“ผมไม่ได้เบี้ยว เพราะผมไม่ได้ยืมเงินคุณมาเลย” อชิระตอบเสียงสุภาพ เมื่ออีกฝ่ายกำลังฉุนเฉียว
“เอ้า! ดูให้หายโง่ซะ”
วิฬาเหวี่ยงกระดาษแผ่นหนึ่งใส่หน้าอชิระ พร้อมทั้งยิ้มเย้ย
อชิระพลิกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมามองใกล้ๆ ลายมือคุ้นตา เมื่อเป็นลายมือของอรุณวตีพี่สาวต่างแม่ของเขาเอง
ข้าพเจ้านางสาวอรุณวตี ทิวากร ได้หยิบยืมเงินมาจากนางสาววิฬา สุขีเป็นจำนวนเงินแปดแสนบาท ข้าพเจ้าจะต้องค*****นจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยตามกฏหมาย ภายในเวลาสามเดือนนับตั้งแต่วันทำสัญญา โดยใช้ที่ดินจำนวนห้าสิบสี่ไร่ที่ครอบครองโดย นายอชิระ ทิวากร เป็นหลักประกัน…
เมื่ออ่านถึงตรงข้อความนั้น อชิระเงยหน้าขึ้นมองสาวแปลกหน้าที่วางท่าใหญ่โตด้วยความขบขัน
“หัวเราะอะไร!”
เสียงแหวดังขึ้นทันที ที่เห็นรอยขำขันในแววตาคู่นั้น
“คุณ…โง่หรือบ้าหะ ให้คนยืมเงินด้วยสัญญากระดาษแผ่นเดียว เอาที่ผมไปค้ำ คุณเคยเห็นโฉนดไหม? แล้วตอนที่ทำสัญญานี่ ได้ปรึกษาใครหรือเปล่าหะ”
อชิระแย้ง สัญญานี่มีช่องโหว่ที่ถูกเอาเปรียบเห็นๆ คนโง่ที่ไหนจะบ้าให้หยิบยืมเงินจำนวนมาก เพียงแค่สัญญาที่ไม่ต่างจากลมปาก ไม่มีเอกสารยืนยัน
วิฬาหน้าเสีย เพราะความเชื่อใจ เนื่องจากเป็นคนคุ้นหน้า และตระกูลใหญ่อย่างทิวากรก็มีชื่อเสียง
“กลับบ้านคุณเถอะ ถ้าอยากได้เงินคืน คุณต้องไปทวงที่พี่สาวผม ไม่ใช่ผม”
อชิระแนะนำด้วยความหวังดี เปล่าประโยชน์ที่จะมาทวงถามหนี้ที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อ เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย
“มามุงอะไรกัน แยกๆ บ้านใครบ้านมันได้แล้ว”
อชิระส่งเสียงไล่จนคนงานกลุ่มใหญ่แตกฮือ รีบแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน เมื่อไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
“จะบ้าเรอะ! ฉันถ่อสังขารมาถึงที่นี่ จะให้กลับมือเปล่าเหรอไงยะ”
เจ้าของไร่ส้มสุดหล่อยิ้มมุมปาก “คุณจะเอาส้มติดมือกลับไปด้วยผมผมก็ไม่ได้ว่านะ จะได้ไม่เสียเที่ยวไง” เขาผายมือไปที่เข่งใบใหญ่ ในนั้นมีผลส้มร่วงๆ ที่คนงานเก็บมาใส่ไว้ มันสุกก่อนเพื่อนพ้อง ถึงจะไม่ใช่ผลส้มที่ตัดมาอย่างถนอม ผิวไม่ได้สวยและอาจจะช้ำในบ้าง แต่อชิระแน่ใจ ส้มทุกผลที่เป็นผลผลิตจากสวนของเขาหวานฉ่ำทุกผล
วิฬาแทบปรี๊ดแตก เกือบร้องกรี๊ดๆ หล่อนกำมือแน่น เรียวปากสีสดเม้มจนเป็นเส้นตรง จ้องมองตามแผ่นหลังเหยียดตรงของผู้ชายตัวใหญ่ไปอย่างโกรธแค้น
คนตระกูลนี้เย่อหยิ่งและอวดดี...พวกเขาทะนงตนว่าเป็นครอบครัวผู้ดีร่ำรวย แววตาที่มองคนต่ำกว่าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหยียดหยัน ดังนั้นเมื่อหนึ่งคนในตระกูลนั้นซมซานมาหา เพื่อร้องของให้ช่วย วิฬาจึงไม่รอรีที่จะให้อรุณวตีหยิบยืม ใครจะไปคิดล่ะ คนที่หยิ่งในเกียรติของตนเองจะกล้ามีกลโกงกับคนอย่างเธอ
แต่...งานนี้คงไม่ง่ายอย่างที่อรุณวตีคิดหรอก
เธอไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก ไม่ได้ไร้คนพึ่งพา ความขยันหมั่นเพียรที่ฝังอยู่ในสันดานของสุขีทุกคน การเล่าเรียนทำให้คนที่เคยเป็นแค่ชาวบ้านกัดก้อนเกลือกิน มีกระต๊อบหลังเล็กๆ อยู่ด้านหลังคฤหาสน์หลังโตเปลี่ยนไป ในบรรดาพี่-น้องของเธอ พี่ชายคนโตเป็นนายตำรวจที่ยศใหญ่ไม่เบา หากเธอนำเรื่องนี้ไปขอความช่วยเหลือ ใช้อำนาจที่พี่ชายมีบีบคั้นอรุณวตี อยากรู้นักว่าผู้ชายคนที่เพิ่งเดินยิ้มเย้ยเธอนั่น จะอยู่เฉยได้ยังไง
อชิระเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับขวดน้ำสะอาดเย็นเฉียบ
“อ้าว!!” เขาครางเบาๆ ในลำคอ แคร่ไม้หน้าบ้านไร้วี่แววของแม่สาวโสภาคนนั้นเสียแล้ว
เรียวคิ้มเข้มขมวดแน่น “ช้างๆ ช้างโว้ย” อชิระตะโกนเรียกคนงานคนสนิทที่มีบ้านพักอยู่ด้านหลังเรือนไม้ของเขา
ไอ้หนุ่มสุดแสบโผล่หน้ามาให้เห็นพร้อมกับเสียงขานรับ “คร๊าฟฟฟฟ นาย”
“ยัยนั่นมาที่นี่ได้ยังไงวะ เดินมาหรือมีใครมาส่ง?” พระอาทิตย์จวนจะตกลับเหลี่ยมเขา อากาศรอบตัวเริ่มลดอุณหภูมิลง ถนนดินแดงด้านหน้าคือทางเส้นเดียวที่เชื่อมต่อกับถนนเส้นทางสายหลัก ไม่มีรถรับจ้างวิ่งผ่าน หากหล่อนโดยสารรถรับจ้างเข้ามา อชิระเชื่อว่าหล่อนคงต้องเดินเท้าอีกหลายกิโลกว่าจะเจอรถยนต์สักคัน
“ไม่แน่ใจนะนาย” ช้างตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“เห้อ!! บอกป้าสายนะเอาข้าวใส่ปิ่นโตให้หน่อย กับข้าวอะไรก็ได้อย่างหรือสองอย่าง”
อชิระสั่งช้าง ซึ่งคนงานหนุ่มก็รับคำสั่งมาอย่างดีโดยไม่ได้ถามกลับ ร่างเล็กปราดเปรียววิ่งหายไปทางด้านหลัง และกลับมาพร้อมปิ่นโตเถาใหญ่ “วางไว้บนเบาะนั่นแหละ” อชิระบอก ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย
“นายจะไปไหนเหรอครับ?” ช้างถามเพราะเป็นห่วง ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา รอบๆ ตัวมีแต่ความมืดมิด
“ไปตามยัยนั่น...เดินทะเล่อทะล่าออกไปแบบนั้น เดี๋ยวก็โดนฆ่าตายหมกป่าพอดี”
บ้านป่าเมืองเถื่อนห่างไกลความเจริญ คนสำรวยอย่างผู้หญิงคนนั้นคงไม่รู้จักวิธีเอาตัวรอด ปากเสียแบบนั้นด้วย คงไม่มีใครเวทนาสงสาร หากเอาชีวิตมาทิ้งกลางป่า มันน่าเสียดายหยอกเมื่อไหร่ละ อชิระเสียดายความสวยที่อาจจะยังไม่มีใครได้ชื่นชม
ช้างหัวเราะหึๆ กับความใจดีของนายหนุ่ม
เขาเดินกลับบ้านพร้อมกับที่อชิระขับเคลื่อนรถจี๊ฟออกไป
อชิระสอดส่ายสายตามองหาสาวแปลกหน้าที่รู้จักแต่ชื่อตลอดสองข้างทาง...เขาถอนใจแรงๆ บ้านนอกไกลความเจริญพอมืดค่ำ คนส่วนใหญ่ก็เข้าบ้านหุงหาอาหารรับประทาน และพักผ่อนให้หายเหนื่อย ไม่มีผู้คนออกมาเดินเตร็ดเตร่ที่ชายถนน ร้านรวงข้างทางนั่นไม่ต้องพูดถึง พอพระอาทิตย์ตกดิน เขาก็ปิดร้านพักผ่อนเหมือนคนทั่วไป...ดังนั้นตั้งแต่บ้านเขาจนถึงณ. จุดนี้ ผ่านมาเกือบหนึ่งกิโลเมตร จึงไร้วี่แววสิ่งมีชีวิต
“ยัยนั่นเดินเร็วไม่ใช่เล่นเลยนะ” อชิระบ่นพึมพำ ผู้หญิงร่างเล็ก แถมใส่รองเท้าส้นสูงปรี๊ด ไม่คิดว่าหล่อนจะมีฝีเท้าดี เดินเร็วจนเขาตามไม่ทัน
อชิระไม่ละความพยายาม เขาพยายามมองหา และ...เขาก็สะดุดตากับรองเท้าสีแดงที่ตกแอ้งแม้งอยู่กลางกอหญ้า
เบรกถูกเหยียบ รถจี๊ฟจอดนิ่งสนิท อชิระกระโจนลงจากรถ รู้สึกใจคอไม่ดี...
ถึงจะเป็นรองเท้าที่ไม่เหมาะกับการเดินบนถนนที่มีแต่ลูกรังสีแดง แถมผิวถนนก็ไม่ได้ปรับให้ดีนัก ส่วนใหญ่เป็นหินก้อนใหญ่เท่ากำปั้นเด็กสามขวบ แต่เชื่อเถอะ ไม่มีคนดีๆ คนไหนใช้เท้าเปล่าเดินบนถนนที่มีแต่กรวดแหลมคมนั่นหรอก...
อชิระคว้าไฟฉายที่วางไว้บนเบาะข้างคนขับขึ้นมาส่องเพิ่มแสงสว่าง...
เขาเห็นความผิดปกติ...พงหญ้าแหวกเป็นทาง เหมือนใครบางคนวิ่งฝ่าไป
เจ้าของไร่ส้มนิ่งคิดหนึ่งอึดใจ...เขาเดินย้อนกลับมาที่รถคู่ชีพ เปิดเกะด้านหน้ารถ ล้วงอาวุธคู่กายมายัดเก็บไว้ที่ซอกเอวกางเกง
เห็นท่าจะไม่ดีแล้วล่ะ...สัญญาณอันตรายกรีดร้องก้องในหัว
ถึงแถวนี้จะไม่มีโจรผู้ร้าย...แต่ใครจะรู้ล่ะ วันดีคืนดี คนดีๆ นี่แหละที่จะกลายเป็นโจร...
อชิระเดินตามรอยต้นหญ้ายับๆ ลงไป...เขาเห็นเศษผ้าลูกไม้ห้อยร่องแร่งอยู่กับพุ่มไม้ที่มีหนามแหลมๆ ยื่นออกมา
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ล้วงมัจจุราชสีเงินวาวออกมาจากซอกเอวกางเกง พร้อมทั้งขึ้นลำเตรียมพร้อม
ไม่มีเสียงแมลงกลางคืนขยับปีก มันเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติเอาเสียเลย
อชิระสอดส่ายสายตามอง เขาปิดไฟฉายแล้ว เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นจุดสังเกต เขาพยายามก้าวเดินอย่างเงียบเชียบที่สุด ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาจากป่าหญ้าคาที่สูงท่วมหัว ด้านหน้าเป็นทุ่งโล่ง และอาจจะเป็นพื้นที่ทำนาของชาวบ้านแถวนี้ เพียงแต่ว่าพื้นที่ดังกล่าว ไม่ได้มีต้นข้าวที่กำลังงอกงาม มันเป็นเพราะว่ากำลังอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก เพื่อป้องกันไม่ให้การลงทุนสูญหายไป เพราะต้องเสี่ยงกับภัยธรรมชาติ ทางการจึงประกาศงดการปลูกข้าวในช่วงฤดูน้ำมากนี้ อชิระยังไม่ได้ก้าวออกมาจากป่าหญ้าคา เขาพยายามกวาดตามองฝ่าความมืด มันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น จากร่องรอยที่พบเห็น เดาในแง่ดีไม่ได้เลย