EPISODE – 02/2

3405 Words
จากการมองหน้าแบบหาเรื่องของฉัน ทำให้ยัยผู้หญิงหน้าสวยเพราะโบ๊ะเครื่องสำอาง ท่าทางแรงๆ กำลังจะลุกจากเก้าอี้ตรงเข้ามาหาเรื่องฉัน “ไม่เอาหวา ไปกันเถอะ ฉันยังไม่อยากมีเรื่องที่นี่ วันนี้เวรจารย์สมศรีนะ แกก็รู้ว่าจารย์แกเขี้ยวขนาดไหน” เพื่อนอีกคนที่ตัวเล็กกว่า สวยน้อยกว่าแต่เหมือนจะนิสัยดีกว่า ดึงแขนเพื่อนเธอให้ลุกไปจากตรงนั้น เออ... ไปเลย รีบไสหัวไปฟินที่อื่นเลยไป ฉันจะได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ต่อ เวลาสองชั่วโมงที่ฉันเอาแต่นอนหลับภายในห้องสมุดก็หมดลง เพราะตอนนี้ฉันกับยีนส์กำลังเริ่มอะไรที่มันเหมือนๆ เมื่อสามเดือนก่อนที่เราเปลี่ยนที่เรียนกันบ่อยๆ “นักศึกษาใหม่แนะนำตัวกับเพื่อนๆ เลยจ๊ะ เริ่มจากหนูผมน้ำตาลก่อนเลยแล้วกัน” อาจารย์ประจำคลาสที่สองของวันบอกให้ฉันแนะนำตัวเป็นคนแรก “เพลย์เยอร์ค่ะ พิณณิการ์ สวัสดิ์รุ่งโรจน์ อายุ 21 ฝากตัวด้วยค่ะ” เสียงที่ยานคางของฉันทำเอาคนที่นั่งฟังการแนะนำตัวบางคนถึงกับเบือนหน้าหนี และจะไม่อะไรเลย ถ้ายัยคนที่เบือนหน้าหนีไม่ใช่ยัยสองคนที่ฉันเพิ่งไฝว้กับเธอไปที่ห้องสมุดเมื่อสองชั่วโมงก่อน นรกชัดๆ ดันอยู่คณะเดียวกัน แถมเหม็นขี้หน้ากันตั้งแต่แรกเจอ หลังจากที่ฉันกับยีนส์แนะนำตัวกันเสร็จ อาจารย์สมรศรี ก็ให้พวกเราหาที่นั่งกันเองตามสบาย แต่มันดันติดตรงที่ มันไม่มีช้อยส์ให้เลือก เพราะมันเหลือที่ว่างสองที่ด้านหลังสุดที่อยู่ติดกับแม่สาวน่ารักน่าหยิกเหมือนตุ๊กตาเดินได้ผมหยักโศกสีน้ำตาลอ่อนๆ และอีกฝั่งติดกับยัยสองคนนั้น “สวัสดีเพลย์เยอร์ เราชื่อตาหวานนะ” เสียงใสๆ ของสาวน้อยหน้าตาเหมือนตุ๊กตาเอ่ยแนะนำตัวกับฉัน เพราะฉันเลือกนั่งข้างเธอ ส่วนยีนส์ก็นั่งถัดจากฉันเพื่อกั้นยัยคู่ฟินนั่น “ชื่อน่ารักจัง เรียกเราเพลย์เฉยๆ ก็ได้นะ ส่วนนี่ ยีนส์ เพื่อนสนิทเพลย์เอง” ฉันยิ้มหวานส่งให้กับตาหวานที่เธอก็ส่งยิ้มให้ฉันกับยีนส์แบบจริงใจ “งั้นเพลย์กับยีนส์ก็เรียกเราหวานเฉยๆ แล้วกันนะ เรียกสองพยางค์มันยาว แฮร่ๆ” น่ารักจัง! คนอะไรตาก็หวาน ยังจะยิ้มหวานอีก เพลย์เยอร์หลงใหล~ เรานั่งเรียนเกี่ยวกับโครงสร้างงานโฆษณาไปได้ประมาณห้าสิบนาที อาจารย์สมรศรีก็ปล่อยพวกเราเลิกคลาสเร็วกว่ากำหนดเกือบสี่สิบนาที มหาลัยนี้มันเป็นมหาลัยเปิดจริงๆ สินะ อยากเลิกตอนไหนก็เลิก เกิดอินดี้ไม่อยากเข้าสอน ฉันก็ไม่สอน เชิญคุณๆ เรียนรู้เอง ดีชะมัด!! “เพลย์ ยีนส์ จะกลับเลยมั้ย เพราะหลังจากนี้ก็ไม่มีเรียนต่อแล้ว” เสียงหวานๆ ของตาหวานถามพวกเรา “เอาไงดียีนส์ จะกลับเลยมั้ย” ฉันหันไปถามแนวร่วม “ไปห้างกัน แถวนี้มีห้างใกล้ๆ เปล่า” ยีนส์หันไปถามตาหวาน “มีสิ เดี๋ยวหวานพาไป จะพาทัวร์ให้ครบทุกชั้นของห้างเลย” ตาหวานพูดพร้อมกับดึงแขนพวกฉันสองคนเดินตามเธอมา “เดี๋ยว!!” ยีนส์ขืนตัวไว้พร้อมกับตะโกนหยุดตาหวานที่กำลังลากพวกเราสองคน “ทำไมเหรอ หรือว่าเกิดเปลี่ยนใจ” ตาหวานรีบหันหน้าใสๆ พร้อมกับทำตาบ๊องแบ๊วเหมือนแมวขี้สงสัยถาม “เปล่า... จะถามว่าหวานจะไปยังไง คือเราขี่มอไซค์มา” เออ! เกือบลืมไปเลย เรามีกันสามคน แต่รถดันเป็นมอเตอร์ไซค์ แล้วแบบนี้จะซ้อนสามไหวเหรอ “อ้าวเหรอ! งั้นยีนส์กับเพลย์ขับตามรถหวานมาแล้วกัน” “ยีนส์ฝากเพลย์ไปรถหวานได้เปล่าอะ ไม่อยากให้ยัยนี่นั่งตากแดด” ซึ้งค่ะ ฮือๆ ซึ้งในน้ำใจเพื่อนรักที่เป็นห่วงเป็นใยเพลย์เยอร์น้อยผู้บอบบาง “เดี๋ยวนินจามันจะทำงานหนักไปเกิดงอแงป่วยไปอีกคน” ขอถอนคำพูดก่อนหน้าทันมั้ย!? ไอ้ความซึ้งในน้ำในเพื่อนสนิทคนนี้ เพลย์เยอร์คนนี้ขอถอนมันคืน..! สุดท้ายก็ลงเอยตรงที่ ฉันติดรถเบนซ์สีขาวมากับตาหวาน และตอนนี้เราสามคนกำลังอยู่ในห้าง JCT ห้างดังของย่านนี้ ตาหวานเธอบอกมาอีกทีน่ะ “หวาน เดี๋ยวพาไปโซนชุดนักศึกษาหน่อยสิ ยีนส์จะพาเพลย์มันไปซื้อเสื้อใหม่ ดูสิไปแอบขโมยเสื้อเด็กที่ไหนมาใส่ก็ไม่รู้ น่าเกลียด!” ยีนส์แขวะฉันพร้อมกับเบ้ปากประชด เรื่องก่อนฉันยังไม่หายงอนเลยเหอะ “ก็บอกแล้วคนมันมีดี ทำไมแกต้องอิจฉาเพื่อนด้วยยัยยีนส์” อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ว่าเราสองคนโกรธเกลียดอะไรกันนะ มันเป็นเรื่องปกติของฉันกับยีนส์ เรามักจะคุยกันแบบนี้แหละ ถ้าคนไม่รู้จักก็จะมองว่าเราไม่ถูกกัน “นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท หวานคิดว่าสองคนนี้ต้องเป็นศัตรูกันแน่” หวานพูดพร้อมกับยิ้มขำๆ ให้กับการกัดกันเป็นเด็กๆ ของฉันกับยีนส์ เห็นมั้ยบอกแล้ว ถ้าคนอื่นที่ไม่รู้จักฉันสองคนจะมองในอีกมุมหนึ่ง หลังจากที่เลือกเสื้อผ้ากันเสร็จแล้ว พวกเราเลยเลือกที่จะเข้าไปดูหนังกัน แต่มันดันติดตรงที่… “ไม่ไหวอะแก มีแต่หนังผี เพลย์ไม่สันทัด” ฉันเบะปากทำหน้าหวาดเสียวกับโปสเตอร์หนังที่มันมีแต่หนังผี ไม่ก็ฆาตรกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่ชอบ “เออลืมไป เพลย์มันขวัญอ่อนน่ะ ถ้าให้มันเข้าไปดูมีหวังได้ทำบุญร้อยวันให้มันแน่” ปากเสียจริงๆ เลยนะเพื่อนยีนส์ ฉันด่ายีนส์ผ่านทางสายตา พร้อมกับจิ๊ปากใส่เธอหน่อยๆ “งั้นไม่เป็นไร นี่ก็ห้าโมงเย็นแล้ว ทุกคนจะกลับกันเลยมั้ย แล้วพักที่ไหนกันเหรอ” เอาเข้าจริงๆ ตาหวานเพื่อนใหม่คนนี้ก็ช่างจ้อเหมือนกันนะ นึกว่าจะเป็นคนนิ่งๆ เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกซะอีก แต่ฉันว่าเธอเป็นคนจริงใจดี “คอนโด GS2K น่ะ” “ว้าว!! ดีจังเลยได้อยู่คอนโดของสี่หนุ่มหล่อของมหาลัยเราด้วย” ตาหวานทำท่าทางเหมือนกับตื่นเต้นอะไรสักอย่างหลังจากที่ฉันบอกชื่อคอนโดที่พักอยู่ “ใครเหรอสี่หนุ่มหล่อที่ว่า” ด้วยความอยากรู้ฉันเลยถามตาหวานทันที “สี่หนุ่มหล่อที่ว่าก็จะมี... หวานว่าเราไปนั่งร้านไอศกรีมตรงนั้นกันดีกว่า ถ้าให้เล่าคงยาว ยืนแบบนี้เมื่อยขาหมด” พูดจบตาหวานก็เดินนำฉันกับยีนส์ไปที่ร้านที่เธอเพิ่งบอกก่อนหน้า “สี่หนุ่มหล่อที่ว่านะ มี ซาดีนส์ ขันที การ์เซีย แล้วก็เคซิส ทั้งสี่คนเป็นรุ่นพี่พวกเราน่ะ แต่เรียนคนละคณะกับพวกเรา แต่ไม่ต้องห่วงเธอสองคนต้องได้เจอแน่” อืม... ฟังจากชื่อก็น่าจะหล่อกันทั้งนั้นนะ ชื่อทั้งเท่แล้วก็แปลกดี “ฉันอยากรู้เรื่องของทั้งสี่คนน่ะ เล่าให้ฟังหน่อยสิ” ยีนส์รีบคะยั้นคะยอให้ตาหวานเล่าเรื่องสี่คนนั้นให้ฟัง ซึ่งฉันก็กำลังอยากรู้อยู่พอดี “ได้สิ งั้นเริ่มจากพี่ใหญ่สุดอย่างเคซิสแล้วกันนะ” ฉันสองคนนั่งฟังตาหวานเล่าถึงเรื่องราวของ เคซิส ขันที แล้วก็การ์เซียมาประมาณยี่สิบนาทีกว่าๆ ก็เข้าใจในทันทีเลยว่า ทำไมถึงได้ฉายาสี่หนุ่มหล่อของมหาลัย เพราะว่าโปรไฟร์ของพวกเขาเลิศหรูกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น รูปร่างหน้าตาที่เหมือนปั้นแต่ง (มโนตามที่ตาหวานเล่ามาอีกที) แล้วไหนจะฐานะที่ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็อยากได้และอิจฉา “แล้วคุณสุดท้ายล่ะ” ฉันเร่งให้ตาหวานเล่าถึงคนสุดท้ายที่ชื่อ เอ่อ.. “ซาดีนส์ น่ะเหรอ” น่าจะใช่มั้ง! ฉันพยักหน้ารัวๆ ให้ตาหวาน พร้อมกับทำหน้าตาตั้งอกตั้งใจฟังอย่างออกนอกหน้า “ซาดีนส์ เขาเป็นลูกเจ้าของมหาลัย หล่อ สูง ผิวขาวเหมือนผิวเด็ก ที่เด่นชัดเลยคือ สีผมบรอนด์ขาวที่โดดเด่นเพราะมีเพียงคนเดียวในมหาลัยนี้ที่ทำสีนี้” แว้บ!! ผมสีบรอนด์ขาวงั้นเหรอ? ทำไมจู่ๆ ภาพไอ้คู่เกย์ที่เมื่อเช้าฉันเพิ่งเจอในห้องน้ำชายมามันถึงได้ฉายภาพซ้ำให้ฉันเห็นนะ “เมื่อกี้เธอบอกว่า มีแค่คนเดียวที่ทำผมสีนี้งั้นเหรอ” เพราะอยากรู้ว่าจะเป็นไอ้โรคจิตสายเหลืองคนเดียวกันหรือเปล่าเลยถามตาหวานออกไป “อื้อ ทำไมเหรอ?” ตาหวานเอียงคอทำหน้าสงสัยถามฉัน “งั้นก็ไอ้โรคจิตสายเหลืองชัวร์” ฉันตบโต๊ะดัง ปึก! พร้อมกับโผล่งสิ่งที่คิดในใจออกมา กะจะคิดแค่ในใจไหงถึงกลายเป็นมีเสียงได้เนี่ย “อะไรของแกยัยเพลย์ พูดให้พวกฉันสองคนเข้าใจดิ” ยีนส์ประสานมือเอาคางวางไว้พร้อมกับหันหน้ามาถามฉัน ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อเช้าให้ยัยเพื่อนสนิทคนนี้ฟัง “ก็ถ้าหวานบอกว่าคนที่ทำผมสีบรอนด์ขาวอะไรนั่นมีอยู่คนเดียวในมหาลัยฉันว่าก็ต้องเป็นไอ้โรคจิตที่กำลัง เอ่อ นั่นแหละ ในห้องน้ำชายเมื่อเช้าแน่เลย” ไม่อยากเอ่ยการกระทำที่มันอุจาดตาให้ตาหวานกับยีนส์ฟัง เลยเลี่ยงที่จะให้พวกเธอสองคนคิดกันไปเอง และคาดว่าคงจะพอเดากันได้ เพราะดูจากปฏิกิริยาของตาหวานที่อ้าปากค้างทำตาโตเหมือนตกอกตกใจอะไรมากมายนั่นก็พอดูออก “เพลย์เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ซาดีนส์น่ะได้ฉายา เสือร้อยรัก เลยนะ” “เสือร้อยรักกับเพศเดียวกันสิไม่ว่า” ฉันพูดกับตัวเองออกมาเบาๆ แต่สองคนที่นั่งข้างๆ ฉันกลับได้ยิน “พูดจริงดิเพลย์ ไม่ใช่โรคขี้มโนของแกกำเริบอีกหรอกนะ” ยีนส์ทำหน้าคาดคั้นฉัน “ฉันไม่ได้มโนนะแก ก็ตอนที่ฉันกำลังเดินเพลินๆ ไปโผล่ที่หน้าห้องน้ำชายคณะศิลป์ ไอ้คู่เกย์สองคนนั้นกำลัง แทงๆ เสียวๆ อะไรกันก็ไม่รู้อยู่ในห้องน้ำ ฉันเลยจัดโค้กให้ไอ้หัวขาวนั่นไปหนึ่งกระป๋องกลางกะบานเลยล่ะ” “เราว่าเพลย์ต้องเข้าใจผิดแน่เลย” “เห็นด้วยกับเธอหวาน ยัยนี่ชอบขี้มโน” อ้าวเห้ย! ตาหวานไม่เชื่อฉันไม่เท่าไหร่เพราะเธอเรียนที่นี่มาก่อน แต่ยัยยีนส์ที่เพิ่งมาเรียนวันแรกพร้อมฉันและไม่เคยรู้จักมักจี่ใครในมหาลัยแห่งนี้ดันมาหาว่าฉันเข้าใจผิดไปอีกคน “ยี..” “หยุด! เลิกเถียง แกน่ะชอบมโนไปก่อน เห็นขนาดที่บอกได้เลยเหรอว่าเขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันน่ะ ถึงได้ไปทึกทักเอาแบบนั้น ถ้าไม่ใช่นี่แกหมาเลยนะเว้ย” ฉันที่กำลังจะอ้าปากด่ายีนส์ ก็เจอเธอสวนกลับมายาวเหยียด “ได้! ถ้าแกไม่เชื่อฉันนะ ไว้ฉันจะพิสูจน์ให้พวกแกเห็นเอง” ฉันบอกยีนส์กับตาหวานออกไปเสียงหนักแน่น พวกเธอไม่เห็นแบบฉันก็คิดว่าฉันเป็นตุเป็นตะเอาน่ะสิ ได้เลย! เดี๋ยวพลย์เยอร์คนนี้จะทำให้สองสาวนี้ ไม่สิ! เอาทั้งมหาลัย RNN แห่งนั้นตาสว่างกันให้หมดเลย คอยดู!! S-PUP @ 20.15 น. หลังจากที่ผมทิ้งไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสามคนไว้เมื่อตอนบ่ายแก่ๆ ที่มหา’ลัย ผมก็รีบตรงดิ่งมานั่งรอน้องหวา สาวสวยที่ส่งจดหมายรักเชิญผมมาที่ผับไอ้เคซิส ผมไม่ได้เป็นคนชอบรออะไรนานๆ หรอกครับ แบบว่า... มันน่าเบื่อ แต่ครั้งนี้ถือว่าผมนั่งฆ่าเวลาเล่นๆ แล้วกัน เพราะผมก็ใช่ว่าจะรอแค่น้องหวาอะไรนั่นคนเดียวสักหน่อย “ซาดีนส์ทานนี่หน่อยสิคะ เนี่ยพันซ์ชงเองกับมือเลยนะ ชิมหน่อยรสชาติถูกปากหรือเปล่า” สาวสวยหุ่นอวบอึ๋มที่กำลังนั่งก้มโชว์หนองโพที่น่าจะไปอัปไซซ์เพิ่มมา ยกแก้วเหล้าสีเข้มๆ จ่อปากเพื่อให้ผมลองชิม อึก อึก ผมจับแก้วผ่านมือเรียวเล็กของพันซ์ กระดกน้ำสีอำพันลงไปสองอึก พร้อมกับทำคิ้วขมวดเพราะความเข้มของแอลกอฮอล์ที่ไหลลงคอ “เข้มไป” ผมผละมือออกจากแก้วเหล้าใบพอดีมือของผู้หญิงข้างกาย “แปลกจัง พันซ์ว่าเติมเหล้าไปแค่นิดเดียวเองนะ” ผู้หญิงข้างกายผมยังคงทำสีหน้าเสแสร้ง คิดว่าคอเหล้าแบบผมจะดูไม่ออกหรือไง รสชาติเหล้านำโซดาขนาดนั้น เรียกว่าแทบจะกินเพียวๆ แทนซะดีกว่า “ไม่ต้องมอมฉันก็ได้ ไม่เมาสิถึงใจกว่า” ผมบอกหญิงสาวข้างกายด้วยน้ำเสียงที่สาวๆ หลายๆ คนบอกว่ามันโคตรจะเซ็กซี่ “แหม! ซาดีนส์นี่รู้ใจพันซ์จริงๆ” “อืม~” หลังจบคำชมนั้น พันซ์ก็ใช้มือเรียวเล็กเกี่ยวท้ายทอยผม โน้มให้ต่ำลงนิดหน่อยเพื่อที่เธอจะได้ประกบปากลงบนริมฝีปากหนาของผมได้ถนัด แรงเบียดเสียดของริมฝีปากเราสองคนยังไม่เท่ากับหน้าอกหน้าใจที่มันล้นทะลักเสื้อสายเดี่ยวสีดำเมี่ยมของเธอที่กำลังเบียดแผงอกหนาของผมไปมา “อื้อ~” ผมเริ่มจะขาดอากาศหายใจ ปกติเป็นคนคุมบังเ**ยน แต่ครั้งนี้พันซ์เป็นคนจู่โจมผมก่อนแบบไม่ทันให้ตั้งตัว พรึบ! จากตอนแรกที่คู่ขาผมอย่างพันซ์นั่งอยู่ข้างๆ ตอนนี้เธอกลับปีนขึ้นมานั่งพาดบนตักแกร่งของผม สองมือน้อยๆ ยังคงคล้องรอบคอผมหลวมๆ ริมฝีปากนุ่มนิ่มบดเบียนอย่างเร่าร้อน กรี้ด~ ตอนที่เลือดในกายผมกำลังร้อนดั่งไฟสุม เสียงกรีดร้องแหลมๆ ก็ดังขึ้น ทำให้ผมรีบผลักพันซ์ที่กำลังจูบผมแบบไม่สนสิ่งรอบกายออกห่างไปเล็กน้อย “นี่แกเป็นใคร นังปากแดง” เจ้าของเสียงกรี้ดเมื่อกี้ถามพันซ์ที่ยังคงนั่งบนตักผมด้วยแววตาหาเรื่องสุดๆ “แล้วหล่อนล่ะ?” พันซ์ถามผู้หญิงอีกคนที่เพิ่งมาใหม่ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ พันซ์เป็นผู้หญิงแรงๆ ไม่กลัวหน้าไหน และเป็นคู่ขาที่ผมควงบ่อยที่สุด เพราะเธอไม่เรื่องมาก ประมาณว่า เสพสมแล้วก็จากลา ทำนองนั้น ผมควงพันซ์มานานกว่าสี่เดือน ซึ่งนานกว่าผู้หญิงทุกๆ คนที่ผมแทบจะใช้แล้วทิ้งเหมือนกับถุงยางอนามัย ผู้หญิงที่เข้าหาผมทุกคนล้วนแต่จ้องจะจับผม อยากเป็นเมียลูกเจ้าของมหาลัยและฐานะทางบ้านที่รวยลำดับต้นๆ ของประเทศ “ฉันหวา แฟนใหม่ซาดีนส์” หวาที่เป็นคนนัดผมมาที่นี่พูดขึ้น แต่เดี๋ยวนะ! แฟนใหม่ผมงั้นเหรอ? ผมไปตกลงคบใครเป็นแฟนตั้งแต่ตอนไหน คนอย่างไอ้ซาดีนส์ไม่เคยคิดที่จะมีห่วงมาผูกคอ ยิ่งเรื่องแฟนผมยิ่งไม่เคยคิดให้รกสมอง เพราะอะไรน่ะเหรอ? หนึ่งเลย มนุษย์แฟนเป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อสำหรับผม ไหนจะคอยโทรจิกตลอดเวลา เซ้าซี้น่ารำคาญ สอง... ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งเหมือนติดคุก เวลาจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ต้องคอยขออนุญาต โทรรายงานความเคลื่อนไหว ไร้อิสระโคตรๆ สามยิ่งแล้วใหญ่... ทำตัวอย่างกับแม่บังเกิดเกล้า จิกหัวใช้เป็นว่าเล่น แถมยังต้องคอยตามใจพวกมนุษย์แฟนอย่างพวกเธอๆ ไม่ไหวอะบอกเลย! “ตอแหล!” พันซ์พูดเบาๆ เหมือนกับกระซิบ เธอเอียงหน้าที่กำลังซบที่แผงอกขวาผม มองหวาที่กำลังยืนค้ำเอวอยู่ข้างๆ พวกเรา “แกว่าอะไร แน่จริงพูดดังๆ สิ แล้วก็ลงมาจากตักของแฟนฉันได้แล้ว!” หวายังคงพูดเองเออเองเรื่องสถานะของผมและเธอ “นี่ซาดีนส์มีแฟนปากจัด ขี้โวยวาย แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ” พันซ์ไม่สนใจคำพูดของหวา เธอยังคงนั่งบนตักผม พร้อมกับซบใบหน้าอยู่ที่อกผมตามเดิม มือน้อยๆ ของเธอลูบอกข้างซ้ายผมเบาๆ “กรี้ด!! อีหน้าด้าน ฉันบอกให้ลุกจากตักแฟนฉันไง หูแตกหรือไงยะ” ตอนนี้ผมชักจะเริ่มรำคาญเสียงแหลมๆ ของหวาแล้วว่ะ น้องหวาคนที่ดูหงิมๆ ติ๋มๆ ตอนที่ส่งจดหมายรักให้ผมเมื่อช่วงบ่ายหายไปไหนแล้ววะ หรือว่านี่คือธาตุแท้ของเธอ? “พอเลยๆ ทั้งสองคน พันซ์ลุกก่อน” ผมนี่แหละที่จะเป็นคนหูแตกก่อนคนแรก และตอนนี้เริ่มจะรำคาญเสียงหวามากๆ เลยรีบห้ามศึกน้ำลายของสาวๆ “ซาดีนส์ หวาขอโทษที่มาช้านะคะ” หลังจากที่พันซ์ยอมลุกจากตักผมไปนั่งโซฟาฝั่งตรงข้าม หวาก็รีบปรี่ตัวเข้ามานั่งข้างๆ ผมพร้อมกับถือวิสาสะกอดแขนเอาหัวน้อยๆ ซบไหล่พร้อมกับกล่าวขอโทษน้ำเสียงออดอ้อน “สตอได้โล่ ไปล่ะ เหม็นขี้หน้าคนแถวนี้” “แก! ยัยปากแดง ฝากไว้ก่อนเถอะ” บอกแล้วว่าพันซ์เธอเป็นคนไม่เรื่องมาก เพราะนิสัยแบบนี้ไงผมเลยไม่เคยคิดที่จะเบื่อเธอเลย แต่กับผู้หญิงที่ผมเพิ่งเจอครั้งแรกที่กำลังแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมอยู่ตอนนี้มัน... โคตร-น่า-รำ-คาญ! “หวานัดพี่มาที่นี่มีอะไรเหรอ” ผมรู้ดีว่าเธอนัดผมมาทำไม แต่ไม่อยากแสดงออกว่าฉลาดมากเกินไป เดี๋ยวมันจะไม่สนุก “คือ... หวาแค่อยากอยู่กับพี่ซาดีนส์สองต่อสอง” หวาคนที่ติ๋มๆ กำลังกลับมา แต่คงสายไปแล้วล่ะ เพราะผมรู้นิสัยเธอแล้ว “สองต่อสองแบบนี้?” ผมลองหยั่งเชิงถามเธอดู “แล้วพี่ซาดีนส์คิดว่าหวาหมายถึง... แบบไหนเหรอคะ” หวาใช้นิ้วเรียวยาวกรีดกรายไปตามแผงอกผมผ่านเสื้อนักศึกษาที่ตอนนี้กระดุมบนสองเม็ดมันหลุดออกไป สงสัยจะเป็นฝีมือพันซ์ก่อนหน้า “สองต่อสองของพี่กับหวาต้อง...” ผมหยุดคำพูดไว้ แต่พยักเพยิดหน้าไปที่ชั้นบนของผับไอ้เคซิส หวาคงจะเข้าใจความหมาย สีหน้าเธอแดงจัดเหมือนคนกำลังเขินอายขึ้นมาทันทีที่มองไปตามสายตาของผม “อื้ม~” เสียงอื้ออึงในลำคอผมถูกเปล่งออกมา มันเกิดจากความเสียวซ่านที่หวากำลังปรนเปรอให้ “หวา อา ตรงนั้นมัน... ซี้ด” แม่ง! หวาดูจะช่ำชองเรื่องพวกนี้ดีจริงๆ “ชอบล่ะสิ ขอหวาบ้างนะ” เสียงพูดปนเซ็กซี่ของคนที่นั่งอยู่ที่พื้นเบื้องล่างตรงหว่างขาผมพูดขึ้น พร้อมกับแววตาเชิงยั่วยวนส่งมาให้ผม “เธอทำฉันแทบหมดแรง” ผมแกล้งทำเสียงหอบเหนื่อยใส่ผู้หญิงข้างล่าง “คิกๆ งั้นหวาไม่เกรงใจนะคะ” จบคำพูด คนที่เจนจัดภาคสนามอย่างหวาก็ลุกมานั่งคร่อมตักที่เปลือยเปล่าของผมจากฝีมือเธอก่อนหน้า เธอใช้มือนุ่มสองข้างค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของผมที่เหลืออีกไม่กี่เม็ดออก เผยให้เห็นซิกแพกที่เป็นลอนแกร่ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD