พรนับพันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดรสกลางคืน ปกติเธอไม่ใช่นักท่องราตรี ชีวิตเธอมีแค่เรื่องเรียนและศึกษายาสมุนไพรกับคุณปู่ จนเมื่อเรียนจบก็ยังยุ่งกับยา เธอมีโปรเจคผลิตเครื่องสำอางจากสมุนไพรไทยที่ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง แต่คืนนี้เธอมีนัดปาร์ตี้วันเกิดเล็กๆ กับเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายเป็นกลุ่มที่สนิทกันมาก ขณะที่เธอเดินลงบันไดมาถึงชั้นล่าง มารดาที่กำลังจะขึ้นไปตามก็เรียกลูกสาวไว้ก่อน
“จะออกไปไหนเหรอ”
“ไปงานวันเกิดแป๋มค่ะแม่” เธอตอบอย่างไม่ปิดบัง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของแม่ก็อดถามไม่ได้ “มีเรื่องอะไรหรือคะ”
“มาคุยกับปู่กับพ่อก่อน” คุณนับดาวถอนหายใจแล้วดึงมือลูกสาวมากุมไว้ “ค่อยๆ ฟังความคิดของผู้ใหญ่อย่าใช้อารมณ์ล่ะ”
พรนับพันเลิกคิ้วสงสัยแต่เดินตามมารดาไปที่ห้องหนังสือ บ้านนี้เป็นหนอนนักอ่านตัวยง พ่อสร้างห้องหนังสือไว้เก็บตำราแพทย์เก่าๆมากมาย กลายเป็นห้องประชุมและห้องทำงานไปพร้อมกัน เมื่อเธอเดินเข้ามาก็พบว่าคุณปู่ทองอินของพ่อฐากรูนั่งรออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวส่วนมารดานั่งข้างบิดา
“มีเรื่องอะไรหรือคะ” พรนับพันถามอย่างไม่อ้อมค้อม เธอเป็นอย่างนี้เสมอ ตรงไปตรงมา เธอเติบโตมาในครอบครัวนี้ที่มีอะไรก็พูดคุยกัน เห็นพ่อที่ค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นจากบ้านหลังเล็กจนเป็นบ้านหลังใหญ่ ยามครอบครัวเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ พ่อกับแม่ก็ไม่ปิดบังเพื่อให้ลูกทั้งสองเข้าใจสถานการณ์และพร้อมรับมือ
ปู่ทองอินมองหน้าหลานสาวแล้วถอนหายครั้งหนึ่งก่อนพูดขึ้น
“หลานยังจำปู่หลิวจิ้นอัน สหายชาวจีนของปู่ได้ไหม”
หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ทบทวนความทรงจำในวัยเยาว์ คุณปู่มีเพื่อนเยอะ คนที่คุณปู่เคยรักษาและยังมีเพื่อนร่วมวิชาชีพที่แบ่งปันความรู้กัน
“คุณปู่ที่เคยสอนภาษาจีนให้ปันปันใช่ไหมคะ”
“อืม คนนั้นแหละ”
พรนับพันจำได้ในทันที เพราะปู่หลิวท่านนี้ทำให้เธออยากเรียนภาษาจีนจนดิ้นร้นไปร่ำเรียนจนได้ เพราะเธอเองก็สนใจการแพทย์แผนจีน ทั้งการฝังเข็ม,ครอบแก้วและยาสมุนไพรที่มีมานับพันปี
“ปู่หลิวขอเคยขอหมั้นหมายปันปันกับหลานชายของปู่หลิว”
“หลายชายปู่หลิว?” เธอเลิกคิ้วประหลาดใจ “ลูกชายคุณปู่หลิวไม่รุ่นพ่อปันปันเหรอคะ”
“แค่กๆ” คราวนี้พ่อสะดุ้ง “ฟังให้มันดีๆหน่อย หลานไม่ใช่ลูก อายุก็...ห่างกันไม่ถึงสิบปีหรอก”
“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่อายุ แต่เรื่องหมั้นหมายต่างหาก” พรนับพันขึงตาใส่ผู้ใหญ่ในบ้าน “นี่มันยุคไหนแล้วยังมีเรื่องแบบนี้อีกหรือคะ?”
“ตอนนั้นปู่ก็ปฏิเสธไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าปู่หลิวจะทักมาถามเรื่องนี้อีก”
“คุณปู่เคยปฏิเสธไปแล้ว ทำไมไม่ปฏิเสธไปอีกล่ะคะ?” เธอยังคงงุนงงอยู่
“ก็เพราะ...” ปู่ทองอินถอนหายใจอีกครั้ง
“เพราะทางโน้นเสนอจะช่วยครอบครัวเรา” คราวนี้พ่อพูดขึ้นมาเอง
“ทำไมเราต้องให้เขาช่วยคะ” พรนับพันเริ่มเห็นเค้าลางไม่ดี “เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเรา”
“ปันปันใจเย็นๆแล้วฟังพ่อกับปู่พูดก่อนนะลูก” แม่ยื่นมือมากุมมือลูกสาว “ผู้ใหญ่ทางนั้นเสนอมา หากปันปันแต่งงานกับหลายชายปู่หลิว เขาจะช่วยเรื่องเงินทุนในการเปิดโรงงานของพ่อ ลูกก็รู้ว่าเรื่องนี้พ่อกับปู่ลงทุนไปมาก สถานะการเงินของเราขาดสภาพคล่อง ทางธนาคารก็ไม่ปล่อยกู้เพิ่ม เรามีหนี้ต้องจ่าย มีคนงานที่รอความหวังจากเรา”
“บ้านเรา...การเงินวิกฤตหรือคะ” หญิงสาวยังไม่อยากเชื่อนัก การบริหารจัดการเงินเป็นหน้าที่ของพ่อ เธอรู้ว่ารายรับจากการขายยาสมุนไพรของพ่อยังไม่คงที่นัก
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้” คุณปู่พูดขึ้น
“ถ้าปันปันแต่งงานก็ต้องอยู่ที่โน้น...” เธอพึมพำออกมาเหมือนละเมอ เธอไม่เคยคิดจะไปจากที่นี่ แม้เคยคิดเรื่องไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เรื่องแต่งงานมีครอบครัวกับคนต่างชาติ เธอไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลยสักนิด อย่างน้อย เธอก็อยากอยู่ใกล้ๆ ครอบครัว ได้ดูแลท่านทั้งสอง
“ไทยกับจีนก็ไม่ได้ไกลนัก นั่งเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมง มีเที่ยวบินตรงแล้วด้วย” พ่อพูดพึมพำออกมา
“พูดแบบนี้คิดแทนปันปันแล้วสินะคะ” หญิงสาวทำเสียงดุใส่พ่อ “การแต่งงานนี่มันความสุขชั่วชีวิตของปันปันเลยนะ แล้วผู้ชายเป็นใครก็ไม่รู้”
“หน้าตาก็ไม่เลวนะ นี่ไง” พ่อยื่นโทรศัพท์มือถือส่งให้ลูกสาว แต่เพราะความโมโหเธอจึงลุกขึ้นยืนและไม่ยอมดูรูปว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเอง
“ปันปันไม่คิดว่ายุคนี้แล้วเราจะมีเรื่องคลุมถุงชนอีก ถ้าพ่อกับปู่ตัดสินใจกันก่อนมาคุยกับปันปันแล้วก็ไม่ต้องมาถามความเห็นกันแบบนี้หรอกค่ะ”
“ปันปันจะไปไหน” พ่อเรียกลูกสาวที่หมุนตัวเดินไปถึงประตูห้องหนังสือ
“คืนนี้ปันปันมีนัดกินเลี้ยงวันเกิดยัยแป๋มค่ะ เรื่องที่คุยกันวันนี้ขอเวลาปันปันหาวิธีจัดการก่อน ปันปันไม่เชื่อว่าเราจะหาเงินทุนจากที่อื่นไม่ได้จนต้องใช้วิธีแต่งงานแบบนี้”
พ่อกำลังจะห้ามแต่แม่กลับตบหลังมือพ่อเบาๆ เป็นเชิงเตือน “ปล่อยให้ลูกไปคิดทบทวนก่อนเถอะ เราก็รู้นิสัยปันปันอยู่ ยิ่งไปบังคับก็ยิ่งไม่ทำตาม ถ้าลูกไม่อยากแต่งก็คงฝืนใจไม่ได้ เรื่องเงินก็...ช่างมันเถอะ ล้มแล้วก็ค่อยหาใหม่ได้”
ทั้งปู่กับพ่อถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน จริงอยู่ เรื่องเงินถ้าไม่ตายก็หาใหม่ได้ เพียงแต่มันไม่ใช่แค่ครอบครัวของตนเอง แต่ยังมีอีกหลายชีวิตที่ฝากความหวังไว้ที่พวกเขา รวมจมท้ายกันมานานต่างก็หวังจะเห็นกิจการตระกูลศุขไสยาศน์รุ่งเรืองไม่ได้เป็นแค่ยาผีบอกอย่างที่คนอื่นชอบพูดกัน
หญิงสาวเดินอย่างหงุดหงิดมาที่หน้าบ้าน อยากจะร้องกรี๊ดๆออกมาแต่ทำไม่ได้ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ค.ศ.2024แล้วยังมีเรื่องพวกนี้อีกเหรอ ผู้ชายคนนั้นก็อะไร ไม่รู้จักกันเสียหน่อยจะมาแต่งงานกันได้ยังไง หรือแต่งๆไปแล้วแยกกันอยู่ ทำเหมือนไม่รู้จักกันอย่างนั้นเหรอ
“คุณปันปันจะไปไหนครับ” ธารณ์เอ่ยถามอย่างแปลกใจเพราะไม่ค่อยเห็นพรนับพันไปเที่ยวกลางคืนนัก เขาเพิ่งรดน้ำต้นไม้เสร็จและยังสวมชุดทำงานอยู่ เพียงแค่พับแขนเสื้อขึ้นเท่านั้น เพราะนิสัยของเขาชอบอาบน้ำทีเดียวก่อนเข้านอน
“ไปงานวันเกิดยัยแป๋มค่ะ” เธอตอบ
เพราะรู้จักกันมานาน ธารณ์เห็นสีหน้ากังวลใจของพรนับพัน เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ให้ผมขับรถให้คุณปันปันนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ พี่ธารณ์กลับมาเหนื่อยๆ พักผ่อนดีกว่าค่ะ”
“โรงงานยังไม่ได้เปิดเต็มที่ ผมเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ” เขาพูดยิ้มๆ ไม่อยากให้เธอกังวล และแอบดีใจที่เธอแสดงความเป็นห่วงมากขนาดนี้ “หรือคุณปันปันรังเกียจที่ผมขับรถให้”
“พูดอะไรแบบนั้นคะ” เธอทำเสียงอ่อนเหมือนเด็ก
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผมขับรถให้เถอะครับ คุณปันปันจะได้สนุกกับเพื่อนเต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องขับรถกลับด้วย”
หญิงสาวนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วพยักหน้ารับ อารมณ์ของเธอตอนนี้ให้ขับรถออกไปคงได้ประสานงานกับรถบรรทุกแน่เลย
“คุณปันปันรอตรงนี้ไม่เกินสิบนาที ผมไปเอารถออกมาก่อน”
ธารณ์ยื่นมือไปรับกุญแจรถจากมือเรียวเล็กรีบเดินเร็วๆ จนแทบจะกลายเป็นวิ่งไปจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทางแล้วขับรถของพรนับพันมารอ หญิงสาวเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่ง เมื่อประตูรถปิดสนิทแล้วรถเก๋งสีหวานจึงเคลื่อนออกไปโดยไม่รู้ว่ามีสายตาของป้าฉลวยจ้องมองมองอยู่ นางได้แต่เป็นกังวลเกรงว่าลูกชายใฝ่สูงจะหมายโน้มกิ่งดอกฟ้า นางรู้ดีว่าอย่างไรเสีย พรนับพันมองลูกชายนางเป็นแค่พี่ชาย ไม่เคยแสดงท่าทีเช่นหนุ่มสาว คนมั่นรักจริงจังอย่างลูกชายนางเกรงว่าอกหักครั้งนี้อาจเจ็บเจียนตายเลยก็ได้ ถ้านางกับลูกเกิดเป็นคนรวยคงดีไม่น้อย คงได้ช่วยแบ่งเบาภาระใหญ่ของตระกูลศุขไสยาศน์ได้บ้าง