ตอนที่ 1.สาวโสภากับคนเถื่อนไร่ส้ม
ตอนที่ 1.สาวโสภากับคนเถื่อนไร่ส้ม
บนเนินดินเตี้ยๆ เหนือดงไม้ ต้นไม้แต่ละต้นถูกปลูกเป็นแนวยาวแบบมีระเบียบ มีรถจี๊ฟกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งจอดนิ่งสนิทอยู่โคนต้นไม้ต้นใหญ่ ด้านข้างตัวรถ ชายร่างใหญ่สวมหมวกปีกกว้างกำลังใช้กล้องส่องทางไกล ส่องมองอาณาจักรของตนเอง อาณาจักรที่เขาลงทุนลงแรงมานานกว่าห้าปี สายตามุ่งมั่นทอดมองต้นส้มที่กำลังออกผลผลิต ผลส้มขนาดใหญ่เท่ากำมือออกลูกเต็มต้นเป็นปีแรก ผิวเขียวสดเริ่มมีสีเหลืองอ่อนแซมปละปลาย นั่นเป็นสัญญาณว่าฤดูเก็บเกี่ยวกำลังมาถึงแล้ว อชิระลดกล้องส่องทางไกลลง ปล่อยให้สายผ้าร่มคล้องไว้กับลำคอ ทอดสายตามมองความยิ่งใหญ่ที่สร้างขึ้นจากสองมือด้วยความภาคภูมิใจ ใครจะไปคิดล่ะ? ที่ดินรกร้างมีแต่วัชพืชปกคลุมทุกตารางนิ้ว แถมห่างไกลความเจริญ ที่คนในตระกูล ทิวากร บอกปัด และโยนมาให้เขาในวันนั้น จะถูกพลิกฟื้นเป็นแผ่นดินทอง สร้างมูลค่าได้อย่างมหาศาลได้ในวันนี้
แต่กว่าจะเจริญได้ขนาดนี้ อชิระลงแรงไปกับที่ผืนนี้ไปไม่น้อย ปีแรกทำอะไรได้ไม่มาก นอกจากกำจัดวัชพืชที่ขึ้นหนาทึบมาหลายปี กว่าจะปรับพื้นดินเป็นที่โล่งๆ ได้ เขากับคนงานก็ใช้เวลามากกว่าหนึ่งอาทิตย์ โชคดีที่อชิระมีทุนรอนติดตัวมาบ้าง ถึงเขาจะเป็นน้องคนสุดท้ายที่ยังเด็กไม่รู้ประสีประสา เรื่องมรดกของตระกูลถูกแบ่งสรรปันส่วนโดยพี่คนโต อชิระไม่เคยขัดแย้ง พี่ชายอยากให้อะไร เขาก็เต็มใจรับเมื่อมันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เหลือไว้ให้ระลึกถึงบิดา….
เมื่อย้อนนึกถึงความหลัง อชิระก็อดไม่ได้ที่จะแค่นยิ้ม ไม่กี่ปีหลังมรดกก้อนใหญ่ถูกแบ่งสันปันส่วน อำนาจพี่ชายคนโตของเขา ก็จบชีวิตลงในบ่อนการพนัน เขาเหลิงในความมั่งมีและเป็นคนเดียวในบรรดาพี่น้องที่ได้รับส่วนแบ่งจากกองมรดกของบิดามากที่สุด! พี่สาวคนกลางคืออรุณวตี นั่นก็ไม่ต่างกับพี่ชายคนโตของเขาสักนิดเดียว อรุณวตีใช้จ่ายมือเติบแบบไม่กลัวว่าทรัพย์สมบัติจะหมดสิ้นลง ไม่กี่ปีต่อมา...สมบัติส่วนมากก็ถูกผลาญไปเกือบหมด...อรุณวตียังไม่ตายเหมือนพี่ชายของเขา…แต่ก็แทบสิ้นเนื้อประดาตัว
เดือดร้อนถึงเขาที่ต้องคอยเจือจานให้ ทั้งที่เป็นลูกคนเดียวในบรรดาพี่น้องที่ได้รับมรดกจากบิดาแค่ที่ดินผืนเดียวเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่า อชิระมีสายเลือดนักสู้จากมารดาไหลวนอยู่ในร่างกาย…ไม่ต้องแปลกใจหรอก เขาเป็นแค่ลูกที่เกิดจากสาวใช้ในบ้าน แต่บิดาก็ทำการรับรองทางกฏหมาย อชิระเลยมีนามสกุลพ่วงท้ายว่าทิวากรไงล่ะ
เสียงเสียดสีจากคนรอบตัว ในวันที่ส่งบิดาไปสู่ภพภูมิใหม่ ญาติสนิททั้งหลายฝั่งเมียใหญ่ หรืออีกในหนึ่งคือคนฝั่งของมารดาพี่ชายและพี่สาว คนเหล่านั้นรุมกระแหนะกระแหน กลัวว่าสมบัติส่วนใหญ่จะตกเป็นของอชิระมากกว่าทายาทตัวจริง เมื่ออชิระเป็นลูกรัก เขาติดสอยห้อยตามบิดาไปทุกที่ มันเป็นเพราะนายเอก บิดาเขาไม่คิดว่าตนเองจะด่วนจากโลกนี้ไปในเร็ววัน พินัยกรรมที่เป็นสิ่งสำคัญ ท่านจึงไม่ได้เตรียมไว้ อำนาจเลยเป็นคนจัดการแทนในฐานะพี่คนโต
อชิระไม่ได้นึกน้อยใจที่สมบัติมากมายนั่นเขาไม่ได้ครอบครอง เด็กหนุ่มที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ พร้อมที่จะก้าวเดินออกไปจากบ้านเพื่อสร้างตัว เขาดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ยังไงเสียเขาก็ยังมีที่ดินผืนใหญ่เป็นหลักแหล่ง แถมคนงานในทิวากรบางส่วนยังขอติดตามมาด้วย พวกเขาไม่กลัวความลำบาก เมื่อชินชากับความลำบากเสียแล้ว ที่ทนไม่ได้เลยคือการต้องทนรับใช้คนโง่ ที่อวดตัวว่าฉลาดเสียเต็มประดา
และหนึ่งในนั้นที่อชิระยกให้เป็นครู คือลุงเพิ่ม ชายสูงวัยที่เป็นข้ารับใช้บิดาของเขาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม เคยทำไร่ทำสวนมาก่อน เขาใช้ประสบการณ์ที่มีสั่งสอนนายน้อย จนสวนส้มขนาดใหญ่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ใครจะไปคิดล่ะพื้นที่แห้งแร้ง ดินแตกระแหงจะสามารถพลิกฟื้นปลูกพืชผักขึ้นมาได้...
“นายๆ มีคนมาหานายที่บ้านแหนะครับ” ช้างเป็นหลายชายของเพิ่มกับสาย และกลายเป็นคนงานคนหนึ่งในสวนส้มอชิระแห่งนี้ตะโกนเรียก
อชิระเลิกหัวคิวขึ้นสูง “ใครวะ?”
เขาถามกลับไปทันที ห้าปีกับการเป็นชาวสวนชาวไร่ไม่เคยมีญาติคนไหนแวะเวียนมาหา
“ผมไม่รู้จักหรอกนาย หน้าไม่คุ้นเลย แต่ด่าเก่งฉิบหาย”
เรื่องคำพูดคำจาคนชนบท หยาบคายไม่น่าแปลก ถึงขนาดชาวบ้านพื้นที่ออกปาก เจ้าหล่อนคงฤทธิ์เยอะไม่ใช่เล่น
“สวยไหมวะ!” อชิระถามต่อ
“สวยครับนาย แต่ปากแบบนี้ ตีกะหรี่ดีกว่า พูดจิกหัว มองคนเหยียดๆ เอามาเป็นเมียปวดหัวตายห่า” ช้างวิจารณ์อาคันตุกะที่ถ่อสังขารมาหานายหนุ่มแบบไม่เหลือชิ้นดี
อชิระอมยิ้ม กระโจนขึ้นไปนั่งบนรถจี๊ฟ “จะปั่นจักรยานกลับเอง หรือจะกลับพร้อมกันเลยล่ะ”
ช้างไม่ได้ตอบ เขายกจักรยานขึ้นจากพื้น เดินมาเหวี่ยงไว้ท้ายรถจี๊ฟ และกระโจนขึ้นมานั่งที่ว่างด้านคนขับ
อชิระสตาร์ทรถยนต์ เขาเหยียบคันเร่งพารถยนต์คู่ชีพวิ่งฝ่าไอฝุ่นกลับเรือนไม้กลางไร่แบบไม่เร่งรีบ
ในที่สุดอชิระก็เดินทางกลับมาถึงบ้าน เขาจอดรถจี๊ฟไว้โคนต้นมะม่วง แล้วจึงกระโจนลงมายืนด้านข้าง ส่วนช้างก็สาละวนยกพาหนะคันเก่งของตนเองลงจากรถ เขาเดินเอื่อยๆ ตรงไปหากลุ่มคนที่ยืนออกันอยู่หน้าลานบ้าน ชะเง้อคอมองที่กลางกลุ่มคน จุดศูนย์รวมสายตาทุกคู่
ผู้หญิงร่างเล็กผมยาวสลวยสีดำขลับ กับชุดเดรสผ้าลูกไม้สีขาวที่หล่อนสวมไว้บนร่างกายก็แตกต่างจากคนรอบตัวอย่างสุดขั้วอยู่แล้ว อชิระลดสายตาลงต่ำ เขามองปลีน่องสวยได้รูป ก่อนจะเลื่อนสายตาลงจนถึงรองเท้าส้นสูงสีแดงแปร๊ด ส้นรองเท้ายับเยินเอาการ มีดินเหนียวเกาะเกรอะกรัง เขาเผลอตัวหัวเราะเบาๆ ในลำคอ เมื่อนึกถึงลักษณะการเดินของหล่อน กว่าจะมาถึงนี่ได้คงทุลักทุเลไม่น้อย
“โผล่หัวมาได้สักที นึกว่าต้องจุดธูปเรียก”
เสียงแหลมตวาดดังๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเขาเหมือนชิงชังนักหนา
“เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ?” ปลายนิ้วชี้ ชี้เข้าหาตัวพร้อมกับตั้งคำถาม
วิฬาเบ้ปาก ตวัดตาค้อนควัก “จำฉันไม่ได้สินะ อย่างว่าแหละ ทิวากรปลายแถวอย่างนายจะรู้จักฉันได้ยังไงละ” ขนาดคำตอบของหล่อน ยังแฝงไว้ด้วยความหมิ่นแคลน
“ผมเป็นคนความจำดี แต่ผู้หญิงสวยแต่ปากเหลือรับแบบนี้ ผมแน่ใจนะว่าไม่เคยเจอมาก่อนครับ”
อชิระกล่าวเสริม…สาวสวยขนาดนี้มีหรือเขาจะจำไม่ได้
สาวแปลกหน้าถอนใจเฮือก สีหน้าเหม็นเบื่อ เหมือนกำลังระอาเหลือใจ
“ฉันชื่อวิฬา” หล่อนแนะนำตัวสั้นๆ
“แล้วไงครับ?” อชิระถามต่อแบบไม่ใคร่ใส่ใจนัก
“เอะ!” เสียงหล่อนสะบัด ทันทีที่อชิระพูดจบ “ฉันมาเอาเงินที่นาย ยืมมา...อย่ามายึกยักกับฉันนะ ฉันจะรีบกลับบ้าน” หล่อนพูดรวดเดียวจบ
อชิระไหวไหล่ เขาถอดหมวกยกขึ้นกระพือตรงหน้า “ผมไม่เคยเป็นหนี้คุณ!” อชิระตอบเสียงแข็ง
เมื่อหล่อนจ้องมา เขาก็จ้องตอบ
“ใช่ นายไม่ได้เป็นหนี้ฉัน แต่พี่สาวนายเป็นลูกหนี้ฉัน”
“อ้าว…งั้นคุณก็ไปทวงเอากับคนที่เป็นลูกหนี้คุณสิครับ” อชิระพูดจบก็ตั้งท่าจะเดินหนี
ในเมื่ออรุณวตีเป็นคนสร้างหนี้ เป็นคนหยิบยืม แม่สาวคนนี้ก็ควรไปทวงคืนที่คนคนนั้น ไม่ใช่มายืนชี้หน้าทวงจากเขาที่ไม่เกี่ยวข้อง
วิฬาถอนใจแบบเอือมระอา “ก็พี่สาวนายให้ฉันมาเอาที่นายนี่ไง!”
อชิระหมุนตัวกลับมามอง “ทำไมผมต้องเป็นคนชดใช้ล่ะ ในเมื่อผมไม่เกี่ยว ผมไม่ได้ยืมเงินคุณมาสักบาทเดียว” ตามหลักความจริง เขาไม่ได้เป็นคนค้ำประกันให้อรุณวตี เรื่องนี้เขาไม่รู้ไม่เห็น ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องชดใช้
“ไอ้บ้า! คิดจะเบี้ยวกันหรือไงหะ”
วิฬาปรี๊ดแตก อารมณ์ที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมเพิ่มขึ้นนับสิบเท่า