ฮันนึมูนขม ตอนที่ 3

1669 Words
ประตูรั้วอัตโนมัติเปิดต้อนรับเจ้าของบ้านทันทีเมื่อรถคันหรูเลี้ยวเข้ามา อคิราห์เปิดประตูลงจากรถแล้วบึ่งเข้าบ้านทัน แต่ก้าวเท้าขึ้นบันไดบริเวณหน้าคฤหาสน์เท่านั้นก็ต้องหยุดกึก “ณัฏฐนิช...โธ่เอ๊ย!!!” ชายหนุ่มคำรามอย่างหัวเสีย เขาลืมแวะรับภรรยาสาวที่ปล่อยทิ้งไว้ที่ศาลาเสียสนิท ครั้นจะกลับไปรับระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ “ช่างเถอะ...เดี๋ยวค่อยแวะรับตอนจะไปแล้วกัน เสียเวลา ฮึ...” แล้วร่างสูงก็มุ่งตรงเข้าบ้านไปโดยไม่คิดเหลียวหลังไปมองเลยว่าการปล่อยให้ผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ในที่เปลี่ยวคน และเธอเองก็ไม่ชินพื้นที่อย่างนั้นมันอันตรายมากแค่ไหน อคิราห์วิ่งขึ้นห้องนอนอย่างรีบร้อน เขาอาบน้ำชำระร่างกายและแต่งตัวเสร็จภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รวบเก็บเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบย่อมที่เตรียมไว้เดินออกจากห้องด้วยความว่องไว ก่อนจะมาหยุดกึกตรงหน้าห้องภรรยาของตัวเอง ความคิดที่จะจัดการเก็บเสื้อผ้าไปให้เธอด้วยถูกสลัดออกไปเพราะทิฐิที่มีต่อหญิงสาว “อย่าหวังเลยว่าฉันจะเหยียบย่างเข้าไป....ณัฏฐนิช ห้องของเธอก็เปรียบเหมือนนรกของฉัน ไม่จำเป็นต้องหอบหิ้วไปให้หรอกซื้อให้ใหม่มีหวังจะรีบตะครุบสิไม่ว่า...ฮึ” ชายหนุ่มหันหลังจากตรงนั้นแล้วเดินลงบันไดมุ่งตรงไปยังรถส่วนตัวทันที   สายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย สร้างความหนาวเหน็บให้กับหญิงสาวที่กำลังนั่งชันเข่ากอดตัวเองไว้ด้วยมือเล็กๆ ทั้งสองข้างยิ่งนัก ณัฏฐนิชยามนี้ถูกพิษไข้รุมเร้าอย่างหนัก ปากบางซีดเผือดและแห้งผากจนเป็นขุยสีขาว แม้จะไม่โดนฝนโดยตรงเพราะได้ศาลาหลังน้อยช่วยบดบังไว้ให้ แต่ก็ยังมีละอองบางๆ พัดมาเกาะตามตัวจนชื้นไปหมด                                              นาฬิกาข้อมือที่เธอคอยมองทุกๆ ห้านาทีบอกเวลาสองทุ่มกว่า คนที่บอกให้รอก็ยังไม่มารับสักที ตอนนี้หญิงสาวรู้แล้วว่าเธอคงไม่ได้ไปฮันนีมูนที่ยุโรปดังที่อคิราห์บอกกับแม่สามีไว้อย่างแน่นอน เพราะเขาบอกว่าเครื่องจะขึ้นตอนสองทุ่มแต่นี่มันเลยเวลามาพอสมควรก็หมายความว่าเขาโกหก  แต่เพราะเหตุใดและเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่นั้นเธอไม่อาจรู้ได้ ท้องฟ้าที่มืดมิดกับสถานที่อันแสนเปลี่ยวในคืนฝนตกยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้ณัฏฐนิชมากขึ้น เธอนั่งรอเขาตั้งแต่บ่ายจนนี่ก็ย่ำค่ำแล้วหรือเขาจะหลอกมาทิ้งไว้จริงๆ แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ ยิ่งมืดรถที่ผ่านไปมาก็ยิ่งมีน้อย แถมยังมีไข้ขึ้นสูงเสียด้วย ที่สำคัญตอนนี้เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่มีสักนิดเพราะตั้งแต่เช้ามาข้าวสักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้องเลย เมื่อรู้ว่าตัวเองคงหมดสิ้นหนทางเสียแล้วคงได้แต่ภาวนาให้โชคดีมีคนใจบุญผ่านมาจะได้ขอความช่วยเหลือ หรือไม่ก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้อคิราห์หวนกลับมารับซึ่งดูเป็นการยากกว่าขอสิ่งอื่นใด หากเขาตั้งใจจะทิ้งเธอเอาไว้จริงๆ คงไม่มีทางกลับมาแน่ ร่างบางกอดกายกระชับขึ้นแล้วค่อยๆ ตะแคงลงนอนบนเก้าอี้ที่ทอดยาวด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มทีบวกกับพิษไข้ น้ำตาไหลหยดแล้วหยดเล่าลงอาบแก้มนวลด้วยความเสียใจ น้อยใจในโชคชะตา ตั้งแต่เสียบิดาไปด้วยโรคร้ายชีวิตเธอก็แทบเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ มีแม่ก็เหมือนไม่มีวันๆ เอาแต่เล่นการพนันอยู่ในวงไพ่ เธอต้องกัดฟันทำงานไปเรียนไปจนเรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วได้งานทำที่สำนักงานบัญชีแห่งหนึ่ง เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร ไม่มีเหลือเก็บเพราะเธอต้องรับผิดชอบทุกอย่างตัวคนเดียว แล้วยังต้องเผื่อแผ่ให้แม่เธอเอาไปถลุงบ่อนอีก เรียกว่าปากกัดตีนถีบมาตลอด จนวันหนึ่งมณี...มารดาแท้ๆ ก็บังคับให้เธอแต่งงานกับลูกชายของเพื่อนเก่าบิดาซึ่งจริงๆ แล้วมารดาของเธอไม่ได้สนิทชิดเชื้อสักเท่าไหร่เลย ติดตรงที่เพื่อนของบิดาเธอคนนั้นซึ่งก็คือชลาพรที่คอยให้ความช่วยเหลือจุนเจือมาตลอดตั้งแต่วัยเยาว์ นางช่างมีบุญคุณกับเธอมากมายยิ่งนักและด้วยเหตุผลส่วนตัวหญิงสาวจึงตอบตกลง  ณัฏฐนิชจำได้ว่าวันแรกที่ได้พบกับอคิราห์ก็คือวันเข้าพิธีที่ในช่วงเช้าจะมีการจัดงานหมั้น เธอตกตะลึงกับใบหน้าคมคายงดงามปานเจ้าชายในเทพนิยาย แก้มสาวร้อนผ่าวใจเต้นแรงด้วยไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างนี้มาก่อน แต่เมื่อได้สบตาเขาครั้งแรกเท่านั้น ก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่เขาส่งผ่านมาให้ เล่นเอาหญิงสาวถึงกับใจเสียทันที ความรู้สึกตอนนั้นถึงไม่มีใครบอกก็รู้ได้ว่าการแต่งงานครั้งนี้คงไม่ได้มาจากความต้องการของเขาเป็นแน่ แม้เธอกับเขาจะเคยพบกันเพราะความเป็นเพื่อนของรุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่มันก็นานมากจนตัวเขาเองคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาเปลี่ยนไปมาก แต่เธอก็ไม่เคยลืม... แล้วสิ่งที่คาดไว้ก็ไม่มีผิดสักนิด ตลอดเวลาในการเข้าพิธีทางศาสนาและพิธีต่างๆ ทั้งงานหมั้นและงานแต่งเจ้าบ่าวไม่ได้มองมาที่เธอสักครั้งเขาดูกระวนกระวาย ร้อนใจอย่างไรก็ไม่รู้จนมาถึงพิธีในช่วงค่ำที่จัดงานเลี้ยงอยู่ๆ อคิราห์ก็หนีออกจากงานแต่งงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยจนล่วงไปถึงสามวันกว่าจะได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวมาเยือนเรือนหอซึ่งตัวเธอเองมาอาศัยอยู่ตั้งแต่คืนที่เกิดเรื่อง จากนั้นมาเขาก็จัดการแยกห้องนอนกับเธอให้คนขนข้าวของทุกอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอมารู้ทีหลังว่าคือคนรักของเขา และผู้หญิงคนนั้นก็เสียชีวิตไปแล้วในคืนที่เธอกับเขาเข้าพิธีแต่งงานกัน ใจหนึ่งนั้นก็อดสลดหดหู่ไม่ได้ที่เพียงอัปสรต้องมาจบชีวิตลงเพราะเธอ แต่อีกใจหนึ่งก็ริษยาหญิงสาวนัก แม้จะจากโลกนี้ไปแล้วก็ยังมีคนรักคนคิดถึงเฝ้าคร่ำครวญหา ไม่เหมือนเธอที่มีชีวิตมีลมหายใจมีตัวตนแต่ไม่มีค่าในสายตาใครเลย ขนาดเธอนอนซมพิษไข้อยู่ท่ามกลางสายฝนในศาลาที่พักริมทางอย่างนี้ยังไม่ได้รับความเวทนาจากเขาสักนิด เปรียบไปแล้วก็ไม่ได้ต่างจากคนจรจัดสักเท่าไหร่เลย หญิงสาวทรุดกายตะแคงค่อยๆ ล้มตัวลงนอนกับพื้นม้านั่ง มือเรียวเล็กยังคงสวมกอดตัวเองไว้แน่นด้วยความหนาวสั่นน้ำตาเอ่อไหลนองแก้มสาวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิต จะมีสักครั้งไหมที่จะมีสิ่งดีๆ เข้ามาหาเธอบ้าง ชีวิตที่ไร้ค่ายิ่งกว่าคนที่ตายไปแล้วมันจะมีความหมายอะไรที่จะหายใจต่อไป ความอ่อนเพลียบวกกับเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยเต็มทีทำให้หญิงสาวเผลอหลับไปทั้งๆ ที่น้ำตายังไหลเปื้อนแก้มขาว... “ณัฏฐนิช ณัฏฐนิช ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้” เสียงเรียกจากใครบางคนปลุกให้หญิงสาวตื่นจากนิทรา เธอพยายามลืมตามองก็พบว่าคนที่เรียกนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นอคิราห์นั่นเอง เขากลับมารับเธอจริงๆ ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม มือสองข้างแม้จะอ่อนล้าก็ยังขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความดีใจที่เขาไม่ทิ้งไปอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก ณัฏฐนิชรีบพยุงกายที่บอบช้ำโผเข้ากอดชายหนุ่มเสียแน่น “คุณอคิราห์...คุณคีมกลับมารับรัญจริงๆ ด้วย รัญกลัวแทบแย่ค่ะคิดว่าคุณ...จะทิ้ง” หญิงสาวกล่าวทั้งน้ำตาคลอเบ้าด้วยความดีใจ ในตอนนั้นอคิราห์เองก็ตัวชาวาบไปเหมือนกันแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น มือใหญ่ก็แกะอ้อมแขนของณัฏฐนิชออกจากตัวแล้วผลักร่างบางจนเซถลาไปข้างหลังสองสามก้าว “อย่ามางี่เง่า...เรียกตั้งนานก็ไม่ยอมตื่น ต้องให้ลงมาอัญเชิญถึงจะยอมลุกขึ้น ฮึ...เธอนี่มันกินง่ายนอนง่ายเสียจริงนะ ขนาดศาลาริมทางยังหลับได้ ช่างไม่ลืมกำพืด” “...”คำพูดชายหนุ่มช่างเสียดแทงหัวใจณัฏฐนิชยิ่งนัก ถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บใครที่ไหนอยากจะมานอนอยู่ที่แบบนี้ล่ะ หญิงสาวทำได้เพียงก้มหน้านิ่งเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเจ็บแปลบเนื่องจากปากแห้งแตกจากอาการไข้ ก้อนแข็งๆ ในลำคอถูกกลืนลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อไม่ให้มันสะท้อนออกมาเป็นน้ำตา “ยังจะยืนบื้ออยู่อีก...รีบมาสิ เสียเวลามากแล้ว” ร่างสูงใหญ่หันหลังเดินฝ่าสายฝนไปที่รถแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่นั่งคนขับทันทีโดยไม่ได้สนใจหญิงสาวเลย ณัฏฐนิชพยายามอย่างยิ่งที่จะก้าวขาเดินตามเขาไป แต่ละย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความปวดเมื่อยและไร้เรี่ยวแรง แต่เธอก็ยังพยายามจนสามารถเดินฝ่าฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายจนไปถึงรถได้สำเร็จ          
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD