ตุลย์พูดคุยกับปยุดาคล้ายเป็นคนกันเอง แต่ปยุดานั้นพูดคุยเพียงแค่คนที่ทำงานร่วมกัน การดูแลเอาใจใส่ดูจะมากมายกว่ามิตรทั่วๆ ไปซึ่งไม่น่าแปลกใจนัก เพราะสังเกตได้จากท่าทีตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันจากการแนะนำของเพื่อนคนหนึ่ง ปยุดาชำเลืองมองออกไปทางด้านในของร้านซึ่งมองเห็นภูดิทนั่งอยู่
“ขอบคุณค่ะ” ตุลย์ตักอาหารใส่ให้ในจานของปยุดา
“ทานเยอะๆ นะครับ ค่ำๆ มีนัดหรือยังครับ” ตุลย์ถาม ปยุดาแอบคิดคล้ายเหมือนได้คืบจะยาวไปถึงศอก
“ยังค่ะ แต่อย่าเลยดีกว่านะคะ เดี๋ยวคุณกรจะมาต่อว่าเอา”
“ไม่หรอกครับ ถ้าโดนต่อว่า คงโดนตั้งแต่คราวก่อนแล้ว จะว่าไปบางทีผมแอบคิดเหมือนกันนะครับว่า กรไม่ได้สนใจผมสักเท่าไรนัก” ตุลย์ บอกทำเอาปยุดายิ่งรู้สึกไม่ดีกับความคิดของชายหนุ่มคนรักของกรวิกานัก
“อาจจะเพราะไว้ใจ” ปยุดาพูดขึ้น
“ไว้ใจกับไม่ได้สนใจ ความหมายต่างกันนะครับ”
“เห็นรักกันดี จับมือกันแน่นเชียว เมื่อวันก่อน” ปยุดาแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ
“ช่างสังเกตนะครับ”
“น่ารักดีออกค่ะ น่าอิจฉานะ” ปยุดายิ้มน้อยๆ จ้องมองตุลย์ที่ยิ้มๆจ้องมองไม่วางตาตั้งแต่พบกันแล้ว
“หาคนกุมมือสิครับ จะได้ไม่ต้องอิจฉา”
“หาอยู่ค่ะ” ปยุดาเริ่มพูดเปิดทาง แต่ไม่ค่อยเข้าใจผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้านักในเมื่อมีคนรักแสนดีและออกจะไว้ใจเสียด้วยซ้ำ ไม่
เอาเรื่องจุก จิกมาสร้างความไม่สบายใจให้ แต่ดูเหมือนความไว้วางใจกลับกลายเป็นความไม่ใส่ใจหรือว่า ต้องออกอาการหึงหวงชวนทะเลาะกัน ถึงจะเรียกว่าเป็นการใส่ใจกันนะ ผู้ชายคิดอย่างนั้นหรือ
“อย่างคุณยุ่ง ยังต้องใช้คำว่า หาด้วยหรือครับ”
“ยุ่งไม่ได้แสนดีอะไรนี่คะ คนอาจจะคิดเพียงแค่ จีบแล้วก็ควงสนุกๆ ไม่ได้จริงจังอะไร เบื่อก็เปลี่ยน คุณตุลย์คิดแบบนั้นด้วยหรือ
เปล่าคะ”
“มีเสน่ห์นะ เท่าที่เห็น ไม่แปลกที่หนุ่มๆ อยากอยู่ใกล้”
“ใกล้มากจะร้อนนะคะ อย่างยุ่งน่ะ”
“ท้าทายดีออกนะครับ ของร้อนน่ะ” ตุลย์จ้องมองปยุดาซึ่งไม่ได้มีท่าทีเขินอายกับการพูดจาที่มีนัยของตุลย์สักเท่าไรนัก
“ยุ่งก็ชอบนะ ความท้าทายน่ะ” ปยุดาบอก
“ผมว่า เราสองคนน่าจะคล้ายๆ กันนะครับ” คำว่าคล้ายกันทำให้ ปยุดายิ้มและนึกถึงกรวิกาขึ้นมา อาจจะคล้ายกันปยุดาคิดอยู่ใน
ใจ
ปยุดาไว้ทีท่า ยังไม่ได้รับนัดการออกไปดื่มในยามค่ำคืนกับตุลย์คงต้องแสดงอาการไว้เนื้อไว้ตัวบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นคำแนะนำของภูดิทที่คงรู้สึกว่า กำลังเล่นบทเพื่อนรักของนางเอง โดยให้ปยุดาเป็นคนเดินเรื่อง ภูดิทแอบคิดเหมือนกันว่า หากปยุดาไม่ได้รู้จักมักจี่กับกรวิกาหรือตัวภูดิทมาก่อนและเกิดพึ่งใจในตัวตุลย์ขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น แต่ดูท่าทางคนรักของกรวิกาพร้อมเหลือเกินที่จะเดินเข้าหาผู้หญิงร้อนแรงและทรงเสน่ห์ ซึ่งพร้อมไปหมดในทุกๆ เรื่อง เรียกว่า ถ้าได้ควงหรือมีข่าวละก็คงได้ขึ้นแท่นเป็นหนุ่มฮอตคนหนึ่งเลยทีเดียว
“รับมืออย่างไรกันนะ ยุ่ง เวลาหนุ่มเข้าหาเยอะน่ะ”
“ถ้าพึงใจก็คุยสิ บางคนเป็นเพื่อนที่ดีเลยทีเดียวนะ” ปยุดาบอกภูดิทซึ่งทำหน้าตาแปลกๆ
“สวยเลือกได้ว่างั้น” ภูดิทหัวเราะเล็กๆ
“เลือกไม่ได้หรอก มันต้องรู้สึกนะ ยุ่งว่า” ปยุดาบอกสิ่งที่ตัวเองคิด
“จริง ก็นึกว่าไม่เลือกนี่นา” ภูดิทยิ้มๆ
“รับช่วงต่อไหมล่ะ” ปยุดาหัวเราะ
“เราไม่น่าจะชอบอะไรเหมือนกันนะจ้ะ ยายกรรู้จะรู้สึกอย่างไรไม่รู้นะ ถ้าได้ยินสิ่งที่แฟนตัวเองคุยกับยุ่งน่ะ” ภูดิทถอนใจ วัน
ก่อนยังถามเรื่องการแต่งงาน แต่ท่าทางคงต้องเปลี่ยนความคิด
“กร อาจจะไม่ได้คิดอะไรก็ได้นะ คุณตุลย์ก็อยู่ในข่ายผู้ชายทั่วไปคงคิดว่า ยุ่งไปอะไรด้วย เหมือนที่ภูคิดตอนเห็นรูปถ่ายนั่น
แหละ”
“แหม ตอนนั้นยังไม่รู้จัก ยุ่งน่ะมีข่าวกับคนโน้นคนนี้บ่อยเหลือเกินใครๆ คงเข้าใจเหมือนภูนะ ว่าปะ” ภูดิทยิ้มเจื่อนๆ ให้
“ใครคิดอย่างไรเรื่องของเขา แค่คนที่อยู่ในชีวิตเรารู้และเข้าใจก็พอ แล้วล่ะ มีไม่เยอะแต่อยากให้เข้าใจ” ปยุดายิ้มจางๆ
ภาพดวงตาคู่สวยใบหน้าและรอยยิ้มน้อยๆ ของกรวิกาเข้ามาวนเวียนในความรู้สึกทำให้หัวใจรู้สึกดี
“อย่างน้อยก็มี กร กับ ภู นะ”
“จ้ะ ขอบคุณนะ ภู ไปเถอะได้เวลาของสาวๆ ไปดูของสวยๆ แล้ว” ปยุดายิ้มให้กับคนที่กำลังขยิบตาให้ ภูดิททำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมากเพราะเรื่องของตุลย์คงไม่สร้างปัญหาอะไรให้ บางทีตุลย์อาจจะเป็นคนดีที่เหมาะ สมกับกรวิกา ถ้าเป็นอย่างนั้นปยุดากับภูดิทคงยินดีด้วยกันทั้งคู่ แต่ถ้าไม่ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจที่กรวิกามีให้ตุลย์ดูท่าจะค่อนข้างมากอยู่ทำเอาฝ่ายชายมั่นใจ ถึงแม้จะยังคงมาพูดจาหยอดความหวานใส่ปยุดาอยู่ก็ตาม หรือบางทีตัวปยุดาเองหรือเปล่าที่ตุลย์คิดแค่เพียงว่าเป็นดอกไม้ริมทาง
ปยุดากลับบ้านแต่หัววัน ทำเอามารดามองด้วยความแปลกใจเพราะปกติตะวันไม่ตกดินลูกสาวนั้นกลับบ้านไม่ค่อยจะถูก นอกจากหน้าที่การงานแล้ว ยังคงมีเวลาส่วนตัวเพิ่มเข้าไปอีก ท่านไม่เคยได้ว่าอะไรเท่าไรนัก เพราะปยุดาดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีเสียงติฉินนินทามาให้ได้ยินบ้าง แต่ท่านไม่เคยที่จะสนใจ เพราะสามารถถามไถ่หาความจริงได้จากลูกสาวเลยไม่สนใจขี้ปากใคร จะมีใครรู้จักตัวลูกสาวได้ดีเท่ากับมารดาท่านคิดอย่างนั้น และนั่นได้สร้างความมั่นใจให้กับตัวปยุดาในการคิดหรือตัดสินใจที่จะทำอะไรด้วยตัวเองไม่ว่าจะเรื่องงานหรือชีวิตส่วนตัว
“แม่มีเรื่องจะปรึกษา แต่อย่าหาว่ายุ่งบ้า หรือทะลึ่งนะ” ปยุดาเดินมานั่งลงข้างๆ มารดาและเข้าสวมกอดเอาไว้
“ปกติเราก็บ้าๆ บอๆ อยู่นะ” มารดาหัวเราะ เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้ายุ่งสมกับชื่อ
“ยังไม่ได้เริ่มเลย โดนซะแล้ว” ปยุดาบ่นพึมพำ ยิ้มๆ เมื่อนึกถึงหญิงสาวในความฝัน
“ไอ้หนุ่มคนไหนมาวุ่นวายด้วยอีกล่ะ” มารดาถามแล้วเอามือทาบทับไปที่ศีรษะของลูกสาว ซึ่งยิ้มน้อยๆ ให้อยู่
“ไม่ใช่หนุ่ม แต่เรื่องความฝัน”
“ฝัน ความฝันไปสร้างปัญหาอะไรให้ ถึงกับต้องมาถามแม่เชียว หรือ จะให้ตีหวยหรือไง” มารดาหัวเราะ เพราะรู้ดีว่า ลูกสาว
แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหวยเลยก็ว่าได้
“ตั้งใจฟังลูกนะคะ มันจริงจังมากและมันน่าสะพรึงมากในความรู้ สึกของยุ่ง เมื่อเช้าตื่นมาเสื้อผ้าไม่มีลงไปกองอยู่ข้างเตียง เปิดผ้าห่มมาไม่ได้ใส่อะไรเลยแม่” ปยุดาบอกเล่าด้วยน้ำเสียงที่ออกจะแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
“ตายๆ ฝันบ้าบออะไรกัน” มารดาถึงกับแสดงอาการเอามือทาบอกและหันมาสนใจลูกสาว ซึ่งคงจะบอกเล่ารายละเอียดเรื่องความฝันของตัว เองให้ท่านได้รับรู้อย่างไม่ปิดบัง
“ฝันว่า นัวเนียมีอะไรกับใครบางคน” ปยุดายิ้มแหยๆ
“ตายๆ รู้ข่าวเรื่องแฟนเก่าล่ะสิ” มารดาถามเสียงเข้ม
“แฟนเก่า แฟนเก่าเกี่ยวอะไรแม่”
“เอ๊าข่าวว่ากลับมาเมืองไทย เราก็มาเล่าว่าฝันไปนัวกับใคร ตื่นมาเสื้อผ้าไม่มี จะให้ฉันคิดอย่างไรได้ล่ะจ้ะ” มารดาบอกกับลูก
สาวที่ทำท่าคิดเมื่อนึกถึงเรื่องที่มารดาพูดออกมาเรื่องของคนรักเก่า
“พี่เจตน์”
“มีคนอื่นด้วยหรือ” มารดาถามยิ้มๆ
“ไม่เห็นรู้เลยว่า กลับมาเมืองไทยแล้ว” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ
“ยังไงต่อ เรื่องความฝันน่ะ”
“มีไอ้นี้ด้วยแม่” ปยุดายกมือขึ้นสองข้างทำท่าเหมือนเวลาวัดขนาดหน้าอกของผู้หญิง มารดาขมวดคิ้วจ้องมองปยุดาที่ทำหน้า
ตาแปลกๆ
“ผู้หญิงหรือ” มารดาถามเสียงหลง
“ใช่สิ ถึงว่าแปลกไง” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ แต่มารดากลับหัวเราะออกมาทำเอาปยุดาทำหน้ายุ่งมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“เพ้อเจ้อ กินเหล้ามากไปล่ะสิ” มารดายังคงหัวเราะอยู่
“ถ้าตื่นมาเสื้อผ้าครบ จะไม่ว่าอะไรเลย ชุดนอนลงไปกองอยู่กับพื้นอะนะ เพ้อเจ้อ” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ เพราะท่าทางมารดา
เห็นว่าเป็นเรื่องขบขันเสียมากกว่า
“ใครกันล่ะ ผู้หญิงคนนั้น”
“ไม่รู้” ปยุดาบอก
“เสียตัวฟรีสิ หาคนรับผิดชอบไม่ได้อีก” มารดายังคงหัวเราะอยู่
“ไม่อะ ไม่รู้ใครในฝันไม่เห็น แต่มันเหมือนจริงมาเลยนะ แม่”
“งั้นถามใหม่ รู้สึกยังไง” มารดาถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังเหมือน เวลาปยุดามีปัญหามาปรึกษาไม่ได้พูดเล่นขำๆ เหมือน
ก่อนหน้านี้
“เอาจริงปะ”
“จริงๆ” มารดาบอก
“ดีค่ะ ตื่นมันยังรู้สึกอุ่น แล้วก็เหมือนมีอะไรกันจริง” ปยุดาพูดงึมงำ
“แล้วมีปัญหาอะไร ในเมื่อทำให้รู้สึกดี”
“ผู้หญิงนะ แม่” ปยุดาพูดเสียงหลง
“แล้วไงจ้ะ ฝันก็คือฝัน ไว้ไปมีอะไรกับผู้หญิงมาจริงๆ ค่อยมาเล่าใหม่ว่ายังรู้สึกดีอยู่หรือเปล่า” มารดาบอกในสิ่งที่ท่านคิด
“แม่คะ ยุ่งน่ะลูกสาวแม่นะ หวงสักหน่อยไหม กับผู้หญิงก็จะให้ไปมีอะไรด้วยแล้วให้มาเล่าอะนะ” ปยุดาบ่นกระปอดกระแปด
“อยากรู้เหมือนกันนะ ว่าไป ฉันไม่เคยนี่ยะเธอ ก็เลยอยากรู้”
“โห อุตส่าห์มาปรึกษาช่วยได้มากเลย” ปยุดาหัวเราะ
“ไปรู้สึกดีกับใครเขาเข้าล่ะ ถึงเก็บเอามาฝัน” มารดาพูดขึ้นลอยๆ ทำเอาปยุดานิ่งไป คุยมาเสียยืดยาวบทสรุปที่ควรจะต้องคิด
คือ คำพูดที่มารดาเพิ่งพูดออกมานั่นแหละ
ปกป้องนำหนังสือพิมพ์มาให้กรวิกา ซึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟก่อนที่จะเริ่มช่วยงานที่ปกป้องไม่อยากให้ออกมาตากแดดตากลมด้วยมากนัก คนที่ยิ้มให้เมื่อรับหนังสือพิมพ์มามองสบตากับคนที่เป็นดั่งน้องชาย ซึ่งมีแววตาแสดงออกถึงความห่วงใย หลังจากพอจะทราบว่า กรวิกามีอาการปวดที่หัว ไหล่อยู่บ้าง หลังจากอาสามาช่วยงานบูรณะซ่อมแซมภายนอกอุโบสถที่ปกป้องไม่คิดว่า เหมาะกับผู้หญิงสักเท่าไร อีกอย่างงานส่วนตัวของกรวิกานั้นหัวไหล่และแขนถือว่าเป็นส่วนสำคัญอยู่มาก
“อีกไม่เท่าไรก็เสร็จแล้วครับ ตามแผนที่วางไว้ กลับไปทำงานที่บ้านดีกว่าไหมครับ ผมขอร้องนะ พี่กร” ปกป้องบอกกับกรวิกาที่นั่งยิ้มกับชายหนุ่มที่แสดงความห่วงใย
“พี่มาเกะกะล่ะสิ ถ้างั้นน่ะ” กรวิกาพูดแหย่
“เปล่านะครับ แต่ถ้าเจ็บไหล่กับแขน งานที่ทำอยู่จะไม่เดินสิครับ”
“ให้ป้องทำแทนไง” กรวิกายิ้ม
“โห เจ้าของภาพเขียนคงเอามาทุ่มใส่พี่กรนะ ผมว่า เอาไว้ออกมาช่วยกันตอนซ่อมแซมภายในนะครับ” ปกป้องออกอาการ
อ้อนให้เห็น
“ถ้าอย่างนั้น พี่ขับรถไปซื้อยาก่อน เดี๋ยวซื้อขนมมาฝากนะ”
“นั่นไง ไหนว่าปวดนิดหน่อย” ปกป้องทำเป็นเสียงเข้ม
“เดี๋ยวจะโดน กับพี่กับเชื้อมาทำเสียงเข้มใส่นะ” กรวิกาหัวเราะเมื่อปกป้องรีบวิ่งหนีไปเริ่มงานรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ มองดูเด็กๆ
แล้วอดที่จะสงสารไม่ได้ สละเวลามาช่วยงานบุญขาดรายได้ส่วนตัวกันไปตลอดช่วงเวลานานพอสมควร กรวิกาเลยมีโอกาสได้พูดคุย
กับผู้รับเหมางานโดยตัวเธอเองจะเป็นคนจ่ายค่าแรงให้กลุ่มนักศึกษาที่มาช่วยงาน และรบกวนให้ทางช่างช่วยคำนวณค่าแรงที่คิดว่าเหมาะสมสำหรับน้องๆ ภาพข่าวในหนังสือพิมพ์หน้าสังคมที่บังเอิญเปิดไปนั้น ทำให้กรวิกามีรอยยิ้มจางลง หวนคิดถึงคนที่หาย ไปหลังจากได้พูดคุยเรื่องที่ตุลย์แวะไปพูดคุยและดื่มกาแฟด้วย ซึ่งนี่ก็ผ่าน มาหลายวันแล้ว
“ลมจะพัดหวนไหม คงต้องรอติดตาม เพราะดูแล้วน่าจะหวนกลับ มาคบหากันอีกครั้งได้ไม่ยากนัก หลังจากปยุดาสาวทรงเสน่ห์ยอมไปออกเดทกับอดีตคนรัก” ข้อความจากข่าวโดยมีเพียงรูปของชายหนุ่มซึ่งน่าจะเป็นอดีตคนรักของปยุดา
กรวิกายกแขนไปมาและจับไปที่หัวไหล่อยู่หลายครั้ง หลังจากทายาไปได้พักใหญ่และกำลังใช้พู่กันตวัดไปบนผืนผ้าใบมาสองสามชั่วโมงทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าค่อนข้างมาก
“วาดรูปเค้าขออนุญาตหรือยัง” เสียงของปยุดาทำให้กรวิกาตกใจรีบหันมาไม่ทันได้ระวัง พู่กันเลยตวัดไปบนภาพที่วาดค้างเอาไว้ทำเอาคนที่พูดแหย่หน้าเสียทันที
“ลบทิ้งก่อนก็ได้” กรวิกาจุ่มพู่กันลงบนสี แล้วป้ายบนภาพเสียจนเลอะเทอะไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าของปยุดาบนภาพเขียน ซึ่งถูกสีป้ายเอาไว้
“เอ๊า ไงงั้นล่ะ แทนที่จะแก้นิดหน่อย มิต้องวาดใหม่หรือ” ปยุดาถามและรู้สึกผิดที่ทำให้งานของกรวิกาเสียหาย ท่าทางจะโกรธ
เอาเสียด้วยเพราะป้ายงานเสียเลอะเทอะไปหมด
“กร ผิดเองที่วาดทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รับอนุญาต”
“เค้าล้อเล่น ตัวก็จริงจังไปได้ สวยจะตายดูดิหน้าหายไปเลย” ปยุดาพูดเสียงอ่อยๆ กรวิกาดูแปลกไป หลังจากที่ไม่ได้พบและพูดคุยกันหลายวัน เพราะปยุดาเองมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ รวมถึงกังวลเรื่องที่พูดคุยกับมารดาเรื่องความฝันนั่นด้วย
“ช่างมันเถอะ” กรวิกายกภาพเขียนไปเก็บ ด้วยความที่ยกด้วยมือเดียวทำให้อาการปวดที่ไหล่มีเพิ่มมากขึ้น
“แขนเป็นอะไร” ปยุดาถามและเดินตามมาดึงภาพนั้นเอาไว้
“ปวดนิดหน่อย ปล่อยเถอะ”
“เค้าเอาไปวางให้ จะให้วางตรงไหน” ปยุดาบอก
“ปล่อย เดี๋ยววางเอง” กรวิกาบอกแต่ปยุดาไม่ยอมปล่อยทำให้ต่างคนต่างดึง จนภาพหลุดจากมือของกรวิกา ซึ่งแสดงอาการ
เจ็บปวดที่หัวไหล่ออกมาให้เห็นชัดขึ้น
“กรหันมาเดี๋ยวนี้นะ เจ็บมากหรือเปล่า” ปยุดานำภาพไปวางพิงผนังห้องเอาไว้ คู่กับอีกภาพหนึ่งซึ่งยังไม่เรียบร้อยดี กรวิกาไม่ได้หันมาใช้มืออีกข้างก้มไปหยิบรูป ซึ่งเป็นงานที่ทำให้ภูดิทมาวางลงที่ขาตั้ง
“ตกลงไม่อยากคุยกัน” ปยุดาถาม
“เร่งงานอยู่ มีอะไรก็คุยสิ” กรวิกาบอกเริ่มขยับแขนหวังว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวด
“อยากจับพู่กันไม่ได้ไปทั้งชีวิตหรือไง เป็นห่วงอยู่นะ รู้หรือเปล่า”
“เสียเวลาส่วนตัวเปล่าๆ ไม่ต้องห่วงหรอก” กรวิกาบอก
“เดี๋ยวเค้าจะโทรฯ บอกให้คุณตุลย์พาตัวไปหาหมอ เค้าอยากพาไปเอง แต่ตัวคงไม่อยากให้เค้าพาไป” ปยุดาหยิบโทรศัพท์
ออกมาเพื่อที่จะโทรศัพท์หาตุลย์คนรักของกรวิกาแต่ถูกแย่งโทรศัพท์ไป
“พอเหอะ” กรวิกาบอก
“เรื่องไหน ไม่อยากให้มายุ่งด้วย ก็บอกดิ” ปยุดาพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายน้อยอกน้อยใจ จนเห็นหนังสือพิมพ์ซึ่งวางอยู่
“ไม่อยากมา ก็ไม่ต้องมา” กรวิกาบอก
“เออจำไว้เลยนะ ตัวเองก็เหมือนคนอื่นแหละ คิดว่าเค้าเป็นเหมือนในข่าว นึกว่าที่ทำความรู้จักกัน ตัวเองจะมองข้ามข่าวพวกนี้ไป แล้วไงสุด ท้ายก็เชื่อข่าว โดยที่ไม่คิดจะพูดหรือถามอะไรจากเค้าเลย ตามใจไม่อยากให้มา ไม่ต้องมามันก็ได้ว๊ะ” ปยุดาปึงปังกลับไปที่บ้านของปกป้อง
ปยุดาหายไปพักใหญ่ กลับมาเห็นกรวิกาหลับอยู่บนเก้าอี้คล้ายที่ตั้งอยู่ตามชายหาดตั้งอยู่บริเวณชานบ้าน ซึ่งมีลมพัดเย็นสบาย ท่านอนนั้นพอจะสังเกตได้ว่า คงเจ็บที่หัวไหล่อยู่มากพอสมควร เพราะตัวดูงองุ้มมาเล็กน้อย ปยุดาหยิบหนังสือพิมพ์ซึ่งพับอยู่ที่หน้าข่าวสังคม อ่านข่าวที่เขียนถึงตัวเองกับอดีตคงรักก่อนที่จะมองกลับมายังคนที่ยังคงหลับอยู่ ปยุดาขยับตัวเบาๆ จนมานั่งอยู่ใกล้ๆ กรวิกา ถุงยากับผ้าสำหรับคล้องไหล่ถูกวางเอา ไว้ข้างๆ ตัว ปล่อยให้คนที่หลับอยู่ได้นอนหลับอย่างสบาย ปยุดายิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงการแสดงออกก่อนหน้านี้
“หวงใช่ไหมล่ะ” ปยุดาคิดอยู่ในใจ เอื้อมมือไปแตะเบาๆ ที่หน้า ผากซึ่งตัวไม่ร้อนทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
“เปล่า” กรวิการำพึงออกมาเบาๆ ปยุดาอมยิ้มชะเง้อมองเห็นยังหลับอยู่
“โกรธเหรอ เรื่องไหนล่ะ” ปยุดายังคงคิดอยู่ในใจ หวังว่าจะได้ยินคำตอบเหมือนเมื่อสักครู่ แต่ไม่มีเสียงใดๆ ท่าทางกรวิกายังคง
หลับสนิทอาจ จะเผลอพูดอะไรออกมาหรืออาจจะฝันอยู่
“คิดถึง” ปยุดาไม่เห็นปากของกรวิกาขยับเลยสักนิด แต่กลับได้ยินคำสองคำที่ทำให้ยิ้มอย่างเขินอายจ้องมองคนนอนหลับ
“ฝันอะไรอยู่หรือเปล่า เคยฝันเหมือนกันไหม” ปยุดาอมยิ้ม หากว่าเคยฝันเหมือนที่ตัวเองฝันล่ะก็ คงได้อายกันแทบแทรกแผ่น
ดินหนีแน่ มือที่ทาบทับไปที่แก้มนั้นทำให้กรวิกาลืมตาขึ้น
“ตื่นได้แล้วเย็นแล้ว เดี๋ยวไม่สบาย” ปยุดาบอก กรวิกามองดูคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ และค่อยๆ ประคับประคองตัวให้ตั้งตรง
ขึ้น
“เย็นแล้วทำไมยังไม่กลับ เดี๋ยวมืดค่ำกลับลำบากนะ”
“ตื่นมาก็ไล่เลย ไม่คิดถึงเค้าเหรอ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ปยุดาถามยิ้มๆ จ้องมองไปที่จี้รูปดวงตาซึ่งเป็นคนสวมใส่ให้ไม่คิดว่า
กรวิกาจะใส่ติดตัวเอาไว้
“ไม่ได้ไล่ เป็นห่วง”
“ไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า มาทายา เค้าซื้อที่คล้องไหล่มาให้ เพื่อนที่เป็นหมอบอกว่า ห้ามซน ห้ามทำงานสักพัก จนไหล่ดีขึ้น
ก่อนนะ”
“เพื่อนบอก หรือแอบเป็นหมอเอง คิดเอง”
“บ้า โทรฯ ไปถามมา บอกไปว่า มีคนงอแงไม่ยอมไปหาหมอ”
“ไม่เป็นไรหรอก ดีขึ้นแล้วล่ะ” กรวิกาบอกไม่อยากให้ปยุดากังวลใจ
“ไหนยกแขนขึ้น” ปยุดาลุกขึ้นยืนกอดอกจ้องมองคนที่กำลังดื้ออยู่
“ไม่อยากยก”
“อย่ามาดื้อเลย ข่าวน่ะ ไม่ต้องไปอ่านมากนัก อ่านแล้วก็มางอนเค้าได้ไงว๊ะ” ปยุดาบ่นพึมพำ
“ไม่ได้งอนสักหน่อย”
“เหรอ ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ไปอาบดีๆ เค้าจะเป็นคนอาบให้นะ” ปยุดาพูดเสียงเข้มเอามือท้าวสะเอวจ้องมองคนที่ยังคงนั่งนิ่ง
ไม่ยอมลุก
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ” ปยุดาหยิกเข้าที่แขนอีกข้าง
“เจ็บนะ” กรวิกาพูดดุ แต่เงียบไปเมื่อถูกปยุดาเข้าสวมกอดเอาไว้และปลอบโยนด้วยการลูบเบาๆ ไปที่แผ่นหลัง
“ตามใจเค้าหน่อยสิ เดี๋ยวหายแล้วค่อยชวนทะเลาะ หรืองอนใหม่ อย่าไล่เค้าด้วย เค้าไม่ยอมไปไหน นั่งตากยุงอยู่นอกชานก็ได้
นะ อย่าไล่เค้านะ เป็นห่วงตัวจะแย่” ปยุดาพูดอ้อนและยังคงกอดกรวิกาเอาไว้หลวมๆ
เพราะกลัวไหล่ของคนที่ถูกกอดอยู่นั้นจะเจ็บ
“จะไปอาบน้ำแล้ว จะได้มาทายากับใส่สายคล้องแขน” กรวิกาลูบไปที่แผ่นหลังเบาๆ ปลอบโยนคนที่ห่วงใยอยู่
“ต้องถอดเสื้อ ใส่เสื้อด้วยให้ช่วยไหมไม่น่าจะถนัด” ปยุดายิ้มแหยๆ
“ใส่ได้ ขอบคุณนะ”
“เค้ารอข้างนอกนะ ระวังๆ ด้วยล่ะ”
“จะระวังจ้ะ แม่จอมยุ่ง”
“ยายจอมดื้อ” ปยุดายิ้มทะเล้นให้คนที่ยิ้มๆ และเดินเข้าไปในบ้าน