EPISODE – 03/1

3294 Words
“เพอร์เฟคจริงๆ” “อา~” ผมกลั้นเสียงครางไม่ไหว หวาใช้มือลูบไปตามลอนซิกแพกบนหน้าท้องแกร่ง ลากไล้นิ้วเรียวทั้งห้าลงไปจนถึงสิ่งที่แสดงความเป็นชายที่กำลังพร้อมรบ “ถุง อยู่ในลิ้นชักข้างโซฟา” เมื่อผมสัมผัสได้ว่าหวากำลังคิดจะทำอะไร เลยรีบร้องท้วง “จิ๊!” เสียงเหมือนคนโดนขัดใจของหวาทำให้ผมรู้ว่าเธอก็เป็นเหมือนผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาหาผมเพื่อหวังอะไร แต่ก็ช่างมัน! ตอนนี้ผมต้องการปลดปล่อยความอัดอั้นที่มันทรมานไอ้ซีนส์น้อยมากกว่าจะมาคิดเรื่องพวกนั้นให้รกสมอง “ซี้ด!!” ผู้หญิงเป็นงานแม่งดีตรงนี้จริงๆ ผมถึงได้ชอบกินของที่ไม่สด แต่ก็เลือกเอาที่แบบว่าไม่คาวจนเกินไปด้วย “อ๊ะ อะ อ้า” หวาร้องครางออกมาหลังจากที่ผมสวนสะโพกหนาของตัวเองขึ้นรับกับแรงขับเคลื่อนที่ปล่อยให้หวาเป็นฝ่ายคุมเกมรักอยู่ด้านบน “บะ เบาๆ อ๊ะ อื้ม” ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนขย่มผมแท้ๆ แต่กลับบอกให้ผมเบาๆ แทน “อา~” ผมเป่าลมออกจากปากเมื่อเริ่มจะถึงฝั่งฝัน “พี่ซาดีนส์ อ๊ะ อา วะ หวา มะ ไม่ อ๊ะ” หวาเริ่มจะพูดไม่เป็นคำ เธอเพิ่มแรงขยับบนตักผมแรงขึ้นตามอารมณ์ความปรารถนาของตัวเอง “อื้ม อย่าทำรอย!” ผมครางรับแต่ก็ตะคอกคนที่กำลังขับเคลื่อนออกไปเมื่อเธอพยายามจะฝากรอยแดงไว้ที่ซอกคอผม ผมเป็นพวกประเภทไม่ชอบทำรอยกับใครและไม่ชอบให้ใครมาทำรอยบนร่างกาย ผมหวงร่างกายตัวเอง เดี๋ยวผิวสวยๆ ของผมมันหม่นหมอง “ทะ ทำไม อ๊ะ พะ พี่ ซาดีนส์ อา~” หวาคงจะถามเหตุผลที่ผมห้ามการกระทำของเธอก่อนหน้า “ฉันไม่ชอบ!” ผมตอบไปตามตรง แต่หวากลับเหมือนจะไม่สนใจคำตอบของผม ตอนนี้อารมณ์เสียวสะท้านมันคงจะมากกว่าอาการอยากรู้เหตุผลบ้าบอของผม “อ๊ะ ไม่ หวะ ไหว อื้อ” สิ้นเสียงครางหวาน หวาก็ฟุบหน้าลงซบไหล่ผม เมื่อเธอเพิ่งจะแตะขอบฟ้าก่อนผมไปได้ไม่ถึงสิบวิฯ “ซี้ด อื้ม” และผมก็แตะขอบฟ้าตามเธอมาติดๆ เช่นกัน พลั่ก! หลังจากภารกิจครั้งนี้ลุล่วง ผมผลักหวาที่กำลังหอบหมดแรงลงจากตัก ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่หลังห้องทำงานไอ้เคซิส ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่ในนั้นประมาณเกือบยี่สิบนาที ในหัวก็คิดว่าหวาคงจะกลับไปแล้ว จึงได้เดินออกมาจากห้องน้ำเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่พันท่อนล่างมาด้วย “ทำไมนานจังคะ หวานึกว่าหมดแรงในนั้นแล้วซะอีก” เชี่ย! ผมสะดุ้งตกใจหลังจากเดินใจลอยออกมาจากในห้องน้ำ “ยังไม่กลับอีกเหรอ?” ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่พร้อมกับจ้องมองร่างบางที่นอนเอนอยู่บนโซฟาตัวเดิม “ทำไมไล่เมียแบบนี้ล่ะคะ เมื่อกี้ยังกอดหวาแทบจะไม่อยากปล่อย” ผมขมวดคิ้วมุ่นหลังจากที่ได้ยินสรรพนามแทนตัวเองของเธอ “เมีย?” ผมทวนคำนั้นเสียงขุ่น “อ้าว! ไม่ให้เรียกเมียแล้วเมื่อกี้ที่ทำไปคืออะไรล่ะคะ นี่อย่าบอกนะว่าได้หวาแล้วจะเขี่ยทิ้ง หวาไม่ใช่ยัยปากแดงนั่น แล้วก็ผู้หญิงคนอื่นๆ ของพี่หรอกนะ” หวาพูดรัวยาวออกมา ทำหน้าไม่พอใจใส่ผม ให้ตายสิวะ! ผู้หญิงอะไรโคตรน่ารำคาญ แถมยังขี้จุ๊อีกต่างหาก ถ้าการที่ผมมีอะไรกับเธอแค่ครั้งเดียวแล้วให้ยกย่องเป็นเมีย ป่านนี้ไอ้ฉายาเสือร้อยรักแบบผมคงมีเมียเป็นร้อยแล้วล่ะมั้ง! “ฉันว่าเธอคงเข้าใจอะไรผิด” ผมกอดอกยืนมองหน้าผู้หญิงที่ยกตัวเองเป็นเมียผม เธอกำลังนั่งกอดอกทำหน้าเบ้อยู่ที่โซฟาสีเบจตัวเดิม “เข้าใจผิดยังไง” หวาหันหน้ามามองผมด้วยแววตาคาดคั้น น้อยใจกับผีสิ! คิดว่าผมแคร์ผู้หญิงที่เพิ่งมีอะไรกันทุกคนหรือไงวะ? “ฉันกับเธอไม่ใช่สามีหรือภรรยา” ผมเลือกใช้คำพูดสุภาพ พร้อมกับน้ำเสียงที่เรียบเฉยเอ่ยออกไป “เผื่อเธอจะไม่รู้ one night stand?” ผมเลิกคิ้วมองหน้าหวาที่ตอนนี้นั่งทำหน้าเหวออ้าปากค้าง “ตะ แต่ หวา...” “รีบแต่งตัวก่อนที่เพื่อนฉันจะมา เพราะไม่งั้นเธอคงไม่ได้จบที่ฉันคนเดียว” ผมพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินหนีเข้ามาในห้องนอนที่อยู่หลังห้องทำงานไอ้เคซิสอีกครั้ง เบื่อฉิบหาย! เจอผู้หญิงงี่เง่า แถมขี้ตู่แบบนี้ หวังว่าออกไปอีกทีเธอคงไม่หน้าด้านอยู่ที่เดิมอีกหรอกนะ [End part] โอ๊ย! เพลย์เยอร์กลุ้ม จะทำยังไงถึงจะหาตัวไอ้หัวขาวสายเหลืองที่เคยเจอตอนนั้นเจอเนี่ย นี่ฉันก็มาเรียนที่มหาลัย RNN ตั้งสองสัปดาห์แล้วนะ ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่ฉันกำลังอยากฉีกกระชากหน้ากากแอ๊บแมนนั่นสักที “หน้าบูดเป็นตูดลิง” ยีนส์เดินมานั่งม้านั่งข้างๆ พร้อมกับวาจาจิกกัด “เป็นอะไรเหรอ” ฉันที่มัวแต่เหล่ตามองหน้ายีนส์เลยไม่ทันสังเกตว่าตาหวานก็มาพร้อมกับนางด้วย “นี่หวาน เธอแน่ใจนะว่าไอ้หัวขาวอะไรนั่นเรียนอยู่ที่นี่จริง?” ฉันเริ่มจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่เรื่องที่ตาหวานเคยเล่าก่อนหน้า เธอบอกว่าหมอนั่นเป็นคนดังในมหาลัยนี้ แต่ทำไมฉันยังไม่เคยเห็นหัวหมอนั่นอีกเลยตั้งแต่เจอเรื่องอุบาจครั้งนั้น “หมายถึงพี่ซาดีนส์น่ะเหรอ?” ตาหวานเอียงคอน้อยๆ ถามฉันกลับ ฉันพยักหน้าให้เธอ พร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาไอ้คนที่ฉันอยากเจอไปด้วย นี่ขนาดฉันนั่งอยู่ที่หน้าตึกศิลป์ ที่หวานเคยบอกว่าหมอนั่นเรียนอยู่ ฉันยังไม่เคยเจอแม้แต่เงา “นั่นสิ หลายวันมานี้ หวานก็ไม่เห็นกลุ่มพวกพี่ซาดีนส์มาเรียนกันสักคน” ตาหวานพูดพร้อมกับหันซ้ายแลขวาเหมือนกับกำลังมองหากลุ่มคนที่เธอเพิ่งเอ่ยถึงไป “แกจะอยากเจอพวกนั้นทำไม” ยีนส์ที่นั่งกินขนมเงียบๆ ถามขึ้นมา “ก็จะได้ตามไปจับให้ได้คาหนังคาเขาแล้วเอามาแฉให้พวกหล่อนรู้ความจริงน่ะสิ” ฉันยืดอกเชิดหน้าขึ้นตอบเพื่อนยีนส์อย่างแน่วแน่ เคยบอกไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเองว่าจะทำให้คนทั้งมหาลัยตาสว่างเรื่องไอ้หัวขาว เรื่องที่หมอนั่นแค่แอ๊บแมนต่อหน้าสาวๆ แต่ลับหลังก็กินกันเอง “นี่ยังไม่เลิกคิด?” ยีนส์ถามฉัน ทำหน้าตาเบื่อหน่าย สงสัยยัยยีนส์มันยังไม่เชื่อฉัน เออลืมไป ยัยนี่มันพวกเชื่อคนยากถ้าไม่เห็นกับตาตัวเอง “ฉันไม่ได้คิดไปเอง แกดูปากฉันนะยีนส์ ฉัน ไม่ ได้ คิด ไป เอง” ฉันเน้นย้ำทีละคำให้กับเพื่อนรัก จะให้พูดกี่ล้านรอบ ฉันก็ขอยืนยันคำเดิมว่า ไอ้หัวขาวนั่นเป็นเกย์ชัวร์ เพลย์เยอร์คอนเฟิม! แล้วปฏิกิริยาที่ฉันได้รับจากเพื่อนรัก หลังจากที่ฉันอุตส่าห์เน้นย้ำเธออย่างหนักแน่นคือ... “แกเบ้ปากใส่ฉันแบบนี้แสดงว่าไม่ยอมเชื่อชัวร์!” ฉันเลิกคิ้วถามยีนส์อีกรอบเพราะนางเอาแต่ส่ายหัว ทำปากคว่ำปากงอใส่ฉัน ยีนส์พยักหน้าแทบจะทันทีที่ฉันย้ำความคิดของเธอ “ได้ยีนส์! มาพนันกัน ถ้าฉันจับได้ว่าไอ้หัวขาวนั่นเป็นเกย์ แกต้องนอนแก้ผ้าเป็นเพื่อนฉัน!” ฉันยกนิ้วก้อยขวาขึ้นเพื่อทำสัญญากับยีนส์ “ยัยเพลย์น้อยขี้หื่น” ยีนส์ยิ้มมุมปากให้ฉันเหมือนเธอมั่นใจว่าเธอต้องชนะ แล้วที่ยีนส์เรียกฉันว่าเพลย์น้อยขี้หื่นไม่ใช่ว่าฉันหื่นอย่างที่เธอบอกหรอก ฉันมันเป็นพวกประเภท ขี้ร้อน ขี้หงุดหงิด เวลานอนชอบนอนเปลือย แบบว่ามันโล่งแล้วก็นอนสบายดีอะ “เฮ้ย! นั่นไง มาแล้ว” ฉันที่กำลังเล่นจ้องตากับยีนส์ เสียงตาหวานที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือฉันก็ดังลั่นขึ้น พร้อมกับแรงเขย่าแขนฉันเหมือนกับดีใจอะไรสักอย่าง “อะไร ไหนใครมา” ฉันลนลานตามอาการของตาหวาน เธอชี้นิ้วเรียวๆ ไปทางด้านหลังยีนส์ที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือฉัน เมื่อสายตาปรากฏร่างของคนที่กำลังตามหา ฉันก็แสยะยิ้มแบบชั่วร้ายออกมาทันที “แกเตรียมตัวนอนแก้ผ้าได้เลยเพื่อนรัก” ฉันบอกยีนส์ยิ้มๆ พร้อมกับตบไหล่เธอเบาๆ สองที จากนั้นก็ “เฮ้! นั่นแกจะไปไหน” ฉันไม่สนใจเสียงยีนส์ที่ดังถามไล่หลังมา รีบตรงดิ่งสะกดรอยตามไอ้หัวขาวและเพื่อนๆ อีกสามคนของหมอนั่น “ไอ้ซีนส์สรุปอาทิตย์ก่อนมึงกับน้องหวามันยังไงกันแน่วะ” เสียงผู้ชายที่ดูจะอายุเยอะสุดในกลุ่มถามใครบางคนที่ชื่อซีนส์ น่าจะใช่นะถ้าฟังไม่ผิด “ก็ไม่ยังไง กูพลาดว่ะเคซิส กูไม่น่าเล้ย!” ไอ้หัวขาวโจทย์เก่าฉันพูดขึ้น อ๋อ ที่แท้คนที่ชื่อซีนส์คือไอ้หัวขาวนี่เอง “มึงก็พลาดกับทุกคน” เสียงเยือกเย็นของผู้ชายที่มีรอยสักอยู่ที่แขนขวาพูดขึ้น พร้อมกับตบหัวไอ้หัวขาวไปหนึ่งที “ไอ้การ์เซีย มึงอย่าเล่นหัว เดี๋ยวของเสื่อม” “ถ้าอย่างนายมีของ ก็คงของดำแล้วแหละ” ฉันว่าให้ไอ้หัวขาวเบาๆ พร้อมกับเบะปากหมั่นไส้ “ไอ้ขันมึงช่วยผัวมึงคิดสิจะไล่น้องหวาอะไรนั่นไปยังไง” นั่น... เห็นมั้ย! พวกยัยยีนส์กับตาหวานน่าจะมาได้ยินประโยคเด็ดเมื่อกี้ คนที่ชื่อเคซิสอะไรนั่นพูดเองกับปากว่าไอ้หัวขาวกับคนที่ฉันเจอในห้องน้ำพวกนั้นกินกันเองอย่างที่ฉันบอกไปจริงๆ แบบนี้ต้องรีบกลับไปรายงาน เสียดายฉันน่าจะอัดคลิปเสียงไว้ ไม่น่าพลาดเลยยัยเพลย์ แต่ช่างมัน! วันพระไม่ได้มีแค่หันเดียว วันนี้ฉันยังไม่มีหลักฐานชัดๆ แต่อย่างน้อยฉันก็มีพยานปากเอกที่เพิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ฉันไปหนึ่งคนแล้วกัน [Sadin’s part] ป้าบ! ผมตบหัวไอ้เคซิสไปหนึ่งที โทษฐานที่ปากหมา มายกสถานะผัวให้ผมกับไอ้ขันที เดี๋ยวสาวๆ มาได้ยิน มีหวังเข้าใจผมผิดสิครับ แหม่! “ไอ้ห่า! สาบานว่ามึงนับถือกู” ไอ้เคซิสลูบหัวป้อยๆ ทำหน้าน้อยใจส่งมาให้ผม “ตบเบาๆ อย่ามาสำออย” คิดว่าผมจะแคร์มันเหรอ “เออแม่ง!” ไอ้เคซิสทำท่าทางเหมือนโกรธผมจริงๆ มันเดินไปเตะกระป๋องโค้กที่ใครทิ้งไว้แถวนั้นลอยละลิ่ว และ... “โอ๊ย!” พวกผมสี่คนรีบหันไปตามเสียงร้องเมื่อกี้เป็นทางเดียวกัน “ใคร?” ไอ้การ์เซียใช้น้ำเสียงเรียบแต่ดุดันถามออกไป เงียบ! ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจากปลายทางที่พวกเราสี่คนถาม ผมจึงเป็นคนเดินดุ่มๆ ไปทางต้นเสียงที่คิดว่าน่าจะมาจากทางด้านหลังพวกเรา เพราะเมื่อกี้ไอ้เคซิสมันเตะกระป๋องโค้กไปทางนั้นพอดี สวบ! ผมใช้สองมือแหวกพุ่มต้นไม้ที่อยู่ริมทางออกเพราะคิดว่าต้นเสียงมาจากมุมนี้ แล้วก็จริง เมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือ ผู้หญิงผมน้ำตาลแดงยาวสลวยคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ ก้มหน้าติดเข่าปิดบังใบหน้า “ลุกขึ้น!” ผมมั่นใจว่าเสียงเมื่อกี้คือผู้หญิงคนนี้เพราะมันมีโค้กกระป๋องต้นเหตุนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ เธอ เงียบ ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้จากเธอ ผมก้มลงไปคว้าเอาข้อมือเล็กๆ แต่แม่ง อย่างขาว แถมผิวโคตรเนียนนุ่มสัสๆ เพื่อที่จะดึงเธอลุกขึ้นจากท่านั่งที่มันโคตรจะล่อแหลมส่อแววอ่อยผมสุดๆ เพราะกระโปรงนักศึกษาเธอแม่ง! อย่างสั้นแล้วนั่งยองๆ แบบนั้นมันร่นไงครับ ร่นจนเกือบจะไม่มีอะไรปิดแล้ว เพี้ยะ! “อย่ามาลวนลามฉันนะ” ผู้หญิงที่ตอนแรกไม่มีอาการตอบสนองอยู่ๆ ก็ยกมืออีกข้างที่ผมไม่ได้จับไว้มาตีมือผม แสบฉิบ! แดงหมดเลย แรงคนหรือแรงควาย? “เธอ!” หลังจากที่เห็นหน้าตาผู้หญิงคนนี้ชัดๆ ผมถึงกับตกใจตาโต พรึบ ผลัก! “เฮ้ย! อย่าหนีสิวะ” เธออาศัยจังหวะที่ผมตกใจเมื่อกี้สะบัดมือออกจากการจับกุมของผม วิ่งสุดทรีนออกไปจากตรงนี้ “ใครวะ” ไอ้ขันทีเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ พร้อมกับเอ่ยถาม “มึงจำคนที่เราเจอวันที่กูเจาะหูให้มึงได้มั้ย?” ผมถามไอ้ขันทีเผื่อมันจำได้ “คนที่ทำหัวมึงปูด?” แทนที่ไอ้คนที่ผมถามจะตอบ แต่ดันเป็นไอ้การ์เซียขี้เสือกเดินมาสมทบแล้วพูดแซะผมแทน “เออ!” ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะมาเล่นกับใครทั้งนั้นเลยตอบรับมันเสียงห้วนๆ เจอตัวจนได้นะยัยตัวแสบ! “แล้วนั่น มือมึง!” เสียงเคซิสดังขึ้นเรียกให้ผมก้มลงมองตามสายตามันที่มองลงมาที่มือขวาผมอีกที “ฉิบ!” ผมสบถออกมาเบาๆ ทำไมเจอยัยนี่ทีไร ผมต้องเจ็บตัวทุกทีเลยวะ ครั้งนี้แม่งเล่นฝากรอยเล็บไว้ซะยาวเชียว ถึงว่า ทำไมผมรู้สึกแสบๆ “มึงคอยดู กูจะต้องล้างแค้นยัยนี่ให้ได้” ผมกัดฟันพูดออกไปด้วยความโมโห ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่กล้าทำร้ายผมได้ถึงสองครั้งแล้วลอยนวลแบบนี้ ยินดีด้วยยัยตัวแสบ เธอเป็นคนแรกในบัญชีดำของซาดีนส์สุดหล่อแล้ว [End part] แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก ฉันกำลังวิ่งสี่คูณร้อยบนรองเท้าคัทชูสูงสองนิ้วครึ่ง เพราะตกใจที่ตัวเองโดนไอ้หัวขาวซีนส์อะไรนั่นจับได้ว่าแอบอยู่ตรงนั้น ต้องโทษคนที่เตะกระป๋องโค้กมาโดนหัวฉันมากกว่า ทำไมกรรมมันตามสนองเพลย์เยอร์น้อยคนนี้เร็วจุง จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งจะทำแบบนี้กับใครบางคน ไม่รู้ฉันวิ่งมาไกลแค่ไหน เพราะตอนนี้รู้สึกกำลังหายใจเอาอากาศเข้าไปไม่ทันเลยหยุดพิงผนังตึกๆ หนึ่ง “เจ็บเป็นบ้า เหนื่อยด้วย แฮ่กๆ” แผ่นหลังบางของฉันพิงกับผนังปูนขาวสะอาดตา ปากก็พร่ำบ่นไปทั้งๆ ที่หอบแฮ่กๆ “วิ่งหนีไรมาเหรอครับ” ฉันสะดุ้งตัวโหยง จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายที่ไหนไม่รู้ถามฉันขึ้นข้างๆ ฉันว่าตอนแรกยืนอยู่คนเดียวนะ แล้วเด็กนี่โผล่มาจากไหน แถมยืนซะใกล้ชิดขนาดที่อีกแค่ครึ่งมิลผิวหนังเราคงแตะกันไปแล้ว “นะ นาย” ฉันที่ยังคงมีอาการหอบเหนื่อยอยู่ ครั้นจะเอ่ยปากถาม เขาเป็นใครก็ได้แค่เอ่ยออกไปคำเดียว ก็ต้องหยุดพูดเพื่อหอบเอาอากาศเข้าปอดต่อ “ใจเย็นๆ ฮะ ค่อยๆ หายใจ เดี๋ยวก็สำลักอากาศกันพอดี” แค่ก แค่ก แค่ก ให้ตายสิ! วาจาเด็กคนนี้มันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พูดยังไม่ทันขาดคำ ฉันก็สำลักอากาศเข้าจนได้ “เห็นมั้ยผมบอกแล้ว เอ้า! นี่ฮะ” เด็กน้อยหน้าตาบ๊องแบ๊ว ผิวขาวใส ส่วนสูงเลยฉันไปประมาณห้าเซนได้ ยื่นหลอดยาดมกลิ่นมินต์มาให้ฉัน “ขอบใจ” ฉันพูดขอบคุณพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบยาดมหลอดนั้นเปิดผาแล้วก็รีบสูดกลิ่นมินต์เย็นๆ เข้าปอดอึกใหญ่ เฮ้อ! ค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย นึกว่าเพลย์เยอร์น้อยจะถึงคาดเสียแล้ว “ตกลงพี่สาวคนสวยวิ่งหนีอะไรมาเหรอฮะ” คนข้างๆ ยังคงถามประโยคที่ยังไม่ได้คำตอบก่อนหน้า “หนีไอ้โรคจิต” “ห๊ะ! มหาลัยเรามีโรคจิตเข้ามาอีกแล้วเหรอ แบบนี้ต้องรีบไปบอกลุงยาม” พูดจบเขาก็ทำท่าเหมือนกับจะวิ่งออกไปบอกลุงยามอย่างที่ว่าไว้จริงๆ “เฮ้! เดี๋ยว จะไปไหนน่ะ” ฉันรีบดึงมือเขาไว้แทบจะคว้าไม่ทัน “พี่สาวจะยื้อทำไม เดี๋ยวไอ้โรคจิตนั่นก็หนีไปก่อนพอดี” เขาพูดเหมือนหงุดหงิดฉัน ทำหน้าทำตาเหมือนกับโดนขัดใจสุดๆ ที่รีบคว้ามือเขาไว้ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ฉันเผลอลืมไป ว่าไม่มีใครรู้ว่าไอ้โรคจิตที่ฉันว่ามันคือคนที่ชื่อซีนส์อะไรนั่น “ไม่ต้องแล้ว ป่านนี้มันคงหนีไปไกลแล้วล่ะ” ขี้เกียจอธิบายให้ยืดยาว เลยโกหกออกไป แต่แทนที่เด็กคนที่ฉันยื้อข้อมือไว้จะเชื่อ เขากลับหลี่ตาข้างหนึ่งจ้องมองฉันเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันเพิ่งบอกไป “น้องไม่เชื่อ?” ฉันถามเสียงห้วน ครั้งนี้เรียกสรรพนามว่าน้องเลยแหละ ก็หน้าเด็กขนาดนี้ ยังไงๆ ก็ต้องเป็นรุ่นน้องฉันชัวร์! “เปล่าฮะ เชื่อก็เชื่อ” รุ่นน้องคนเดิมพูดเสียงเนือยๆ เหมือนกับตอบแบบขอไปทีอะไรทำนองนั่น แล้วแบบนี้สรุปน้องเขาเชื่อหรือไม่เชื่อเนี่ย! เพลย์เยอร์หงุดหงิด! “ทำไมพี่ทำหน้าเหมือนหงุดหงิดโตเลย” สงสัยฉันจะแสดงออกทางสีหน้ามากไปสินะ “ชื่อไรเหรอเรา” ฉันเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “ชื่อตาโตฮะ เรียนปีหนึ่งออกแบบ” เห็นมั้ยบอกแล้วว่าเขาเป็นรุ่นน้องฉัน “พี่ชื่อเพลย์เยอร์ เรียกพี่เพลย์ก็ได้สั้นดี” ฉันแนะนำตัวเองพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้ตาโต “พี่เพลย์เรียนปีไหนเหรอฮะ” ตาโตชวนฉันคุยต่อ “พี่ว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันดีๆ ก่อนดีกว่า ปวดขาจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว” ว่าจบฉันก็เป็นคนเดินนำตาโตไปที่ศาลานั่งเล่นที่อยู่ไม่ไกลจากตรงที่พวกเรากำลังยืนอยู่ตอนนี้ “ที่นี่สวยดีเนอะ บรรยากาศก็ดีด้วย” ฉันกางมือสองข้างขึ้นเหนือหัว พร้อมกับทำท่าสูดอากาศเข้าปอดอึกใหญ่ พื้นที่ตรงหน้าฉันเป็นสระบัวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ น้ำใสๆ มองเห็นพวกปลาเล็กปลาน้อยสีสันหลากสีว่ายอยู่รำไร เพิ่มให้บรรยากาศเย็นสดชื่นเข้าไปอีก “เห็นพวกรุ่นพี่และอาจารย์บอกกันว่า มหาลัยแห่งนี้สถาปนิคที่ออกแบบโครงสร้างต่างๆ อายุแค่ราวๆ 23-24 ปี เองนะฮะ แต่ผมว่าคงแค่ข่าวลือเท่านั้นแหละ อายุแค่นั้นจะออกแบบได้สวยเหมือนพวกที่ทำงานมาแล้วค่อนชีวิตได้ไง” ตาโตเล่าเกี่ยวกับมหาลัย RNN ให้ฉันฟัง แต่การคิดในแบบของตาโตฉันว่ามันก็ผิดไปอยู่นะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD