กรวิกาถูกพาเข้ามาในห้องทำงานของปยุดา ซึ่งกว้างขวางและโอ่อ่าค่อนข้างมาก แต่อย่างว่าห้องทำงานของเจ้าของเครื่องประดับต้องดูหรูหราเป็นธรรมดา กรวิกามองดูบริเวณโดยรอบและหยุดจ้องมองอยู่ที่ภาพถ่ายของปยุดาในวัยเยาว์จากการคาดเดาเค้าโครงของใบหน้า
“อย่าได้มาล้อเชียวนะ ตีตายเลย” ปยุดาพูดดุ จนแขกผู้มาเยือนหันมายิ้มให้ แต่ท่าทางเหนื่อยล้าของปยุดาทำให้รอยยิ้มของกรวิกาจางไป
“ว่าจะหันไปล้อ แต่ถ้าล้อตอนนี้ตายแน่เลย” กรวิกาพูดยิ้มๆ ยื่นแก้วน้ำดื่มซึ่งพนักงานนำมาให้ส่งต่อให้กับปยุดา
“ทั้งเหนื่อย ทั้งโมโห สั่งงานไว้ไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่าง” แฟ้มงานถูกวางลงที่โต๊ะเสียงดัง กรวิกาออกจะตกใจกับการแสดงออกอยู่เหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรตัวเธอนั้นถือว่าเป็นแขก
“น้ำเย็นๆ ก่อนไหม ดับความโมโห” กรวิกาพูดแหย่คนที่หันมาทำหน้ายุ่งๆ ใส่ คนที่มองดูอยู่ลุกขึ้นเดินจนเข้าไปยืนใกล้ๆ และโอบกอดเอาไว้ กรวิกาไม่รู้ทำไมถึงได้แสดงออกไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ควร แต่ด้วยความอยากปลอบโยนให้คนชื่อ ยุ่ง ที่ทำหน้ายุ่งเดินเข้ามาคลายความโมโหจึงอยากที่จะปลอบโยนออกไปอย่างนั้น ปยุดาตกใจเล็กน้อยอ้อมกอดของกรวิกาทำให้รู้สึกดี แต่ภาพของผู้ชายที่ชื่อตุลย์กลับลอยมาให้เห็นชัดเจน ทำให้นึกถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีถึงกับถอนใจออกมา
“รู้ว่าอยากปลอบ แต่ไม่ใช่แบบนี้นะ ตัว” ปยุดาพูดขึ้นแล้วถอนใจเมื่อกรวิกาคลายอ้อมกอดออกและเดินกลับไปนั่งที่เดิมในทันที
“ขอโทษที่ทำรุ่มร่าม” กรวิกาไม่กล้ามองสบตากับปยุดา
“ยุ่งเหนื่อยไว้ค่อยนัดกันใหม่ไหม” ปยุดาพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“งั้น กรกลับก่อนนะ” กรวิการู้สึกไม่สบายใจกับการแสดงออกที่คงทำให้ปยุดาไม่สบายใจและอึดอัดใจ เพราะการแทนตัวเองว่า ยุ่ง คงอยาก จะถอยห่างกว่าที่เป็นอยู่
“เดี๋ยวถึงบ้านแล้ว ยุ่งโทรฯ หานะ” ปยุดารู้สึกโกรธตัวเองอยู่เหมือน กันที่พูดจาเหมือนผลักไส จนกรวิกาดูเศร้าไปในทันที
“ไม่เป็นไร เหนื่อยก็พักเถอะ ไว้ค่อยคุยกัน” กรวิกาบอกก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป โดยไม่ยอมฟังอะไรอีกเลย
“พูดไม่รู้จักคิด เป็นเรื่องเลยไหมล่ะ” ปยุดาพูดดุตัวเอง ซึ่งอันที่จริงแล้วคำพูดที่พูดออกไปนั้น ไม่ได้เป็นการต่อว่าต่อขานกรวิกา แต่เป็นการเตือนตัวเองมากกว่า ไม่อยากให้ตัวเองคิดอะไรไปมากกว่าที่ควรจะเป็น ที่สำคัญ กรวิกาเป็นผู้หญิงและกำลังสร้างความรู้สึกดีๆ ได้อย่างน่าประหลาดใจมาก ยิ่งนานวัน ยิ่งทำให้รู้สึกผูกพันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะไอ้เสียงที่ได้ยินทั้งๆ ที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเป็นคำพูดเลยสักคำ
ปยุดาถอนใจและรู้สึกเหนื่อยมากกว่าเมื่อสักครู่ ทั้งๆ ที่ตอนได้เห็นกรวิกานั่งอยู่นั้นทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง หากได้ไปใช้เวลาด้วยกันตามที่นัดหมายไว้เชื่อว่า ความเหนื่อยล้าจะหายไปได้มากเลยทีเดียว แต่ความที่ปากไม่ค่อยดี พูดจาตรงเป็นขวานผ่าซากทำเอากรวิกากลับไปโดยไม่ค่อยอยาก จะพูดจาหรือมองหน้าเอาเสียเลยด้วยซ้ำ
“ยุ่งสมชื่อละ ทีนี้” ปยุดาถอนใจ มองดูโทรศัพท์ที่วางอยู่จึงหยิบมาพิมพ์ข้อความส่งออก
กรวิกาเดินก้มหน้าไม่ได้มองใคร ตั้งแต่เดินออกมาจากที่ทำงานของ ปยุดา จนกระทั่งรู้สึกได้ว่า มีคนมายืนอยู่ตรงหน้าและขวางทางอยู่ เพราะขยับไปทางไหนร่างกายของคนๆ นั้นขยับตามทั้งซ้ายและขวา
“ขอทางหน่อยค่ะ” กรวิกาพูดขึ้น โดยไม่คิดจะมองดูเลยว่า ผู้ชายคนที่ยืนอยู่นั้นเป็นใคร
“ทางไม่มีค่ะ เปลี่ยนเป็นมื้อค่ำได้ไหมคะ” เสียงหัวเราะของตุลย์ทำให้กรวิกานิ่งงันไปชั่วครู่
“ขอโทษค่ะ พี่ตุลย์”
“ไปอารมณ์ไม่ดีมาจากไหน เสียงเขียวเชียว” ตุลย์พูดแหย่
“ข้างนอกร้อน” กรวิกาบอก
“ไปไงมาไง ถึงได้มาเดินอยู่แถวนี้” ตุลย์ถาม
“มาหาอะไรทานค่ะ พี่ตุลย์ล่ะคะ”
“มีประชุมชั้นบน เรื่องงานออกแบบเครื่องประดับเพิ่งเสร็จค่ะ”
“ค่ะ” กรวิกาถอนใจ เพราะเรื่องเครื่องประดับที่ตึกนี้มีอยู่แห่งเดียว
“ไปทานข้าวกัน ไม่เจอกันนานแล้วนะ คุยโทรศัพท์ก็น้อยนิด” ตุลย์พูดบ่นพึมพำคว้ามือของกรวิกามากุมเอาไว้ คนที่ถูกจับมือจึงทำได้แค่เพียงเดินตามไปอย่างเงียบๆ ฟังตุลย์เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติเวลาที่ได้พบกัน กรวิกาถือได้ว่าเป็นคนที่พูดน้อย แต่มักจะตั้งใจฟังในทุกๆ เรื่องที่ได้รับการบอกเล่า แต่ครั้งนี้แทบจะจับใจความอะไรไม่ได้เอาเสียเลย
“อ้าวยังไม่กลับหรือคะ” เสียงของปยุดาดูสดใส เมื่อทักทายตุลย์
“ตอนแรกว่าจะกลับแล้วครับ พอดีเจอคนนี้เข้า กรนี่คุณปยุดา” ตุลย์พูดแนะนำ
“รู้จักกันค่ะ พี่ตุลย์” ปยุดามองดูมือของตุลย์ที่จับมือกรวิกาเอาไว้
“ตามสบายนะคะ ขอตัวก่อนค่ะ” ปยุดารู้สึกงงๆ ไม่รู้จะพูดอะไรรู้ทั้งรู้อยู่แล้วเรื่องของตุลย์กับกรวิกา และที่รู้สึกเหนื่อยอารมณ์ไม่
ค่อยดี ไม่รู้เป็นเพราะชายหนุ่มที่ยังคงจับมือกรวิกานั่นด้วยหรือเปล่า ตัวเธอเองไม่ค่อยแน่ใจนัก
“ถ้าไม่รีบ ไปหาอะไรทานกันไหมครับ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ จะได้มีเวลาส่วนตัวกัน ขอตัวนะคะ” ปยุดายิ้มน้อยๆ ให้กรวิกาที่ยังคงเงียบอยู่
“ครับผม” ตุลย์มองตามสาวสวยที่เดินฉับๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว
“หาอะไรทานแล้ว กร ขอกลับไปพักนะคะ” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่คิดถึงพี่เลยหรือคะ ไม่ได้เจอหลายวันแล้วนะ”
“ทำงานดึกมาหลายคืนแล้วค่ะ” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ
“ได้จ้ะ อยากทานอะไร” ตุลย์โอบไหล่กรวิกา ซึ่งไม่รู้เลยว่า ปยุดายังคงยืนมองอยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่ได้หยุดพูดคุยทักทายไป
เมื่อสักครู่นัก
“ก็ทำถูกแล้ว จะมายืนห่อเหี่ยวอยู่ทำไมนะเรา” ปยุดาสูดลมหาย ใจเข้าลึกๆ ยิ้มกับภาพที่เห็นตุลย์จับมือกรวิกาเดินไปอีกด้าน
หนึ่ง
กรวิกาใช้เวลาอยู่กับตุลย์พักใหญ่ จนกระทั่งตอนนี้กำลังแหวกว่ายไปมาอยู่ในสระว่ายน้ำนานนับชั่วโมง จนร่างกายออกอาการเหนื่อยล้าจึงมานั่งอยู่บริเวณขอบสระ ภาพความฝันในครั้งนั้น กลับมาวนเวียนในความคิดอีกครั้ง กรวิกาพยายามสลัดความคิดคำนึงถึงเรื่องของปยุดา แต่ไม่เป็นผลเพราะยิ่งห้ามใจตัวเองมากเท่าไร ยิ่งทำให้นึกถึงและเห็นภาพของปยุดาวน เวียนไปมามากขึ้นเท่านั้น
“จะไปไหนก็ไป อยากอยู่ห่างนัก ก็อย่ามาวนเวียนอยู่” กรวิกาพูดพึมพำอยู่เพียงลำพัง มองไปรอบๆ ไม่เห็นใครท้องฟ้ามืดมิดมี
เพียงแสงไฟที่พอจะมีแสงส่องสว่างอยู่บ้าง พระจันทน์ที่อยู่เหนือแม่น้ำทำให้ความวุ่นวายใจของกรวิกาสงบลง เมื่อเพ่งมองดวงจันทร์
สีส้มซึ่งทอแสงอาบอยู่บนผืนน้ำอันแสนสวยงาม นึกขอบคุณธรรมชาติที่ทำให้จิตใจสงบขึ้นมาบ้าง
“คิดถึงจะแย่ ยังจะมาไล่อีก” ปยุดารำพึงออกมาคล้ายเป็นการพูด คุยกับกรวิกา ถึงแม้จะไม่ได้ยินเสียงแว่วๆ แต่รู้สึกได้
ความเหนื่อยอ่อนจากการว่ายน้ำมาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มทำให้คนที่ล้มตัวลงนอนหลับตาลงในทันที หวังว่าจะหลับสบายโดยไม่คิดวกวนเรื่องของปยุดา แต่เสียงเรียกเข้าที่ดังอยู่ทำให้กรวิกาถอนใจ
“ดึกแล้ว มีอะไรยะ” กรวิกาทักทายภูดิท ซึ่งพอจะเดาได้ว่าท่าทางปลายสายคงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“ทำงานอยู่หรือ แค่นี้ต้องดุด้วย บอกดีๆ ก็ได้นะยะ”
“อยู่ไหนเสียงดังเชียว” กรวิกาถาม
“ออกมาไหม อยู่ไม่ไกลมากนัก”
“ไม่เอาล่ะ ดึกแล้ว” กรวิกาบ่นพึมพำ
“จำยายไฮโซคนสวยได้ปะ” ภูดิทบอกทำเอากรวิกาตาสว่างและรีบลุกขึ้นนั่งในทันที
“จำได้ มีอะไร” กรวิกาถามเสียงเรียบ
“อยู่โต๊ะใกล้ๆ กันเลย กินเหล้าเป็นน้ำเลยแก แต่แปลกทำไมมาคนเดียว จะกลับไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้” ภูดิทบอกน้ำเสียงฟังดู
ออกจะเป็นห่วงคนที่ตัวเองไม่ค่อยชอบหน้าอยู่เหมือนกัน อาจจะเพราะความรู้สึกที่คิดว่าเป็นผู้หญิงเหมือนกันก็ได้
“ร้านอยู่ที่ไหน” ภูดิทแปลกใจแต่ไม่ได้ถามอะไรมากนัก กรวิกาเองน้ำเสียงแปลกๆ ดูกังวลและห่วงใยแม่สาวไฮโซคนนั้นอยู่
เหมือนกัน หรือว่า จะมาจัดการเรื่องที่ตุลย์กับสาวไฮโซมีภาพถ่ายหลุดออกมาเมื่อครั้งก่อน
“ตกลงจะออกมา แต่ไม่ได้จะมามีเรื่องอะไรใช่ไหมแก” ภูดิทถาม
“แกเฝ้าไว้ด้วยนะ อย่าให้ไปไหน จนกว่าฉันจะไปถึง”
“ได้จะดูให้ แปลกๆ นะ หล่อนน่ะ” ภูดิทหันไปมองทางปยุดาที่ยังคงนั่งดื่มอยู่ ไม่แน่ใจนักว่ามีอาการเมาหรือไม่ ยังคงดูนิ่งๆ เป็น
ปกติจะว่าไปสาวนักดื่มนักเที่ยวอาจจะคอทองแดงกว่าที่คิด
ปยุดามองดูโทรศัพท์ที่มีแสงสว่างอยู่ที่หน้าจอ และมีชื่อของกรวิกาปรากฏให้เห็น แค่ชำเลืองมองเล็กน้อย แต่ยังคงนิ่งเฉยจนกระทั่งไฟที่ส่องสว่างดับลง แต่ไม่นานนักแสงสว่างก็ส่องแสงขึ้นอีกครั้ง
“อยู่ไหน” กรวิกาถามเสียงเข้ม
“กินข้าวอยู่ มีอะไร” ปยุดาพูดงึมงำไม่เต็มเสียงนัก เพราะพูดไม่จริงอยู่ ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลยสักเม็ดเดียว
“เมาหรือเปล่า” กรวิกาถาม
“มั้ง” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“อย่ากวน ถามว่าเมาหรือเปล่า”
“ถามอะไรเนี่ย บอกว่ากินข้าวอยู่” ปยุดายังพูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“นั่งอยู่ตรงนั้นนะ อย่าไปไหน กรจะไปรับ” กรวิกาพูดจบวางสาย ในทันที
“บ้าหรือไง ชื่อร้านก็ไม่ถาม” ปยุดารำพึง วางโทรศัพท์เอาไว้ที่เดิมและหันมาดื่มต่อ
ภูดิทเห็นกรวิกามายืนมองอยู่ด้านหน้าร้าน ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จึงชูมือขึ้น แต่กรวิกาไม่ได้สนใจเอาเสียเลยกลับมองไปรอบๆ ซึ่งใกล้กับบริเวณที่เห็นภูดิทนั่งอยู่ กรวิกาเดินจ้ำอ้าวทำหน้าเข้มตรงไปที่โต๊ะของปยุดานั่นทำให้ภูดิทนั่งไม่ติดและรีบลุกตามไป
“หยุดกลับไปนั่งที่โต๊ะ ไม่ต้องยุ่ง” กรวิกาหันมาส่งเสียงดังใส่ภูดิทที่ไม่เคยเห็นท่าทางดุๆ ของกรวิกาแบบนี้มาก่อน ถึงกับถอยร่นกลับไปนั่งตามคำสั่งในทันที ปยุดาเองอดที่จะแปลกใจไม่ได้เช่นกัน เมื่อเห็นกรวิกามายื่นอยู่ใกล้ๆ แถมยังดุใครก็ไม่รู้ที่รีบถอยไปทันที
“มากินเหล้าเป็นเพื่อนหรือ” ปยุดาหยิบแก้วของตัวเองส่งให้กรวิกา
“คิดเงินด้วยค่ะ” กรวิกาบอกกับพนักงาน
“บอกหรือว่าจะกลับ” ปยุดาพูดพึมพำน้ำเสียงออกอาการงอแง
“จะกลับดีๆ หรืออยากจะอาย” กรวิกาพูดเสียงเข้มถึงกับทำเอาคนที่มองดูอยู่นั้นใจคอไม่ดี ภูดิทยังรั้งรอยืนมองอยู่ห่างๆ
“ไม่กลับ” ปยุดา
“ลุกดีๆ” กรวิกาจ่ายเงินให้กับพนักงานและทำท่าจะช่วยพยุงปยุดาที่ขืนตัวทำท่าจะไม่ยอมลุก
“ฉันช่วยไหมแก” ภูดิทมากระซิบอยู่ใกล้ๆ
“ไม่ต้องกลับไปนั่งที่โต๊ะ ยุ่งลุกขึ้นได้แล้ว”
“ส่งข้อความไปขอโทษแล้ว ทำไมไม่ตอบกลับ” ปยุดาพูดพึมพำ
“รู้จักกันนี่หว่า ถ้าจะให้ฉันช่วยแบกไปส่งที่รถก็บอกนะ” ภูดิทบอกก่อนที่จะกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
“ยังไม่ได้อ่าน ลุกนะ กรจะขับรถไปส่ง” กรวิกาคิดว่าเสียงเข้มๆ คงใช้ไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาพูดด้วยดีๆ
“ไม่อยากกลับ พาไปหาที่นั่งลมเย็นๆ นะ ถือขวดไปด้วย”
“ไม่ ขวดไม่ต้องเอาไป ที่นั่งลมเย็นๆ เดี๋ยวพาไป” กรวิกาพยักพเยิดขี้ไปที่ขวดให้ภูดิทเดินมาเอาไป ซึ่งภูดิททำตามแต่โดยดี เพราะกรวิกาเวลาดุนั้นถือว่าเอาเรื่องอยู่ไม่น้อย
ปยุดาไม่ยอมบอกเรื่องที่พักนั่งรถมายังหลับๆ ตื่นๆ พูดแต่อยากให้พาไปนั่งที่มีลมพัดเย็นสบาย หากพาไปที่คอนโดมีเนียม กรวิกาคิดว่าคงไม่เหมาะและอีกอย่างที่พักของเธอนั้น ไม่อยากให้ใครได้รู้มากมายนัก ถือเป็นสถานที่หลบภัย หากต้องการความเงียบและเวลาที่เป็นส่วนตัว เพราะส่วนใหญ่แล้วหลายๆ คนมักคิดว่า กรวิกาพักอยู่ที่อาคารเดียวกับที่เป็นสตูดิโอสำหรับทำงานนั่นมากกว่า
“ถึงแล้ว เย็นสบายพอไหมล่ะ”
“พระจันทน์สวยดีเนอะ” ปยุดาบอก ไม่นานนักพนักงานของโรงแรมได้นำชาร้อนมาให้
“ดื่มซะ จะได้หายเมา” กรวิกาส่งถ้วยชาให้ปยุดาและช่วยประคองให้ดื่มเพราะค่อนข้างร้อน
“ไม่เมาแล้ว กินไปนิดเดียวเอง” ปยุดาพูมพึมพำ
“นิดเดียวอะไร เหล้าหมดไปตั้งครึ่งขวด”
“แค่ครึ่งขวดเอง”
“ไม่เมางั้น กร กลับนะ” กรวิกาทำท่าจะลุก
“จะกลับยังไง มารถคันเดียวกัน แล้วไงพามาทิ้งโรงแรม แล้วก็ไป” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“กลับแท็กซี่ได้ ไม่ได้ทิ้ง ไม่เมาก็ขับกลับบ้านเองดิ” กรวิกาบอก
“ตัวเองก็รู้ว่าเค้างอแง จะทิ้งไว้ที่นี่จริงๆ หรือ” ปยุดาพูดอ้อน
“มีปัญหาอะไร ทำไมต้องกินเหล้า” กรวิกากลับมานั่งลงข้างๆ
“อิจฉาคนอื่นมั้ง” ปยุดายิ้มจางๆ
“ขี้อิจฉาด้วยเนอะ” กรวิกายิ้มน้อยๆ หันมาชำเลืองมองคนที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ
“เพิ่งเคยเป็น”
“อิจฉาใคร เดี๋ยวไปจัดการให้” กรวิกาหัวเราะหึๆ ปยุดาหมั่นไส้จึงหันมาหยิกเข้าให้ที่แขน
“ยังจะมาขำเค้าอีกนะ”
“อ่านแล้วข้อความน่ะ ตอบกลับไปแล้ว” กรวิกาบอก
“ไม่ตอบชาติหน้าเลยล่ะ จะข้ามวันอยู่แล้วเนี่ย”
“ขอโทษที่ถึงเนื้อถึงตัว จะไม่ทำอีกนะ” กรวิกาแอบถอนใจ
“แต่จะไม่ห่างไปจนไกล แล้วเย็นชาเหมือนเมื่อตอนเย็นใช่ไหม”
“แบบนั้นมันดีกว่าไหม ห่างๆ แบบคนรู้จัก” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ
“ตัว” ปยุดาเชยคางของกรวิกาซึ่งหันมาและริมฝีปากกำลังถูกทาบทับกรวิกานิ่งงั้นไม่กล้าตอบรับสัมผัสอันแสนหวานนั้น แต่ปยุดายิ่งเบียดให้แนบชิดอยากตอบคำถามด้วยสัมผัสอันอ่อนหวานที่กำลังมอบให้ กรวิกาค่อยๆ ขยับริมฝีปากและตอบรับอย่างอ่อนโยน
“แน่ใจนะ ว่าไม่ได้เมา”
“เค้ารู้นะว่า เค้าทำไม่ถูกที่ไปรู้สึกดีกับคนมีแฟนอยู่แล้ว แถมยังเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก” ปยุดาพูดงึมงำ
“ผู้หญิงแล้วไง เคยจูบแต่กับผู้ชายหรือ” กรวิกาถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ จนปยุดาหันมาถลึงตาใส่
“เดี๋ยวจะตบปากให้ ถ้าคิดเหมือนที่คนอื่นคิดล่ะก็ ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลย” ปยุดาพูดเสียงเข้ม
“หายเมามาทำดุ เมื่อกี้ยังงอแงอยู่เลย”
“ไม่เคยงอแงใส่ใครนะ จะบอกให้” ปยุดาเริ่มต่อปากต่อคำทำให้กรวิกายิ้มออก
“กร ต้องภูมิใจสินะ”
“ควรนะคะ แต่อย่าไล่เค้าได้ไหม แค่รู้สึกยังแย่ ถ้าได้ยินจากปากตายแน่เลย ไล่เป็นหมูเป็นหมาเลย จะไปไหนก็ไป ไม่ให้มาวน
เวียนอยู่งี้น่ะ เศร้าตายเลยนะ” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ ก้มหน้าเล็กน้อย
“ไปเอามาจากไหน” กรวิการู้สึกแปลกใจ ทำไมปยุดาพูดเหมือนรู้
“พูดว่าเค้าลับหลัง ใช่ปะล่ะ”
“แสดงว่า ลับหลังก็คิดถึงใช่ปะล่ะ” กรวิกาหัวเราะ ปยุดาขมวดคิ้ว หรือสิ่งที่พูดคุยกันอยู่นั้น คือ ความหมายของคำว่ารู้ใจ ทำไมถึงรู้ว่า คิดถึง
“บ้า ไม่มี๊” ปยุดายิ้มอายๆ
“คนสวยมักปากแข็ง”
“แต่ปากตัวนิ่มนะ น่ารักดี” ปยุดาพูดยิ้มๆ
“ทำอะไรกับปาก กร ทำไมรู้ว่านิ่มล่ะ” กรวิกาพูดแหย่แสร้งทำท่า ทางตกใจ จนปยุดาหัวเราะออกมา
“ลุ้นแทบแย่ ถ้าไม่จูบตอบจะกรีดร้องให้ลั่นโรงแรมเลย”
“หูย งั้นก็คิดถูกสิที่จูบตอบ”
“ผู้หญิงด้วยกัน ก็งงๆ จะแย่ แถมมีแฟนแล้วอีกต่างหากด้วย”
“นานๆ ไป ที่เรารู้สึกกันอยู่ตอนนี้ อาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ” กรวิกายิ้มน้อยๆ มองสบตากับปยุดาที่พยักหน้าเห็นด้วย
“เปิดห้องพักหรือเปล่า” ปยุดาถาม
“เปิดไว้ให้ ยุ่งขึ้นไปนอนเถอะ” กรวิกายื่นมือไปช่วยพยุงตัวปยุดา
“นอนคุยเป็นเพื่อนกันดิ ต้องโทรฯ บอกคุณตุลย์ก่อนหรือเปล่า”
“กรไม่ได้อยู่กับพี่ตุลย์นะ ยุ่ง” กรวิกาพูดเสียงอ่อยๆ
“อ้อ โอเค ตกลงอยู่นะ อยู่คุยกันไปจนหลับ” ปยุดายิ้มๆ
“แค่คุย”
“ทำไมกลัวโดนปล้ำเหรอ” ปยุดาหัวเราะ
“เดี๋ยวแม่รู้ จะว่าเอ๊า” กรวิกาหัวเราะ ปยุดาจับมือกรวิกาเอาไว้และกระชับให้แน่นขึ้นเล็กน้อย ความรู้สึกในวันข้างหน้าจะเป็น
อย่างไรช่างมันแต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือ กรวิกาคงเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งในชีวิตดูได้จากความห่วงใยที่แสดงให้เห็นจนมาอยู่ด้วยกันตรงนี้