ตอนที่ 1
ค่ำคืนที่แสนมืดมิด ไร้ซึ่งแสงแห่งจันทรา ดวงดาราที่ทอประกายเจิดจ้าบนฟากฟ้า ก็มิอาจให้ความสว่างได้มากเทียมดวงจันทร์ สายลมที่โบกสะบัดพัดพลิ้วเคลื่อนคล้อยจากไป เหลือทิ้งไว้แค่เพียงความเหน็บหนาวจับทรวง
“อย่า อย่าฆ่าพ่อผม...อย่าฆ่าแม่ผม อย่า...!!!” เหนือตะวันยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นตามไรผมบนหน้าผากของตัวเอง เขาจมปลักอยู่กับฝันร้ายนี้มาร่วมยี่สิบปีเต็ม ความเจ็บปวดที่ได้รับ มันทำให้เขาแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือด ภาพบิดามารดาถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา ในโลกใบนี้คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
เขาจำมันได้ไม่มีวันลบเลือน และต่อให้มันกลายเป็นเถ้าธุลีเขาก็ยังจำมันได้ ไอ้คนใจคอโหดเหี้ยมทรยศได้แม้กระทั่งผู้ที่มีพระคุณท่วมหัว และถึงวันนี้วันที่เขาจะทวงความยุติธรรมให้กับบุพการีของเขาเสียที มันจะต้องได้รับผลกรรมที่มันก่อขึ้นอย่างสาสม เขาจะทำให้มันไม่มีแม้กระทั่งแผ่นดินกลบหน้า
แสงแดดสีเหลืองทองอ่อน ๆ ทอแสงงามแตะแต้มไปทั่วขอบฟ้า ฝูงวิหคผกผินบินออกหากินกันแต่เช้าตรู่ ร่างบอบบางของสตรีชรานางหนึ่งก็เช่นกัน หล่อนตื่นแต่เช้าเพื่อจัดเตรียมอาหารเช้าให้กับบุตรชายของตนเอง
“เหนือทานข้าวก่อนซิลูก ทานแล้วค่อยไปนะ แม่ทำข้าวต้มกุ้งที่เหนือชอบด้วย” ชลาลัยยกข้าวต้มกุ้งมาตั้งที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะร้องเรียกลูกชายที่กำลังจะเดินผ่านไป เหนือตะวันหันกลับมายิ้มให้มารดาอย่างอ่อนโยน
นับตั้งแต่เสียพ่อกับแม่ไป เขาก็เปรียบเหมือนกับเรือที่ไร้สมอ ร่องลอยไปตามคลื่นลมอย่างไร้จุดหมาย แต่แล้ว..ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาพาเขาขึ้นจากเรือที่ไร้สมอนั้น ทำให้ชีวิตของเขาที่เคยมืดมิด ไร้จุดหมาย กลับสว่างเจิดจ้าขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
หล่อนเปรียบเสมือนผู้ให้ชีวิตใหม่แก่เขา บุญคุณนี้ยิ่งใหญ่นัก ถ้าไม่นับรวมผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนของเขา ผู้หญิงคนนี้ก็คือคนที่มีบุญคุณกับเขามากที่สุด และเขาก็จะไม่มีวันทำร้าย หรือทำให้หล่อนเสียน้ำตาเป็นเด็ดขาด ไม่ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม
“ขอโทษจริง ๆ ครับคุณแม่ พอดีวันนี้ผมมีธุระด่วนจริง ๆ คุณแม่อย่าโกรธผมเลยนะครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะชดเชยให้ครับ” เหนือตะวันพูดอย่างสำนึกผิด ก่อนจะก้มลงหอมแก้มมารดาหนึ่งฟอดใหญ่ ชลาลัยยิ้มอย่างเอ็นดู ถึงแม้ว่าบุตรชายจะเติบใหญ่มากขึ้นแค่ไหน แต่สำหรับหล่อน คนที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก ก็ยังคงเห็นเขาเป็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ วัย 10 ขวบอยู่ร่ำไป
“ถ้าเหนือรีบก็ไม่เป็นไร แต่ลูกต้องหาอะไรรองท้องบ้างนะ” เหนือตะวันยิ้มรับให้กับความรักและความห่วงใยที่มารดาเลี้ยงมีให้ ซึ่งความรักและความห่วงใยนี้ เขาได้รับมาตลอดยี่สิบปีเต็ม
“ครับคุณแม่ ผมรักคุณแม่จังเลย” เหนือตะวันก้มลงกราบที่อกของมารดาอย่างซาบซึ้งใจ เขาคิดอยู่เสมอว่า ถ้าไม่มีแม่ผู้ประเสริฐคนนี้ เขาเองก็คงไม่มีวันนี้เช่นกัน
“จ๊ะ แม่ก็รักเหนือมาก ถ้าไม่มีเหนือ แม่ก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เหมือนกัน” เหนือตะวันยิ้มให้กับมารดา ก่อนจะให้คำมั่นสัญญาออกไป
“ไม่มีอะไรที่จะมาพรากผมไปจากคุณแม่ได้หรอกครับ ผมสัญญา”
เหนือตะวันเดินทางไปทำงานแต่เช้า ความจริงเขาไม่ได้มีประชุมดั่งที่เขาบอกกับมารดาไว้หรอก แต่เขามีเรื่องด่วนที่สำคัญมากกว่านั้นต่างหาก และเรื่องนี้เขาก็รอมานานถึงยี่สิบปีเต็ม เขาเฝ้ารอวันนี้อย่างทุกข์ทรมานใจ และในที่สุดมันก็มาถึง วันที่ความแค้นของเขาจะได้รับการสะสางซะที วันที่เขาจะฆ่าพวกมันให้ตายทั้งเป็นด้วยมือของเขาเอง!!!
ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบริษัทฯ ระหว่างทางพนักงานที่เห็นเขา ก็จะโค้งศีรษะแสดงความเคารพให้เขาทุกคน ชายหนุ่มอมยิ้มออกมา พูดไปแล้วก็เหมือนฝัน บริษัทเล็ก ๆ ที่เขาและภูรีร่วมกันลงมือทำ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะประสบความสำเร็จได้มากถึงเพียงนี้
เขาจำได้ว่า ตอนที่เขาคิดจะทำบริษัทนี้ขึ้นมานั้น เขาไม่มีเงินในมือมากพอจะทำมันได้ ดังนั้นเขาจึงได้ไปชักชวนเพื่อนหลายต่อหลายคนให้มาร่วมหุ้นกันทำ แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะทำกับเขาสักคน ตอนนั้นเขาหมดสิ้นหนทางจริง ๆ เขาเคว้งอยู่พักใหญ่
เหนือตะวันรู้สึกหดหู่ไม่น้อย เมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต เพราะกว่าที่เขาจะก้าวมาถึงทุกวันนี้ได้ เขาก็ต้องผ่านอะไรมาเยอะแยะมากมาย จากธุรกิจเล็ก ๆ กระจอก ๆ ที่ใคร ๆ เคยตราหน้าว่าจะไปไม่รอด แต่ในที่สุดเขาก็ชนะ เขาทำสำเร็จ เขาสามารถทำให้มันกลายเป็นธุรกิจพันล้านได้เพียงเวลาไม่ถึงสิบปี และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเขาครั้งนี้ ก็คือเพื่อนตายของเขาเอง นายภูรี อนันตกุล
เขาจำได้ว่า ตอนที่เขากำลังหมดสิ้นหนทางอยู่นั่น ภูรีก็ยื่นมือเขามาช่วยเหลือเขา โดยภูรีได้ติดต่อไปที่ธนาคารที่บ้านของภูรีถือหุ้นอยู่ ให้ปล่อยเงินกู้ให้กับเขา ซึ่งเงินก้อนนั้น มันก็ได้ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง