท์ไม่ได้ตอบคำถามของยมบาลผวน เขาหันไปคุยกับยมบาลทดแทน “ชื่อท่านที่ว่าโบราณยังแพ้ท่านผวนและท่านผาน” “ข้าว่าไอ้วิญญาณนี้มันไม่ตายดี” “ท่านผาน เดี๋ยวข้าจะจัดให้สมน้ำสมเนื้อ” ทั้งยมบาลผานและผวนต่างพากันจ้องวิญญาณชายหนุ่มผู้ไร้ความเกรงกลัวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “พวกท่านปล่อยมันไปเถอะ คุยกับไอ้หนุ่มนี่มีแต่ปวดกบาล ส่วนเจ้าหุบปากของเจ้าเสีย แล้วตามข้ามานิ่ง ๆ” ประตูเหล็กสีแดงขนาดใหญ่มหึมาถูกเปิดออกราวกับมีเซนเซอร์อัตโนมัติคอยตรวจจับความเคลื่อนไหว ไอร้อนระอุตีแผ่ออกมาอยู่เนือง ๆ เมื่อก้าวขาเข้าไปก้าวแรกทางรอบข้างเปลี่ยนไปเป็นมืดสนิทราวกับโลกดับสิ้นดวงอาทิตย์ เหมือนกำลังลอยละล่องอยู่ท่ามกลางระบบสุริยจักรวาล แต่ความรู้สึกนั้นก็คืบคลานเข้ามาเพียงครู่เดียวบรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ต้นไม้ลำต้นยาวสีเขียวชอุ่มเรียงเป็นแนวเสมือนเป็นกำแพงรั้ว มันสูงเสียดฟ้าจนไม่เห็นปลายยอด ลำต้นมีหนามแหลมทิ่มแทงประดับประดา อีกาตัวสีดำมะเมื่อมส่งเสียงร้องขานต้อนรับแขกผู้มาเยือน มันบินสวนไปสวนมาเหนือศีรษะ “ท่าน อีกาที่บินอยู่ข้างบนนั่น ถ้ามันลงมาที่พื้นตัวมันคงใหญ่มากเลยใช่ไหม?” วรานนท์แหงนหน้าขึ้นมองอีกาตัวใหญ่ที่บินโฉบไปมา มันอยู่สูงขนาดนั้นยังมองเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน เห็นแทบทุกรายละเอียด บางทีขนาดตัวของอีกาที่เขากำลังมองอยู่นั้นคงไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ เขามองสำรวจเก็บรายละเอียดรอบข้างด้วยความตื่นตาตื่นใจก่อนจะสะดุดเข้ากับประตูอีกบานที่ปรากฏอยู่ด้านหน้า ประตูนี้แตกต่างจากประตูยักษ์เมื่อครู่ มันเป็นเพียงประตูไม้เก่าถูกทาด้วยสีแดงอย่างไม่ประณีตแต่ยังคงความขลัง เมื่อเริ่มเข้าใกล้ประตูดังกล่าวไอร้อนที่ระอุก็เริ่มรุนแรงขึ้น “ยินดีต้อนรับสู่นรกอย่างเป็นทางการ” ยมบาลทดกล่าวต้อนรับวรานนท์จากนั้นจึงเปิดประตูชั้นในออก วรานนท์มองสำรวจอย่างระมัดระวังกับสิ่งแวดล้อมรูปแบบใหม่ที่กำลังเผชิญ รูปลักษณ์ข้าวของเครื่องใช้ส่วนใหญ่ขึ้นรูปเป็นหัวกะโหลก มีผู้คนเดินวุ่นขวักไขว่… ไม่ใช่สิยมบาลต่างหากที่เดินขวักไขว่แถมพ่วงด้วยวิญญาณตามท้าย ส่วนบางตนก็ถือหนังสือเล่มหนาปกสีดำ “ท่านทด ท่านเพิ่งมารึ คงไม่ต้องต่อคิวสอบประวัติดีชั่ววิญญาณที่เจ้าพามา ดูเหมือนว่าตนสุดท้ายเพิ่งจบไปเมื่อครู่” ยมบาลเทียนทักขึ้นในขณะที่กำลังเดินไปยังห้องลงโทษ ส่วนยมบาลทดทำเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น วรานนท์มองไปทางซ้ายมือก็ทราบได้ทันทีเลยว่ายมบาลทดต้องพาเขาไปนั่งรอรวมกับกลุ่มวิญญาณที่มีสภาพบาดแผลผ่านการถูกชนมา กลุ่มข้างหน้านั้นคือกลุ่มที่เพิ่งมาจากแยกวงเวียนใหญ่แน่นอน เพราะสภาพแต่ละคนดูไม่จืด “ท่าน ตรงนั้นคือพวกที่มาที่เดียวกันกับผมใช่ไหมครับ” “ใช่” “ทำไมสภาพผมกับพวกเขาถึงแตกต่าง…” วรานนท์ไม่ทันได้รับคำตอบจากยมบาลทด ยมบาลอีกตนก็มาหยิบด้ายแดงจากมือของยมบาลทดมาไว้ในมือและพาเขาเดินตรงเข้าไปนั่งใกล้บัลลังก์สีดำทะมึน “คุกเข่า!” วรานนท์ทรุดตัวลงคุกเข่าตามคำสั่งอย่างว่าง่ายโดยที่เจ้าตัวไม่ได้สั่งการด้วยตัวเอง “เจ้าชื่อวรนนท์ใช่หรือไม่?” “ครับ” เขาแหงนหน้าขึ้นหมายจะมองเสียงอันทรงพลังตรงหน้าที่กำลังพูดคุยกับเขา ทันได้เงยหน้าขึ้นก็ถูกด้ามหอกกระทุ้งให้ก้มหน้าลงตามเดิม นี่สินะที่ท่านยมบาลทดบอกไว้ว่าไม่มีใครกล้ามองหน้าตาของท่านพญายมราชได้ โดนหอกกระทุ้งแบบนี้ใครจะกล้าแหงนหน้าขึ้นไป “นามสกุลทอประกายส่องแสง วรนนท์ ทอประกายส่องแสง ข้ากล่าวถูกหรือไม่?” “ถ-ถูกครับ” “อืม ไหนดูสิ…สุวานเปิดบัญชีหนังหมา!” พญายมราชสั่งสุวานที่เป็นดั่งมือขวา “ขอรับ” ทันใดนั้นเองอักษรสีทองสลักเป็นชื่อ ‘วรนนท์ ทอประกายส่องแสงก็ปรากฏขึ้นยังหน้าหนังสือที่เรียกว่าบัญชีหนังหมา บัญชีหนังหมาหุ้มด้วยหนังหยาบกร้านสีดำ สมุดนี้เป็นสมุดที่รวบรวมบันทึกความชั่วทั้งหมดของชีวิตตั้งแต่ดวงวิญญาณตรงหน้าได้กระทำตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ “ว่าอย่างไรบ้างสุวาน” “หนักเอาการเลยขอรับท่าน” สุวานกวาดสายตาอ่านความชั่ว เขาพลิกหน้ากระดาษแล้วพลิกหน้ากระดาษเล่า ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด วิญญาณตรงหน้าเขานั้นก่อกรรมมามาก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พูดปดโกหกมดเท็จ ลักเล็กขโมยน้อย ดื่มสุราของมึนเมาและยาเสพติด แถมประพฤติผิดในกามและอื่นอีกมากมาย เรียกได้ว่าแหกกฏของศีลห้าทุกประการ หากศีลถูกกำหนดเป็นร้อยข้อ ชายผู้นี้คงเก็บเรียบไม่ให้หลงเหลือสักข้อ “สุวาน เจ้ายังเปิดไม่เสร็จอีกหรือ?” “กระผมว่าเปิดอีกยี่สิบสี่ปีก็ไม่หมดขอรับ” “ยี่สิบสี่… อืมเท่าอายุขัยเลยสินะ สุวรรณ!” พญายมราชหันไปทางมือผู้ช่วยที่เปรียบเสมือนมือซ้าย “ขอรับ” สุวรรณเปิดสมุดบัญชีทองคำที่หน้าปกถูกสลักชื่อของเจ้าของผลกรรมเหมือนดั่งสมุดบัญชีหนังหมาของสุวาน บัญชีทองคำนี้เป็นบัญชีตรงกันข้ามกับบัญชีหนังหมา มีหน้าที่รวบรวมบันทึกกรรมดีที่ได้กระทำมาทั้งแต่มีลมหายใจจนสิ้นลมหายใจ สุวรรณเปิดหน้าสมุดเพียงแค่หน้าเดียวและปิดลงทันที “เสร็จแล้วขอรับ” “เดี๋ยวครับ!ผมว่าท่านหยิบหนังสือผิดเล่มครับ” วรานนท์ลุกขึ้นร้องขอความเป็นธรรมให้ตัวเอง ความชั่วเขาอาจจะมีบ้างแต่ความดีนี่สิทำไมถึงน้อยนิดเหลือเกิน คงมีบางอย่างผิดพลาดเช่นการหยิบหนังสือรายชื่อผิดคน “บังอาจ!” เสียงดังก้องกังวานเปล่งออกมาจากท่านพญายมราช วรานนท์ตัวสั่นเทารีบทรุดตัวนั่งก้มหน้าคุกเข่าลงตามเดิม ทรงพลังเหลือเกิน พลังอำนาจที่ส่งออกมานั้นทำเอาวิญญาณตนอื่นสะดุ้งกลัวตัวสั่นเทาไม่ต่างจากเขา ไม่แม้แต่ยมบาลตนอื่น ๆ ก็ตกใจเล็กน้อยเช่นกัน “เอาตัวมันไปลงกระทะทองแดงบัดเดี๋ยวนี้!!” พญายมราชออกคำสั่งก่อนเดินลงจากบัลลังก์และหายลับออกไปจากห้องพิจารณาคดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD