“จะอายุแค่ไหนแต่ถ้ามีความคิดสร้างสรรค์พี่ว่ามันก็เป็นไปได้หมดแหละ อย่าตัดสินคนที่อายุดีกว่า” ฉันคิดแบบนี้จริงๆ เลยบอกน้องมันไป
“อ่าฮะ” ตาโตพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
“แล้วเมื่อกี้เราถามอะไรพี่นะ ไม่ทันฟัง” ฉันคิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้าเหมือนตาโตจะถามคำถามฉันค้างไว้ แต่ตอนนั้นมันรู้สึกล้าๆ เลยไม่ได้ตั้งใจฟัง
“ผมถามพี่เพลย์ว่าอยู่ปีไหน คณะอะไร แค่นี้ฮะ” ตาโตนั่งลงที่เก้าอี้ลายหินแกรนิตฝั่งตรงข้ามกับฉัน ตั้งแต่ฉันสังเกตมา เขาจ้องหน้าฉันไม่วางตาเลยนะ
“พี่อยู่ปีสอง แต่อายุ 21 ซิ่วมาปีนึงน่ะ” บอกไป ก็รู้สึกอายนิดๆ แฮะ
“ฮะ” ตาโตพยักหน้าแล้วก็ตั้งใจฟังอีกคำถามที่ฉันยังไม่ตอบเขา
“พี่เรียนการโฆษณา คณะนิเทศศาตร์”
“เฮ้ย! จริงดิ เรียนปีเดียวกัน คณะเดียวกันกับพี่สาวผมเลย”
ฉันพูดจบไม่กี่วินาที ตาโตก็ร้องซะตกใจ เมื่อกี้น้องมันบอกว่าฉันเรียนปีเดียว คณะเดียวกันกับพี่สาวเขางั้นเหรอ ชื่อ ตาโต…
ตาโต กับ ตาหวาน อย่าบอกนะว่า?
“พี่สาวผมชื่อตาหวาน เรียนคณะนิเทศศาตร์ สาขาการโฆษณาเหมือนพี่เลย”
อา... โลกกลมจริงๆ อยู่ๆ ก็ได้รู้จักน้องชายเพื่อน
“พี่กับตาหวานเป็นเพื่อนในกลุ่ม ตาหวานน่ารัก เรียบร้อยแถมยังใจดีพาพวกพี่ทัวร์รอบมหาลัยแถมพาไปเที่ยวห้างบ่อยๆ ด้วย” ฉันอวดสรรพคุณพี่สาวตาโตให้เขาฟัง น้องชายเธอถึงกับฉีกยิ้มไม่หุบ สงสัยจะรักพี่สาวและปลื้มพี่สาวมากๆ สินะ
“แล้วทำไมพี่เพลย์ถึงอยู่คนเดียวล่ะ พี่สาวผมไม่ได้มาด้วยกันเหรอ” ตาโตพูดไปก็ชะเง้อคอมองไปรอบๆ บริเวณที่พวกเรานั่งกันอยู่ สงสัยจะมองหาพี่สาวตัวเอง
“พี่แยกกับตาหวานมาหาหลักฐานอะไรนิดหน่อย”
“หลักฐานอะไรเหรอฮะ อย่าบอกนะ พี่เพลย์จะจับไอ้โรคจิตที่ว่านั่น?”
“ก็ไม่เชิง” ฉันหยักไหล่ประกอบคำพูด นึกว่าตัวเองแค่คิด แต่ทำไมดันเพลอหลุดเป็นเสียงออกมาได้ล่ะเนี่ย
“มันอันตรายนะฮะ พี่เพลย์เป็นผู้หญิงด้วย ผมว่าเราเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านอธิการดีกว่ามั้ย จะได้หามาตรการป้องกัน” ตาโตร่ายยาวเชิงตักเตือนฉัน
แววตาน้องเขาดูเป็นห่วงเป็นใย พี่น้องคู่นี้นิสัยเหมือนกันเลย ตาหวานก็เป็นคนดี รักเพื่อน น้องชายอย่างตาโตที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่นาทีก็ดูเป็นห่วงเป็นใยฉันอย่างเห็นได้ชัด
“งั้นเรามาช่วยพี่มั้ยล่ะ” เมื่อสมองอันชาญฉลาดของฉันแว้บหนึ่งมันฉุกคิดอะไรดีๆ ออกเลยเอ่ยลองโยนหินถามทางดู
ถ้าฉันอยากได้หลักฐานจับไอ้หัวขาวนั่น ฉันต้องมีเหยื่อล่อเพศเดียวกันอย่างตาโตนี่แหละ ไอ้สายเหลืองนั่นถึงจะกินเบ็ด หึหึ!
นี่ฉันดูชั่วร้ายไปมั้ย ส่งน้องเข้าปากเสือแบบนั้น แถมยังเป็นเสือกินเพศเดียวกันอย่างไอ้โรคจิตซีนส์อะไรนั่นอีก
‘พี่เพลย์ขอโทษนะตาโต”
“พี่เพลย์สัญญาจะปกป้องน้องไม่ให้โดนทลวงลำไส้ใหญ่เอง’
“พี่เพลย์ พี่เพลย์ฮะ!”
ฉันสะดุ้งตกใจกับเสียงเรียกที่สุดแสนจะกังวานของตาโตที่อยู่ๆ ก็เรียกชื่อฉันซะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงกับหันมามอง
“จะเรียกอะไรซะดัง อายคนมั้ย!” ฉันว่าให้ตาโตเบาๆ
“ผมเรียกพี่เพลย์ตั้งนาน แล้วดูสิมัวแต่ยิ้มเหมือนคิดอะไรร้ายๆ อยู่งั้นแหละ” ตาโตทำหน้าบูดใส่ฉัน แต่ฉันไม่จุกเท่ากับคำพูดประโยคสุดท้ายหรอก
“นี่หน้าพี่ฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันโน้มตัวใช้มือสองข้างวางข้างตัวเพื่อยึดเก้าอี้ไม่ให้ล้มไปข้างหน้าเพราะแรงโน้มถ่วงของร่างกาย
“มากเลยอะพี่ พี่เพลย์เคยดูหนังที่พวกตัวร้ายมันกำลังคิดแผนชั่วร้ายในหัวแล้วเผลอยิ้มแสยะออกมาเปล่าล่ะ นั่นเลยที่พี่เพลย์ทำ”
ฉันหน้าเจื่อนทันทีที่ตาโตอธิบายซะเห็นภาพ ยัยเพลย์เอ๊ย! ทำไมแกเป็นพวกเก็บอาการทางสีหน้าไม่เป็นเลยวะ ขนาดน้องมันเพิ่งรู้จักยังดูแกออกเลย แล้วแบบนี้ไอ้สายเหลืองนั่นจะไม่จับผิดฉันได้เหรอ
“ตาโต” ฉันสะบัดหัวไล่ภาพที่ตาโตสร้างให้ฉันเห็นเมื่อกี้ออก แล้วเรียกชื่อน้องมันเบาๆ ตาโตไม่ตอบเป็นเสียง แต่เขาจ้องหน้าฉันเหมือนกำลังตั้งใจรอฟังคำพูดต่อไปจากฉัน “พี่มีเรื่องให้ช่วย อยากเล่นเป็นสายสืบกับพี่เปล่า”
ฉันเริ่มแผนการตะล่อมเด็กให้มาเป็นพวก ในใจก็คิดยังตบตีกันอยู่ว่ามันจะดีมั้ยถ้าฉันจะใช้ ไม่สิ เรียกว่าไหว้วานแล้วกัน ถ้าฉันจะไหว้วานน้องตาโตให้ไปหาหลักฐานจากไอ้โรคจิตซีนส์นั่น
“สืบแบบไหนอะ สืบอะไร กับใคร” ประโยคคำถามจากปากตาโตเริ่มมาเรื่อยๆ เหมือนกับอาจารย์ที่กำลังอธิบายการแต่งเรียงความสักอย่างที่บอกว่า
‘ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร’ ประมาณนั้นเลย
“พอๆ ไม่ต้องถาม นั่งฟังเงียบๆ เดี๋ยวพี่เพลย์อธิบายเอง” ฉันรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเริ่มจะเป็นตัวร้ายอย่างที่ตาโตบอกไว้ก่อนหน้าแล้วล่ะ
รู้เลยว่ารอยยิ้มแสยะเหมือนคนกำลังสะใจหากแผนจับผิดไอ้หัวขาวนั่นสำเร็จ และทำให้คนทั้งมหาลัยตาสว่างได้ มันจะมีความสุขขนาดไหน
ฉันใช้เวลาอธิบายแผนการคร่าวๆ ให้ตาโตฟังประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงโดยเริ่มจากเล่าเหตุการณ์ในห้องน้ำที่ฉันเห็นไอ้หัวขาวกับเพื่อนเขา
เรื่องที่เพื่อนเขาที่ชื่อเคซิสอะไรนั่นเรียกเขาว่าสามีของผู้ชายคนเดิม จากนั้นก็ตบท้ายด้วยการสั่งแกมขอร้องให้ตาโตเข้าไปลองจีบไอ้หัวขาวซีนส์นั่น
“เฮ้ย! พี่เพลย์ ถ้าพี่มั่วนี่ผมหมาเลยนะฮะ” ตาโตทำหน้าเหมือนไม่อยากจะร่วมมือกับฉัน น้ำเสียงเชิงปฏิเสธของหมอนั่นทำให้ฉันเฟลนิดหน่อย
“นี่พี่เล่าขนาดนี้โตยังไม่เชื่อพี่อีกเหรอ ทำตัวเหมือนยัยยีนส์กับตาหวานเลย” ฉันเริ่มจะเห็นเค้าลางว่าตาโตต้องไปอยู่ฝั่งยีนส์และพี่สาวเขาแน่ๆ
“ไม่รู้สิพี่ ผู้ชายที่พี่บอกให้ผมแกล้งเข้าหา เขาเป็นถึงลูกชายท่านอธิการเลยนะฮะ แถมยังฮอตปรอทแตกในหมู่สาวๆ ทั้งมหาลัยอีก ถึงผมจะเพิ่งมาเรียนได้ไม่กี่เดือนแต่ผมไม่เคยได้ยินข่าวลือแบบที่พี่ว่ามาสักนิดเลยนะ”
ตาโตยังคงหาเหตุผลล้านแปดเพื่อหวังให้ฉันล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาหลักฐานจับไอ้หัวขาวนั่น
ไม่มีทาง! เพลย์เยอร์เชื่อในสิ่งที่เห็น ไม่สนลมปากคนอื่นเด็ดขาด!
“แต่ถ้าลองก็ไม่เสียหายนี่ เผื่อสิ่งที่พี่พูดมันเป็นเรื่องจริง ตาโตเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวที่ช่วยสาวๆ ให้หลุดพ้นจากไอ้แอ๊บแมนนั่นเลยนะ”
ฉันยังคงพยายามตะล่อมตาโตให้มาเป็นพวกไปเรื่อยๆ
ครั้งนี้น้องมันเริ่มทำหน้าอ่อนลง เหมือนจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่รอบนี้ฉันว่าสีหน้าน้องเขาจะค่อนมาทางฉันมากกว่าเก่าอีกนะ
“แล้วพี่จะให้ผมเอาอะไรจากพี่คนนั้นบ้างอะ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเราจะเรียนสาขาเดียวกัน” ฉันที่ได้ยินคำพูดท้ายประโยคของตาโตถึงกับหูผึ่ง
เรียนสาขาเดียวกัน งั้นก็มีสิทธิ์ที่จะเจอกันบ่อยๆ แถมถ้าโลกกลมสวรรค์เป็นใจอาจจะส่งไอ้หัวขาวนั่นมาเป็นปู่รหัส สายรหัส อะไรเทือกนั้นก็เป็นได้
หึหึ! งานนี้สนุกแน่
“พี่เพลย์กำลังคิดอะไรไม่ดีอีกแล้วใช่ไหมฮะ?”
อา... สีหน้าท่าทางฉันมันปิดไม่มิดจริงๆ สินะ สงสัยต้องพยายามฝึกเรื่องการแสดงออกทางสีหน้าให้มากๆ แล้วล่ะยัยเพลย์
“ก็ไม่ได้ชั่วร้ายอะไรหรอก ว่าแต่เรามีพี่รหัสหรือยังล่ะ” ฉันเริ่มเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้ตาโตหายครางแครงใจกับความคิดชั่วร้ายของตัวเอง
“ฮะ เรียบร้อยแล้ว ได้พี่รหัสปีสองชื่อตุ่น พี่ถามทำไมฮะ” ตาโตบอกเรื่องนั้นเสร็จเขาก็ถามฉันกลับ
“เปล่า เผื่อบังเอิญเป็นกลุ่มคนที่พี่จะให้ไปสืบไง” ฉันตอบพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องให้น้องเลิกสนใจเรื่องพี่รหัสอะไรนั่น
อย่างน้อยเรื่องโลกกลมหรือพรมลิขิตก็ใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้ งั้นคงต้องใช้วิธีสัจจะธรรมของโลกสืบเองแล้วล่ะ
หลังจากที่แลกเบอร์โทร ไลน์ เฟซบุ๊กกันเสร็จเรียบร้อย ตาโตก็ขอตัวไปเรียน ส่วนฉันก็หยิบมือถือขึ้นมากดต่อสายหาเพื่อนเลิฟทันที
ตู๊ด ตู๊ด สัญญาณรอสายดังไม่กี่ครั้งยีนส์ก็กดรับสาย
[ไหนล่ะหลักฐานแก] ฉันยังไม่ได้อ้าปากจะพูดอะไร ยีนส์ก็เป็นคนถามฉันเหมือนตัวหล่อนเป็นคนโทรมาเองงั้นแหละ
“อีกไม่นานหรอกย่ะ เตรียมรอนอนชีเปลือยเป็นเพื่อนฉันเลยยีนส์เพื่อนรัก”
ฉันพูดน้ำเสียงสะใจเหมือนพวกโรคจิต เมื่อคิดภาพวันที่ได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของยีนส์ นี่ฉันคงไม่ได้มีรสนิยมกินกันเองเหมือนไอ้หัวขาวหรอกนะ?
[ฝันหวานอีกสิบชาติไปเถอะ] เสียงค้อนขอดของยีนส์ดังกระแทกหู ทำให้คนฟังอย่างฉันถึงกับเม้มปากเป็นเส้นตรงที่เธอไม่สะทกสะท้านกับคำพูดฉันเลย
“แกอยู่ไหนอะ” ขี้เกียจเถียงกับยีนส์ พูดเรื่องนี้ทีไรมันหงุดหงิด
[อยู่โรงอาหารที่คณะฯ จะกินมั้ยข้าวหรือจะหาหลักฐานต่อ]
ทำไมยีนส์มันขี้ประชดแบบนี้ ชิงอน!
“รอนั่นแหละ สั่งข้าวเผื่อด้วย” สั่งเสร็จฉันก็กดตัดสายยีนส์ ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วเดินตรงไปยังจุดที่เพื่อนตัวดีรออยู่
“นี่แกกับพี่เขาอะไรๆ ไปกี่รอบแล้วยะ” ฉันที่เพิ่งมาถึงโรงอาหารของคณะกำลังยืนมองหาโต๊ะที่พวกยีนส์นั่ง ก็ได้ยินเสียงกระดี้กระด้าพร้อมกับบทสนทนาของโจทย์เก่าที่กำลังเม้าท์กันออกหน้าออกตา พร้อมทั้งเหล่มองฉันด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“บ้า! เล็กก็... พูดไรไม่รู้เรื่องแบบนี้มาถามที่คนเยอะๆ ได้ยังไงกันยะ” หวาทำเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนคนเขินอาย พร้อมกับผลักไหล่เล็กเพื่อนสนิทเบาๆ แก้เขิน
‘เห็นแล้วขัดหูขัดตาอะ’
“พี่ซาดีนส์เขาตกลงเป็นแฟนกับฉันด้วยแหละ” แล้วทำไมต้องมองหน้าฉันด้วยอะ ไม่ได้อยากรู้ อยากเผือกเรื่องของหล่อนกับผู้ชายของหล่อนเลย จังหวะที่กำลังจะเดินผ่านสองคนนี้ไป เสียงกรีดร้องแหลมหูเหมือนคนกำลังถูกเชือดก็ดังขึ้น
“กรี้ด! ฉันอิจอ่า ตาร้อนอย่างแรง” เสียงยัยเล็กนั่นเองที่ร้องเหมือนคนถูกเชือด แล้วก็นะ ไอ้คำว่า ‘ตาร้อน’ ที่เธอเอ่ยเมื่อกี้ทำไมต้องจิกตาใส่ฉันด้วยอะ
สองคนนี้กำลังคิดจะหาเรื่องฉันอยู่หรือเปล่า?
“เพลย์ ทางนี้ๆ” ฉันที่กำลังจะเดินไปหาหวากับเล็กเพื่อถามให้หายค้องใจ เสียงตาหวานก็ดังขึ้นเรียกสายตาฉันให้หันไปมองเธอซะก่อน
วันนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะไฝว้ใครเท่าไหร่ เหนื่อยกับไอ้หัวขาวมามากแล้ว เลยเลือกที่จะเดินไปหาตาหวานที่นั่งอยู่โต๊ะกลางโรงอาหารแทน
“อะ กินซะจะได้มีแรงไปตามหาหลักฐานต่อ” ทันทีที่ก้นฉันแตะลงเก้าอี้ไม้ ยีนส์ก็เลื่อนจานข้าวผัดมาตรงหน้าฉันพร้อมเอ่ยแซะทันที
“ฉันไม่จำเป็นต้องวิ่งหาหลักฐานให้เหนื่อยแล้วย่ะ ฉันได้ผู้ช่วยดี” ฉันทำหน้าเชิดใส่ยีนส์ เธอหันหน้ามามองฉันพร้อมกับสายตาที่บอกว่า… ‘ใครช่างโง่เชื่อแกยะ’
ยัยเพื่อนบ้า คิดว่าฉันอ่านสายตาแกไม่ออกหรือไง
“น้องเขาไม่ได้โง่ย่ะ น้องเขาเต็มใจช่วยต่างหาก” เต็มใจแบบก้ำกึ่งด้วยนะ
“น้อง? แกไปหลอกล่อเด็กที่ไหนมาเป็นพวกอีกเพลย์ เล่ามา!” ยีนส์วางช้อนที่กำลังจะตักข้าวกระเพาใส่ปากลงแทบทันที มือสองข้างยกสอดประสานกันไว้ใต้คางเตรียมรอฟังฉันเล่าอย่างเต็มที่
“ขอกินก่อนได้มั้ยอะ หิวมาก เหนื่อยด้วย” ฉันไม่สนใจยีนส์ ก้มหน้าตักข้าวผัดหมูที่เพื่อนรักแสนรู้ใจว่าเป็นอาหารสิ้นคิดที่ฉันโครตจะชอบตรงหน้า กินแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ใช้เวลากินข้าวไปประมาณสิบนาที ยีนส์ก็ยังคงนั่งท่าเดิมมือประสานไว้ใต้คางจ้องหน้าฉันแทบจะกินเลือดกินเนื้อ อะไรจะอยากรู้ขนาดนั้นเพื่อนฉัน
“เออๆ เล่าแล้ว อย่ามาใช้สายตาคาดคั้นฉันสิ กลัวนะเว้ย!” ฉันยกมือผลักไหล่ยีนส์เบาๆ พร้อมกับทำท่าสูดลมเข้าปอดเพื่อเตรียมเล่าเรื่องผู้ช่วยอย่างตาโตให้ทั้งยีนส์และตาหวานฟังแบบละเอียดยิบ
ยกเว้นที่ฉันโดนเตะโค้กใส่หัวตอนแอบตามกลุ่มไอ้หัวขาวไปนะ เดี๋ยวยัยยีนส์มันจะล้อฉันไม่เลิกน่ะ
“จะดีเหรอเพลย์ให้เจ้าโตมันช่วยแบบนั้น น้องเราไม่ค่อยจะเอาอ่าวเท่าไหร่ เรากลัวจะทำเพลย์เดือดร้อน”
หลังจากที่ฉันเล่าจบ เป็นตาหวานที่เอื้อนเอ่ยออกมาคนแรกด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ประมาณว่า ‘น้องฉันมันห่วย’ หรือไม่ก็ ‘งานเข้าเจ้าตาโตแล้ว’ ทำนองนี้
“ว่าแล้ว... แกต้องใช้ความสวยเข้าล่อลวงเด็ก”
อ้าว! ทำไมยีนส์ยัดเยียดข้อหาแบบนั้นให้น้องเพลย์ล่ะคะ
ฉันไม่ได้ล่อลวงเด็กนะ ฉันขอร้องเหอะ!
“สวยน่ะฉันไม่เถียง แต่ที่แกบอกว่าฉันล่อลวงเด็กน่ะไม่จริง!” น้ำเสียงท้ายประโยคฉันหนักแน่นมาก แต่เพื่อนยีนส์กลับเบ้ปากแล้วเบือนหน้าหนี
เพลย์เฟลอีกแล้ว เพื่อนไม่เข้าข้าง
“จะทำอะไรก็ดูให้มันดีๆ ระวังจะโดนเล่นเข้าซะเอง” เสียงเป็นห่วงจากยีนส์ทำให้ฉันเริ่มจะหน้าชานิดๆ เมื่อลองคิดตามท้ายคำพูดของเธอ
แต่ฉันไม่มีอะไรจะให้ไอ้โรคจิตนั่นเล่นคืนสักอย่าง ฉันไม่ได้มีรสนิยมอะไรที่แปลกพิศดาร ฉันยังคงชอบผู้ชายและรอเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นอยู่เสมอ
“ไม่กลัวอะ ฉันเชื่อเซ้นส์ตัวเอง สิ่งที่เห็นมันก็บ่งบอก” ฉันยังคงพูดยืนยันหนักแน่น ทำให้ทั้งยีนส์และตาหวานมองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เอาที่สบายใจเลย เตือนแล้วนะ พลาดมาฉันไม่โอ๋ด้วย”
“เราจะช่วยเตือนตาโตให้ทำอะไรระวังๆ แล้วกัน”
ทั้งยีนส์และตาหวานต่างก็พูดเหมือนคล้อยตามฉัน แต่สีหน้าเพื่อนทั้งสองบ่งบอกว่า เหนื่อยหน่ายใจกับความหัวดื้อของตัวฉันมากแค่ไหนอยู่เหมือนเดิม
[Sadins’s part]
ช่วงนี้ผมรู้สึกแปลกๆ มันเหมือนมีสายตาที่มองไม่เห็นคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา มักจะเป็นเฉพาะเวลาที่ผมอยู่ที่มหา’ลัยเท่านั้น
“มึงเป็นอะไรท่าทางระแวงๆ” เสียงการ์เซียที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมถามขึ้น
ตอนนี้ผมกับมันกำลังนั่งรอขึ้นเรียนคาบต่อไปอยู่ที่หน้าตึกศิลป์ที่ประจำของพวกเรา ขาดแค่ไอ้ขันทีกับเคซิสที่วันนี้มันไม่มาเรียน
“มึงช่วยกูมองดูรอบๆ สิ มีใครที่น่าสงสัยเป็นพวกถ้ำมองอยู่เปล่าวะ”
ผมขอความช่วยเหลือไอ้เพื่อนสนิทที่เหลือเพียงคนเดียว ณ ตอนนี้ด้วยน้ำเสียงที่แหบนิดๆ “ถ้ำมอง? กูว่าน่าจะมี” ไอ้การ์เซียตอบออกมาน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
นั่นไงผมว่าแล้ว! ถึงว่า รู้สึกเย็นสันหลังวาบอยู่ตลอดเวลา แถมตอนนี้ยิ่งขนลุกซู่เข้าไปใหญ่เพราะคำยืนยันอีกเสียงของไอ้การ์เซีย
“ว่าแล้วกูไม่ได้คิดไปเอง แล้วไหนวะ คนไหนวะที่เป็นถ้ำมอง?”
ปากถามไอ้การ์เซียแต่สายตาผมยังคงกวาดมองไปรอบๆ บริเวณที่ผมกับมันนั่งอยู่แต่ก็ไม่พบใครที่ทำตัวผิดปกติเลยสักคน พลันเบือนหน้าหันกลับมาเพื่อจะเอาคำตอบจากการ์เซีย กลับเจอมันจ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว ผมขอเดาจากสายตาที่มันมองผมอยู่ก็จะถอดออกมาเป็นคำพูดได้ว่า...
‘นี่มึงไม่รู้’ หรือ ‘มึงโง่เปล่าวะ’ น่าจะอะไรทำนองนั้น
“กูรู้ว่าหล่อ ไม่ต้องจ้องมาก กูสงวนสิทธิ์ให้สาวๆ มองเท่านั้นโว๊ย!” ผมไม่พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่เลือกที่จะพูดประโยคที่ขนาดคนพูดเองอย่างผมยังรู้สึกว่าตัวเองแม่งโคตรจะหลงตัวเองเป็นบ้า
“ประสาท!” แต่แทนที่มันจะด่าคำอื่น ไอ้การ์เซียกับพ่นออกมาแค่นั้น พร้อมกับส่ายหน้าหน่ายๆ ใส่ผม
“เออๆ ไม่เล่นแล้ว สรุปไหนวะ คนที่มึงบอกว่าเป็นถ้ำมอง กูมองจนคอจะเคล็ดแล้วยังไม่เจอใครที่น่าจะตอบโจทย์ได้เลยสักคน”
พูดไปสายตาก็ยังคงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้ง พร้อมกับหัวคิ้วขมวดมุ่น เมื่อรู้สึกเสียวหลังแปลกๆ ไอเย็นยะเยือกมันเกาะกุมหลังกว้างของผมมากขึ้น
“มึงไม่รู้จริง?” ไอ้การ์เซียเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นถามผม สายตามันจริงจังมาก
อ้าว! ไอ้เชี่ย ถ้าผมรู้จะถามมันมั้ยครับ
“อย่าลีลาว่ะ รีบๆ บอกมาอย่าอมขี้ฟัน” ผมเร่งเร้าเอาคำตอบจากมันอีกรอบ แต่แทนที่มันจะรีบตอบคำถามผม มันกลับทำท่าทางเหมือนจะล้วงเอาอะไรสักอย่างในกระเป๋ากางเกงมันออกมา
“เฮ้ย! อย่าลีลาดิวะ นี่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับไอ้ซีนส์สุดหล่อเลยนะเว้ย!” แค่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองหวาดระแวงมากแค่ไหน ลำคอของผมก็ยิ่งแห้งผากมากขึ้นเท่านั้น
“มึงลองคิดดูนะไอ้เซีย สมมติว่าเกิดไอ้ถ้ำมองห่าเหวอะไรนั่นมันคิดอกุศลกับกู แบบว่า...” กระดากปากที่จะเอ่ยคำต่อไปเลยเว้นช่วงไว้ หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่
“แบบว่าถ้ามันคิดไม่ดีอยากเปิดซิงกูไรงี้ กูจะได้รู้ตัวไว้ว่ามันคือใครจะได้รับมือทันไง แต่มึงนี่แม่งลีลาอยู่ได้ รู้แล้วไม่ยอมบอก สัส!”
งอนแม่งเลย
“มึงยังเหลือซิงให้เขาเปิดเหรอวะ?” แทนที่ไอ้การ์เซียมันจะสำนึกรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของซีนส์น้อยของผม มันยังมาเล่นลิ้นอีก
ผมไม่ต่อปากต่อคำกับมัน รอฟังคำตอบของมันด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายเบะปากล่างแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทางคล้ายเด็กถูกขัดใจ
“เอ้า! กูให้ยืม” พอผมนิ่งไปไม่ถึงสิบวิฯ ไอ้การ์เซียก็ยื่นเครื่องมือสื่อสารคู่ใจเครื่องหรูสีดำเมี่ยมมาจ่อตรงหน้าผม
ให้ยืมทำแป๊ะไรวะ! ของผมก็มีแถมตอนนี้ไม่อยากใช้โทรศัพท์ว้อย!
ไอ้ซาดีนส์กำลังอยากรู้ว่าใครเป็นพวกถ้ำมองต่างหาก!
“ส่องดูสิ” ผมมองตามสายตาที่มันพยักเพยิดหน้ามาทางโทรศัพท์ที่มันเพิ่งส่งมาให้ผมถือในมือตัวผมเอง
ไอ้การ์เซียมันเข้าโหมดกล้องถ่ายรูปไว้ แถมยังเป็นกล้องหน้า เห็นหน้าหล่อๆ ของผมเต็มหน้าจอโทรศัพท์มันเลย
โว๊ะ! คนอะไรหล่อฉิบหาย
หล่อจนสาวๆ พากันมดลูกสั่นสะเทือนกันหมดแล้วมั้งเนี่ย!
“กูรู้ว่ากูหล่อ มึงไม่ต้องแกล้งมาเนียนบอกกูทางอ้อมก็ได้ไอ้เพื่อนรัก”
ผมใช้ไหล่หนาของตัวเองกระแซะๆ ไหล่ไอ้การ์เซียเบาๆ ไปสองสามที ทำเอาคนที่ผมกระแซะรีบไถลก้นออกห่างผมไปเกือบสองก้าวเดิน
“หลงตัวเองไม่เลิก!” ไอ้การ์เซียส่ายหัวทำหน้าเอือมระอาให้ผม
“เออๆ ไม่เล่นแล้ว สรุปมึงเอามาให้กูทำไม” ผมยกโทรศัพท์ที่อยู่ในมือขึ้นแกว่งไปมาประกอบคำพูดก่อนหน้า
“ก็มึงถามหาพวกถ้ำมอง? ตอนมึงมองกล้องมึงเจอใครในนั้น” ผมคิดตามสิ่งที่ไอ้การ์เซียถาม แต่ก็ยังไม่เก็ทว่ะ! แต่พอลองทวนคำพูดมันใหม่อีกรอบ...
อย่าบอกนะว่า...?
“เออ! ตามนั้น” ผมก้มหน้าเอียงคอเหล่ตาน้อยๆ มองหน้าไอ้การ์เซียยังไม่ทันเอ่ยถามอะไร มันก็ชิงตอบกลับมาแบบฉับไว คล้ายกับมานั่งในใจผม
“ไอ้เชี่ย! มึงหาว่ากูเป็นถ้ำมอง?” ผมรีบโยนมือถือของมันคืนสู่เจ้าของทันที
“อ้าวไอ้ห่านี่! ก็มึงอะแหละถ้ำมองของแท้ สาวๆ คนไหนนุ่งสั้นนะ มึงบอกได้หมดว่าสีอะไร ขาวแค่ไหน ใส่ยี่ห้ออะไร”
สาบานว่าถ้าไม่ใช่เพื่อนป่านนี้มันตกเก้าอี้ไปแล้วครับ
ป้าบ! แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ทำอย่างอื่น อย่างเช่นตบหัวมันไปหนึ่งที
แต่มันก็ไม่มีปฏิกิริยาโกรธตอบผมสักนิด ทำเพียงยกยิ้มมุมปากเหมือนกับพอใจที่ได้หลอกด่าผมสำเร็จงั้นแหละ
“กูแม่งไม่น่าขอให้มึงช่วยตั้งแต่แรกเลยจริงๆ” ท้ายประโยคผมเสียงสูงมาก ใบหน้าหล่อเหลาส่ายเบาๆ เอือมระอาเพื่อนข้างกายฉิบหาย
“ก็มึงบอกถ้ำมอง กูว่ามันก็เหมาะกับมึงดี” ยัง! ยังไม่ยอมจบ
“เออ กูพูดผิดเองแหละ ถ้ำมองมันใช้กับเหตุการณ์ที่กูกำลังเจอไม่ได้ มันต้องเรียกสโตกเกอร์แทนสินะ ไอ้พวกที่คอยตามคนดังหรือคนที่ตัวเองแอบชอบไรงี้”
มาคิดๆ ดูแล้วก็โทษไอ้การ์เซียฝ่ายเดียวไม่ถูก ผมดันเรียกผิดเองนี่หว่า
“สโตกเกอร์ห่าเหวอะไรของมึง คิดมาก ระแวง กูว่าตั้งแต่มึงเจอคู่ปรับมึงครั้งนั้นมึงเป็นเอามากนะไอ้ซีนส์” ไอ้การ์เซียว่าให้ผมยืดยาว
จู่ๆ ภาพยัยตัวเล็ก ผิวขาวนุ่ม หุ่นแม่งอย่าง... ซี้ด! ก็ลอยแวบเข้ามาในหัวแม่งแค่คิดถึงความรู้สึกตอนที่ผมสัมผัสข้อมือขาวเนียนนั่น บางสิ่งบางอย่างในร่างกายผมก็ลุกโชนแล้ว
“ไอ้ซีนส์ ซีนส์!” เหมือนมีเสียงแมลงอะไรมางุ้งงิ้งๆ อยู่ข้างๆ หู
“ไอ้เชี่ยซีนส์!”
อา... ถ้าหากผมได้สัมผัสมากกว่าข้อมือน้อยๆ นั่น มันจะเป็นยังไงวะ
“กรี้ด! ไอ้พวกลามก ขนาดสถานที่กลางแจ้งขนาดนี้ยังไม่เว้น”
ผมที่กำลังจินตนาการอะไรเพลินๆ ก็มีเสียงหวีดแหลมๆ ที่แสนจะคุ้นหูดังขึ้น เรียกให้ภาพฝันที่ผมวาดไว้ลอยละล่องหายไปกลางสายลม
แม่งใครวะ!
“เฮ้ย! ไอ้เซียมึงทำเชี่ยไร” เมื่อสติกลับมาสิงสู่กายเนื้อครบถ้วน สายตาผมก็มองเห็นไอ้การ์เซียกำลังทำอะไรตะคุ่มๆ อยู่บริเวณหน้าตัก เหมือนมือมันขะยุกขยิกกำลังล้วงหาอะไรสักอย่างอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างขวาผม
“อุจาทตาเป็นที่สุด สองครั้งแล้วนะไอ้หัวขาวโรคจิต” และอีกครั้งที่เสียงแหลมปรี้ดดังขึ้นข้างหลังไอ้การ์เซียที่มันนั่งฝั่งซ้ายมือของผม
เชี่ย! ยัยตัวแสบนี่อีกแล้ว
นี่ตามออกมาจากจินตนาการฝันผมเร็วขนาดนี้เลยเหรอวะ
“หึ! แต่ก็ดีที่ครั้งนี้ฉันฉลาดพอเลยอัดคลิปไว้”
ไม่ว่าเปล่ายัยตัวแสบที่เคยประเคนกระป๋องโค้กให้ผมตั้งแต่แรกเจอก็ชูโทรศัพท์สีขาวขึ้นโบกไปมาคล้ายกำลังเย้ยหยันผม
“คลิปอะไรของเธอวะ มั่วไม่เลิก” ผมส่ายหัวให้กับคนตัวเล็กที่กำลังยืนยิ้มแสยะเหมือนพวกตัวร้ายในหนังหลายๆ เรื่อง ที่กำลังคิดแผนการชั่วร้ายและนึกไปถึงตอนจบที่คิดว่ามันจะเป็นตามที่ตนจินตนาการ
“ยังจะถาม พวกนายทำอะไรกันล่ะ ยี๋! ทำประเจิดประเจ้อขนาดนี้ ไม่ไปเปิดโรงแรมแถวๆ นี้เลยล่ะ น่าเกลียด เกรงใจสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ชุดที่สวมบ้างเหอะ สงสารท่านอธิการจริงๆ ที่มีลูกชายบ้ากามแบบนาย”
ผมว่ายัยนี่คงเป็นพวกเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่แน่เลยว่ะ!
จู่ๆ ก็มายัดเยียดอะไรที่ผมไม่ได้เป็นให้ ถ้าจำไม่ผิดครั้งก่อนเธอก็เรียกผมว่าไอ้สายเหลือง มาครั้งนี้ก็คิดว่าผมกับไอ้การ์เซียกำลังทำบัดสีบัดเถลิงกันอีก
“ของมึงมันดังตั้งนาน กูเรียกไม่ยอมตอบเลยกะจะล้วงแล้วมารับให้”
ตอนที่ผมกำลังจะอ้าปากเถียงยัยตัวแสบที่ยืนทำหน้าบึ้งค้ำเอวเหมือนครูประถมกำลังคาดโทษนักเรียน ไอ้การ์เซียก็พูดขัดจังหวะขึ้น
อ้อ เข้าใจแล้ว ทำไมยัยบ้านั่นถึงได้พูดเหมือนกับว่าผมกับไอ้การ์เซียกำลังทำเรื่องใต้สะดือกัน ที่แท้ถ้ามองจากฝั่งที่ยัยนั่นยืนอยู่ จะมองเห็นไอ้การ์เซียที่ค้อมตัวลงพาดผ่านหน้าตักผมมันจะเหมือนกับคนกำลังxxxให้อีกฝ่ายอยู่
“เธอคิดมากไปแล้วเหอะ ลบไปเลยนะคลิปนั่นน่ะ ถ้าไม่อยากมีเรื่อง!”
ผมชี้หน้ายัยขี้มโน พร้อมกับน้ำเสียงปนดุบอกเธอไป แต่แทนที่เธอจะกลัว กลับแลบลิ้นแล้วรีบวิ่งออกไปทันที หากทว่าผมที่กำลังลุกขึ้นเพื่อจะวิ่งตามเธอเพื่อไปแย่งมือถือนั้นมาลบคลิป ไอ้การ์เซียก็ดึงมือผมไว้ซะก่อน
“อะไรของมึงวะ เพราะมึงคนเดียวเลย แค่ล้วงโทรศัพท์ทำไมต้องทำท่าทางให้ยัยนั่นคิดลึกด้วยวะ”
พอทำอะไรยัยตัวแสบไม่ได้ ผมก็หันมาโวยวายใส่ไอ้การ์เซียตัวต้นเหตุแทน
“มึงโทษกูทำพ่อง! กูเรียกตั้งนานไม่ยอมได้สติ น้ำลายนี่ย้อยเชียว กูเพิ่งรู้ว่าเพื่อนกูมีสกิลการคิดเรื่องหื่นตอนยังลืมตา หรือมึงหลับใน?”
ผมรีบยกมือเช็ดมุมปากตามที่ไอ้การ์เซียบอก เพราะผมกำลังจินตนาการอะไรบางอย่าง อย่างที่มันพูดจริงๆ แม่งไม่น่าปล่อยไก่เลยไอ้ซีนส์เอ้ย!
“เอามานี่!” ผมแก้อาการหน้าแตกด้วยการกระชากโทรศัพท์ของตัวเองที่อยู่ในมือไอ้การ์เซียมาถือไว้ เพื่อที่จะกดดูว่าใครที่โทรมาและทำให้ผมโดนยัยเด็กนั่นอัดคลิปมั่วๆ นั่นไป
“เปลี่ยนเรื่อง หึ!” ผมไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากไอ้การ์เซีย
ปลดล็อกหน้าจอเข้าไปดูสายที่ไม่ได้รับ พร้อมกับพ่นลมออกจากปากยาวเฟื้อย ‘คุณหญิง’ ชื่อเด่นหลาที่แลดูยิ่งใหญ่โชว์ขึ้นสามสายที่ผมไม่ได้รับ
อะไรกัน นี่แม่ผมโทรมาถึงสามครั้งและผมไม่ได้ยินเสียงโทรเข้าเลยสักครั้งเนี่ยนะ ถึงว่าไอ้การ์เซียมันคงทนเสียงเรียกเข้าไม่ไหวเลยหวังดีจะมารับสายให้