ตอนวิวาห์ว้าวุ่น
“ตายกหลานสาวคนเดียวให้พ่อหนึ่งแล้ว ดูแลให้ดีๆ นะ ผิดนิดผิดหน่อยก็บอกก็สอน และให้อภัยน้องด้วย ขอให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง ครองคู่เป็นผัวเดียวเมียเดียวไปจนแก่จนเฒ่าเหมือนตากับยายนะ”
คุณตาเปล่งเลือกคำนี้มาอวยพรให้คู่บ่าวสาว ที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้น แล้วก้มลงกราบแทบเท้าคุณตา คุณยายวันเอื้อมมือมาลูบหัวหลานสาวอย่างแผ่วเบา จ้องมองด้วยใบหน้าไม่คลายหายห่วง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำอันเป็นศิริมงคลอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ยัยหนึ่ง วันนี้เป็นวันที่เราโตเต็มตัวและมีเย้ามีเรือนแล้วนะ หน้าที่เมียที่ยายกับแม่เคยบอกเคยสอน ก็จะได้เอามาใช้นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จำไว้นะหลานยาย ที่ไหนร่มรื่นเย็นสบาย ใครๆ ก็อยากจะอยู่ นอกจากจะเป็นเมียที่ดีแล้ว ก็ต้องเป็นสะใภ้ที่ดีด้วย พ่อแม่ผัวก็เหมือนพ่อแม่เรา ให้รัก ให้เคารพเทียบเท่ากับพ่อแม่ของเรา ยายขอให้หลานทั้งสองมีความสุขมาก ๆ ครองรักกันจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรนะ”
ทั้งสองก้มลงกราบแทบเท้าคุณยายวัน แล้วขยับไปหาคุณปู่ชัยยศเพื่อรอรับคำอวยพร
“ปู่ก็ไม่มีอะไรจะฝากไว้ นอกจากอยากให้ทั้งสองคนใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอย่างทะนุถนอมน้ำใจกันและกัน เวลามีทุกข์หรือมีปัญหาที่ไม่คนใดก็คนหนึ่งทำให้มันเกิดจนทำใจให้อภัยไม่ได้ ก็อยากให้คิดถึงวันนี้ ซึ่งเป็นวันดีของทั้งสองคน เป็นวันที่แขกหลายร้อยคนมาร่วมแสดงความยินดี มาร่วมอวยพรให้เราบ้าง จะได้เอาไปคิดเพื่อหักล้างกับความผิดของอีกฝ่าย ถ้าชั่งน้ำหนักดูแล้วยังพอไปด้วยกันได้ก็ให้อภัยกันและกัน นี่คือหัวใจหลักของการครองชีวิตคู่ให้อยู่ยืนยาว จำคำปู่ไว้นะทั้งสองคน”
คุณปู่ชัยยศโน้มกายลงไปรับร่างของหลานทั้งสอง ที่ก้มกราบแทบเท้า ผิดกับคุณย่าบานเย็น ยังนั่งตัวแข็งคอตั้งหน้าตรงอยู่อย่างนั้น
ปานเห็นท่าไม่ดี จึงรีบโน้มตัวลงไปหาลูกสาวที่ขยับมาหาและจ้องมองหน้าแม่พร้อมกับส่งยิ้มบางๆ มาให้ ปานน้ำตาจะไหลออกมาให้ได้ ปิยะเลยยกมือขึ้นมาลูบหลังเบาๆ
“แม่ฝากลูกสาวคนเดียวด้วยนะพ่อหนึ่ง รักลูกสาวแม่ ดูแลลูกสาวแม่ดีๆ นะคะ ยัยหนึ่งเปรียบเหมือนชีวิตจิตใจของแม่ และเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย อะไรที่ลืมได้ยัยหนึ่งก็จะลืม ยกเว้นว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงจนเกินจะลืม มันก็จะยังคงอยู่ในใจไปตลอด ยากจะหาอะไรมาลบออกได้ แม่ฝากให้พ่อหนึ่งคิดดีๆ คิดให้ถี่ถ้วน ก่อนจะเผลอทำอะไรให้ลูกสาวแม่เสียใจ อย่าลืมคำนี้ของแม่นะ”
พลาธิปไม่ใคร่จะสนใจอะไรมากมายนัก แต่ก็ก้มลงกราบตามคนข้างๆ ไปอย่างนั้น ปิยะส่งยิ้มให้สองที่จ้องมองมาหาก่อนจะเอ่ยสั้นๆ เพราะเห็นว่าดึกแล้วนั่นเอง
“มีหลานให้พ่ออุ้มไวๆ นะลูก”
พาทิศเองก็เลือกพูดนิดเดียว
“พ่อก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากจะให้ลูกทั้งสอง เก็บคำอันเป็นมงคลของทุกคนไว้ในความทรงจำ จะได้ไม่ลืมและจะได้นำมาปฏิบัติให้ชีวิตคู่ยืนยาวตลอดไป”
พิไลพรรณนั่งข้างๆ อยากจะอวยพรให้เฉพาะลูกชายเท่านั้น แต่ก็ทำไม่ได้ และไม่อาจจะเสแสร้งแกล้งยิ้มให้สะใภ้ ที่ตัวเองไม่เคยคิดอยากได้เข้าบ้าน จึงเลือกที่จะส่งยิ้มให้ลูกแล้วพูดไม่กี่คำเช่นกัน
“แม่ขอให้ลูกมีความสุขกับสิ่งที่เลือกนะจ๊ะ”
ปราณปริยาวดีนั่งรอแม่สามี ว่าจะหันมาสบตาและอวยพรอยู่อึดใจแต่ก็ไม่มี แล้วคนข้างๆ ก็ก้มลงกราบแทบเท้าแม่ ร่างระหงจึงก้มลงกราบตามด้วยท่าทีนอบน้อมไปยังปลายเท้าแม่สามี
แต่อนิจจา! เท้านั้นขยับหนีเล็กน้อย และไม่มีใครสังเกตเห็นนอกจากสะใภ้กับปานที่ตาไวเท่านั้น
“งั้นก็ปล่อยให้เด็กๆ พักผ่อนดีกว่า ดึกมากแล้ว เหนื่อยมาตั้งแต่เช้ามืดด้วย”
ปราณปริยาวดีพาชุดสีขาวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แม้จะถอดหางอันยาวเฟื้อยออกตั้งแต่เสร็จพิธีเปิดตัวบ่าวสาวแล้ว แต่ชุดก็ยังยาว บานเกะกะอยู่ดี ประตูห้องปิดแล้วด้วยมือผู้เป็นเจ้าบ่าว
แล้วเขาก็ถอดสูท หูกระต่าย เข็มขัดชุดทักซิโดออก โยนลงตรงชุดรับแขกตัวใหญ่ยาว ตั้งอยู่ริมหน้าต่างห้องอย่างไม่สนใจสักเท่าไหร่นัก
ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กๆ ได้น้ำเย็นขวดเหมาะมือ ถือเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าต่างอีกบาน มองไปยังสนามมีกลุ่มเพื่อนตั้งวงรออย่างที่เขาบอกไว้ จากนั้นก็เปิดน้ำยกขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้า
โดยไม่คิดจะหันหลังกลับมามองอีกคน ที่ยังคงยืนอยู่กลางห้องจ้องมองแผ่นหลังผู้ชาย ได้ชื่อว่าเป็นสามีสลับกับมองเตียงขนาดใหญ่ มีกลีบกุหลาบสีแดงสดโรยไว้จนเต็ม ตรงกลายทำเป็นรูปหัวใจสวยงาม
‘ก๊อกๆๆ’
พลาธิปหันกลับมาเมื่อประตูมีเสียงเคาะเบาๆ ก่อนจะเดินไปเปิดออก ก็พบว่าเป็นผู้จัดการและเลขามายืนยิ้มให้
“ขอโทษนะคะคุณหนึ่ง อี้พาช่างมาช่วยคุณหนึ่งแกะผมค่ะ คงต้องใช้เวลาสักพัก แต่จะไม่เข้าไปวุ่นวายในห้องหอหรอกนะคะ จะพาไปห้องติดๆ กันนี่ล่ะค่ะ”
“ครับ”
เขาเปิดประตูกว้างกว่าเดิม แล้วหันไปหาคนยืนอยู่กลางห้อง โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ปราณปริยาวดีรีบหอบชายกระโปรงขึ้น แล้วเดินไปหาประตูด้วยท่าทีของคนโล่งอก
และอยากจะขอบคุณผู้จัดการอี้ไม่เบา มาได้เวลาพอดี กัลยาไม่ได้เดินตามมาในความรู้สึกของปราณปริยาวดี เข้าใจว่าน่าจะคุยธุระต่อกับเจ้านาย
พอเข้าห้องมาได้ หญิงสาวก็ไม่มีเวลาคิดอะไรอีก