เหมือนที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี่ไง
“พี่ชายอยากได้อีคนสวยนั่นเหรอ?” มันถามประจบ เมื่อพอจะมองเห็นทางรอด
อชิระปรายตามองผู้หญิงคนนั้นก่อนกระตุกยิ้ม
“ไม่!!” เขาตอบเสียงแข็ง
“อ้าว!!” มันครางแบบไม่เข้าใจ หากไอ้หนุ่มตรงหน้านี่ไม่ต้องการผู้หญิง แล้วมันเสือกเข้ามายุ่งทำไมวะ?
“ฉันไม่ต้องการให้เกิดเรื่องร้ายๆ ที่นี่”
“อ้อ...ฉันพาอีนั่นไปที่อื่นก็ได้จ้ะ” มันแสยะยิ้ม และยิ่งทำให้ใบหน้าดำคล้ำของมันน่าเกลียดยิ่งขึ้น คราบเลือดที่เริ่มแห้ง แผลสดๆ ปริแตกตอนที่ไอ้วายร้ายแยกยิ้ม
“แกจะไปก็ไป อย่ากลับมาที่นี่อีก จำไว้ ถ้าฉันเห็นหน้าแกแถวนี้ ฉันยิงแกทิ้งทันที” อชิระข่มขู่ เขาป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากคนตรงหน้ามีความอาฆาตแค้นต่อตนเอง
ไอ้หน้ามืดเหลือบมองวิฬา ก่อนจะตัดใจบางอย่าง
ไอ้สุดโฉดคลานสี่ขาออกไปนอกกระท่อมทันทีที่อชิระพูดจบ มันวิ่งโขยกเขยกหายลับไปกับความมืด ก่อนเสียงสตาร์จรถบรรทุกจะดังขึ้น
“ลุกไหวมั้ยคุณ?” อชิระยัดปืนเก็บไว้ที่ซอกเอวเหมือนเดิม
วิฬาพยายามทรงตัวยืน เธอเจ็บร้าวไปทั้งหน้าขา เมื่อก้มมองจึงเห็นว่าที่ปลีน่องเป็นแผลลึกพอสมควร มีลิ่มเลือดไหลทะลักออกมาทันทีที่เธอขยับตัว
“รีบๆ เถอะครับ เราต้องรีบไปจากที่นี่ ผมไม่แน่ใจว่ามันมาคนเดียวหรือมีพวกมาด้วย”
อชิระกล่าวแบบเป็นกังวล ลำพังเขาตัวคนเดียว เขาเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่ผู้หญิงตรงหน้าเป็นตัวถ่วงที่อาจจะทำให้ทั้งเขาและเธอพลาด
“ฉันเจ็บ” วิฬาร้องโอดโอย
ทุกการขยับตัวคือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
อชิระโครงศีรษะ... “อยากตายอยู่ตรงนี้เหรอคุณ?” เขาถามกลับ สอดมือรั้งวิฬาให้ทรงตัวยืน
“เปล่า” หญิงสาวตอบเสียงสั่นน้ำตาปริ่ม รอดมาได้นี่เธอก็อยากกราบเขาแล้ว แต่เธอเจ็บจริงๆ ไม่ได้สำออย
“ถ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้ากระท่อมก็พยายามกัดฟันเดินหน่อยสิ”
อชิระเห็นใจ แต่มัวโอ้เอ้อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่แค่เธอที่ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง มันอาจจะรวมถึงเขาด้วย
หญิงสาวกัดฟันรวมรวมแรงที่เหลือ เดินตามแรงรั้งของชายคนนี้ น้ำตาปริ่มตา แต่เพราะยังไม่อยากตายจึงกัดฟันทน
กว่าจะเดินฝ่าพงหญ้าออกมาจนถึงรถจี๊ฟของอชิระได้ วิฬาล้มลุกคลุกคลานหลายครั้ง มีเศษใบไม้ติดตามเสื้อผ้าหน้าผมของเธอ อชิระเองก็เหงื่อซึม เขาออกแรงที่มีเกือบหมด เมื่อวิฬาแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
อชิระอุ้มหญิงสาวร่างเล็กขึ้นนั่งบนที่นั่งข้างคนขับ เขากระโจนขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย รีบขับเคลื่อนรถยนต์คู่ชีพออกจากตรงจุดนั้น สายตาระแวดระวังมองสองข้างทาง หากมีใครซุ่มจู่โจมจะได้ตั้งรับทัน จนกระทั่งรถยนต์วิ่งเข้าเส้นทางคุ้นเคย เขาจึงเป่าปากด้วยความโล่งอก ควานมือหากระบอกน้ำ ยื่นส่งให้คนตัวเล็กที่นั่งนิ่งมาตลอดทาง
“กินน้ำสิคุณ น่าจะรอดแล้วหล่ะ”
วิฬาเปิดฝาขวด ยกขวดน้ำจ่อปากดื่มน้ำอย่างกระหายจนน้ำไหลออกมาทางด้านข้างหกรดเสื้อผ้าที่ใส่จนชุ่ม
“ความจริงมีของกินด้วยนะ แต่อีกหน่อยก็ถึงบ้านผมแล้ว คุณค่อยกินข้าวหลังล้างคราบโคลนพวกนี้ออกดีกว่า”
ทุกตารางนิ้วบนร่างกายหญิงสาว ไม่มีจุดว่างให้เห็นเนื้อแท้ มีแต่คราบโคลน คราบดินเกาะเต็มไปหมด หล่อนคงดิ้นรนเพื่อการมีชีวิตรอด แบบสู้ไม่ถอยเช่นกัน
มือเรียวเล็กยกขึ้นปาดคราบน้ำบนใบหน้า “ขอบคุณนะ” เสียงพึมพำดังเบาๆ แต่อชิระได้ยินชัดเพราะหล่อนนั่งอยู่ข้างๆ เขานั่นเอง
“จำไว้ให้ดีหล่ะ บ้านป่าไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าจะมาเดินกรายไปกรายมาไม่ได้”
เสียงเตือนเพราะหวังดี เพราะหากอชิระไม่เฉลียวใจ หล่อนคงจบชีวิตที่ดินแดนรกร้างแห่งนี้เป็นแน่
ไม่มีเสียงตอบจากคนปากกล้า ความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้วิฬาเลือกที่จะหุบปากนิ่ง
อชิระหิ้วปิ่นโตเดินเลยไปหลังบ้าน เขาหิวและอยากพักสักที หลังออกแรงมาจนเหนื่อย
“อาบน้ำล้างโคลนสักนิดดีไหมคุณ?” เขาเปรยตอนเดินผ่าน
วิฬาเห็นด้วย เธอมองหาห้องน้ำเพื่อทำความสะอาดร่างกาย
“ซ้ายมือหลังฉากกั้น มีผ้าเช็ดตัววางอยู่ตรงนั้น ใช้ได้เลย ผมมั่นใจว่าผ้าน่าจะสะอาดพอ” เสียงอชิระดังลอดออกมาจากห้องด้านหลังที่มีแสงไฟสีส้มส่องลอดเข้ามา
วิฬากระย่องกระแย่งเดินไปทางทิศนั้น เธอเห็นผ้าสะอาดเหมือนที่เขาว่าจึงฉวยหยิบขึ้นมา ก่อนจะเหลือบเห็นกางเกงสีตุ่นๆ กับเสื้อยืดสีขาว หญิงสาวก้มมองตนเอง เสื้อผ้าที่ใส่สภาพสุดที่จะรับไหว วิฬาตัดใจหยิบชุดดังกล่าวติดมือเข้าไปในห้องน้ำนั่นด้วย
“ซูดดดด อูยยย!” หญิงสาวสูดปากคราง เมื่อน้ำเย็นๆ กระทบแผลสดบริเวณหัวเข่า
รอยถลอกที่เปิดหนังกำพร้าจนหลุด มีเลือดไหลซึมออกมาเป็นวงกว้าง คงเป็นแผลที่เกิดขึ้นช่วงที่เธอวิ่งหนีตายนั่นเอง มือเรียวเล็กค่อยๆ วักน้ำล้างคราบดินโคลนจนสะอาด เธอสำรวจรอยแผลที่เกิดขึ้นทั้งตัว จดจำตำแหน่งไว้ เวลาใส่ยาจะได้ไม่รบกวนคนแปลกหน้าอีก
สามสิบนาทีสำหรับการอาบน้ำลวกๆ วิฬาเน้นที่การล้างคราบโคลน และคราบเลือด ผมของเธอโดนละอองน้ำจนเปียก แต่วิฬาไม่ได้สระผมเมื่อเธอไม่คุ้นกับยาสระผมที่วางอยู่ด้านใน มันเป็นแค่เพียงขวดสีขาวมีน้ำสีฟ้าขุ่นๆ อยู่ด้านใน เธอดมกลิ่นและแน่ใจว่าน้ำสีฟ้าขุ่นๆ นั่นคือยาสระผม แต่ก็ไม่กล้าลองใช้อยู่ดี เมื่อผลิตภัณฑ์นั้นไม่มีแม้แต่ฉลากข้างขวด
ตอนที่ 3.เจ้าหนี้แสนสวย
“ยาทาแผลเท่าที่ผมพอมีนะคุณ คงต้องรอตอนเช้า ผมถึงจะพาไปหาหมอที่อนามัยได้”
เรื่องการไปโรงพยาบาลเป็นเรื่องใหญ่เชียวแหละ เพราะบ้านป่าไกลปืนเที่ยงแห่งนี้ อยู่ห่างจากโรงพยาบาลพอๆ กับแหล่งชุมชน มีเพียงสาธารณะสุขประจำตำบลที่พอช่วยแก้ขัดได้ แค่หาหยูกยาบรรเทาอาการป่วยไข้ แทนการเดินทางไปโรงพยาบาลที่อยู่ไกลไม่ต่ำกว่าห้าสิบกิโล
วิฬาคว้าสำลีกับขวดยาทาแผลมาจัดการกับตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไร
อชิระเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถาดใส่อาหาร เขาวางถาดลงบนโต๊ะ “แกงเผ็ดหนู กินได้ไหมคุณ?” หลังถ่ายอาหารออกจากปิ่นโต อชิระจึงเพิ่งเห็นว่ากับข้าวที่ป้าสายคนครัวจัดไว้ให้ คือแกงพื้นบ้านที่คนกรุงอาจจะไม่ชิน
วิฬาเม้มปาก พอได้กลิ่นกับข้าวที่โชยมา พยาธิในท้องของเธอก็เริ่มทำงานทันที
เสียงท้องร้องครางเบาๆ เป็นคำตอบให้อชิระรู้ คนตรงหน้านี้คงหิวไม่น้อย
สีหน้ายุ่งยากใจของเจ้าของบ้าน วิฬาจึงรีบพูดให้เขาคลายความกังวลใจ “กินได้ ฉันไม่เรื่องมากหรอก”
ลูกชาวบ้านที่แม้จะโตมาในเมืองใหญ่ แต่พื้นเพบิดา มารดาไม่ใช่คนพื้นที่ พวกเขาเป็นคนชนบทที่เข้าเมืองเพื่อทำมาหากิน ดังนั้นเรื่องอาหารการกินจึงเป็นไปแบบตามมีตามเกิด ไม่ได้พิถีพิถันเหมือนผู้ดีมีเงิน วิฬาโตมากับแกงถุง จากแม่ที่ค้าขายข้าวแกงหน้าปากซอย รสชาติเลือกไม่ได้ อาศัยกินแค่อิ่มท้อง บางเจ้ารสมือดีก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า วัตถุดิบในการปรุงก็หาเอาจากใกล้ๆ ตัว
เธอชินเสียแล้วกับเนื้อสัตว์แปลกๆ ตอนที่เข้าตาจน ท้องหิว อะไรๆ เธอก็กินได้ ขอแค่ให้ร่างกายมีสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงนั่นเอง
มารู้จักเลือกกินก็ตอนที่โตแล้ว พี่ๆ แต่ละคนมีรายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว
วิฬาเลยพลอยได้อนิสงส์...ได้ลิ้มรสอาหารหรูกับเขาไปด้วย
ข้าวสวยเย็นชืด จับตัวเป็นก้อนเพราะถูกอัดแน่นในปิ่นโต อชิระตักแบ่งและดันจานกระเบื้องนั่นให้วิฬา มีช้อนด้ามสั้นๆ วางอยู่ด้านข้าง
“กินข้าวอิ่ม คุณนอนในห้องนั่นก็แล้วกันนะ ผมจะนอนตรงนี้เอง” อชิระชี้มือไปที่ห้องๆ เดียวในบ้าน
มันดึกเกินกว่าจะไปปลุกคนงานและฝากหญิงสาวแปลกหน้านอนค้างที่บ้านของเขา เพื่อป้องกันคำครหา
ที่อชิระกังวลคือหากไปปลุกใครก็ตาม มันจะทำให้เกิดการซักไซ้ คนเสียหายก็คือผู้หญิงตรงหน้า