“ถ้าเป็นไปได้ พอจบตรีก็อยากจะพาลูกไปเรียนต่อโทที่โน่น ไม่รู้ตาแทนจะว่ายังไง”
“ลองคุยกับแกดูก่อน ตาแทนเรียนเก่ง อาจจะอยากไปก็ได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิยุภา”
ยุริญดาอยากตะโกนดังๆ ว่าไม่เห็นจะดีเลย ทำไมต้องไปเรียนไกลขนาดนั้น เมืองไทยมีที่เรียนเยอะแยะ ไม่ไปได้ไหม แล้วถ้าเกิดไปจริงๆ ไอ้พี่แทนก็ได้ทีจิ้มของนอกน่ะสิ!?
“พี่ยุ? ทำอาราย”
“อุ๊ย! ตกใจหมด”
เจ้าเด็กวัยห้าขวบยกมือเกาหัวเมื่อพี่สาวตอบไม่ตรงคำถาม
“พี่ริษาบอกว่าแอบฟังผู้ใหญ่คุยกันไม่ดี”
“เปล่านะ ใครแอบฟัง ไม่มี!” ยุริญดาเถียงน้องตาเหลือก ก็ไม่ได้แอบฟังไงเล่า เจ้าตัวแสบอย่ามาปรักปรำนะ
“เห็นพี่ษาไหม สไมล์หิว สไมล์อยากกินชีสบอล”
“เดี๋ยวพี่ไปสั่งคนในครัวให้ทำให้ พี่ริษาคุยธุระอยู่ในห้องทำงานกับคุณพ่อ” เธอต่อรอง แต่เจ้าตัวแสบทำหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่เอา คนอื่นทำไม่อาหย่อย”
“งั้นพี่ทำให้เอง เอาปะ?” พี่สาวผู้แสนดีเอ่ยอาสา แต่สไมล์ส่ายหน้าพรืด เบ้ปากราวกับยุริญดาเพิ่งเอ่ยเรื่องคอขาดบาดตาย
“คราวที่แล้วพี่ใส่เกลือช้อนเบ้อเริ่มในมันบด เพราะคิดว่ามันเป็นน้ำตาล”
“อา...ซ้ำเติมกันจริงนะ แค่หนเดียวเท่านั้นละน่า”
“ไม่อาว...” เด็กน้อยทำหน้าเง้า ก่อนจะเดินหนีพี่สาวไปหามารดาที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก ส่วนยุริญดาก็ได้โอกาสเดินออกจากตรงนั้น ทว่าหางตายังทันได้เห็นพี่ชายเดินออกมาจากห้องของริษา
“พี่เข้าไปทำอะไรในนั้น”
“เอาเจ้านี่”
เขาชูหูฟังให้ดู แต่ยังไม่อาจหยุดความสงสัยใคร่รู้ของยุริญดาไปได้
“แล้วทำไมหูฟังพี่ไปอยู่ในห้องนั้นล่ะ”
คนเป็นพี่เม้มปากเมื่อถูกถาม เขาไม่ตอบ แต่เดินหนีดื้อๆ
“พี่ตายแน่ถ้าแม่รู้เรื่องเข้า”
“ก็อย่าให้รู้สิ แกอย่าพูดมาก เข้าใจไหม”
“ไม่ต้องสั่งฉันก็รู้หรอกน่าว่าต้องทำยังไง เลิกเห็นฉันเป็นเด็กสักทีได้ไหม”
“ก็แกยังเด็กจริงๆ”
“ฉันอายุน้อยกว่าพี่แค่ปีเดียวนะพี่กร ลูกบ้านอื่นเขาไม่เรียกพี่ว่าพี่ด้วยซ้ำ”
“เออน่า อย่ามาชวนทะเลาะ ฉันจะรีบไปแต่งตัว ต้องไปบริษัทอีก ทำไมแกไม่เกิดเป็นพี่วะ จะได้ไปศึกษางานที่บริษัทเนี่ย”
ยุริญดายักไหล่ให้พี่ชาย “ก็พี่เป็นพี่ไง พี่ชายที่เคารพ เชิญค่ะ เชิญเข้าบริษัทในวันหยุด ไปศึกษาหาความรู้จะได้ทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงน้องสาวที่น่ารักคนนี้นะคะพี่ขา...”
“โอ้ว...อย่ามาคะขา...น่ากลัวชะมัด!”
แล้วภากรก็ทำท่าขนลุกขนพองขึ้นบันไดไปข้างบน ส่วนยุริญดาก็แวะไปที่ห้องครัว หาของว่างกินสักนิดแล้วขึ้นไปอ่านหนังสือเพราะใกล้ช่วงสอบแล้วนั่นเอง
ย่ำค่ำวันถัดมา
มื้อค่ำอย่างเรียบง่ายของบ้านไกรวัลย์ดำเนินไปเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา ผิดก็แต่วันนี้ หัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นเรื่องคนบ้านข้างๆ บ้านที่ยุภาพยายามไม่เอ่ยถึง แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ
“ฉันเห็นรถสองคันจอดชนกันอยู่หน้าบ้านโน้น สงสัยว่าพ่อตาแทนสับรางรถไฟไม่ทันแน่ๆ จะอะไรกันนักกันหนา อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว”
“อะแฮ่ม! เบาได้ก็เบาน่าคุณ เด็กๆ มองอยู่”
คนเป็นสามีส่งเสียงปราม แต่ภรรยาทำค้อนใส่ เจ้าตัวเลยหันไปหาคนอื่นเสีย
“ใครได้ยินเรื่องบ้านโน้นบ้างฮะ เป็นยังไงบ้าง” ถามเอากับสาวใช้ แม่สาวใช้ที่อายุมากสุดเลยรีบรายงาน
“เหมือนมีผู้หญิงทะเลาะกันค่ะ เสียงกรี๊ดนี่ดังออกมาถึงข้างนอกเลย” ตอบอย่างที่แม่ครัวของบ้านโน้นบ่นข้ามรั้วมาตามประสาคนใช้ที่มักมีเรื่องเมาท์มอยเจ้านายให้กันฟังอยู่เสมอ
“เห็นไหม ฉันว่าแล้ว ไปๆ ไปจัดจานมาเพิ่มสักชุดซิ วางข้างยัยยุโน่น” ยุภาสั่งสาวใช้อย่างที่เคยทำมา
สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างรู้ทัน ในขณะที่ริษามัวแต่แกะเนื้อปลาทูใส่จานให้เด็กชายวัยห้าขวบ
“แกะให้ฉันบ้างสิ”
ภากรร้องขอข้ามหัวเจ้าเด็กน้อย คนเป็นน้องเลยมองตาขุ่นขวาง
“พี่อายุห้าขวบเหรอ แกะเองไม่เป็น?”
“ไอ้เจ้านี่?”
ภากรเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันน้องชาย แต่ยุริญดากลับชอบใจ ยกนิ้วโป้งให้น้องอย่างชื่นชม
“กินข้าวๆ เจ้ากร”
พอถูกปรามจากชนะชัย ทุกคนก็เริ่มรับประทานอาหารในจานของตน ภากรกินข้าวไปก็หน้าหงิกหน้างอเพราะไม่มีคนเข้าข้าง กระทั่งปลาทูชิ้นใหญ่ถูกวางลงในจาน เขาถึงยิ้มออก
ลูกชายคนโตของบ้านไกรวัลย์กินมื้อค่ำอย่างเอร็ดอร่อย หารู้ไม่ว่าทุกกิริยาท่าทางตกอยู่ในสายตาของมารดาทั้งสิ้น ยุภาเก็บข้อมูลทุกสีหน้าและการกระทำของเด็กๆ ไปขบคิด หวังว่าจะไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าปลาทูที่ถูกเลาะก้างชิ้นนั้นก็แล้วกัน
บทที่ 6
หัวใจที่โบยบิน