เอาคืน ตอนที่ 2

1906 Words
วันนี้ทั้งวันณัฏฐนิชยังคงใช้ชีวิตเดิมๆ และไม่เห็นแม้แต่เงาของสามีเช่นเคย ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติสำหรับเธอไปแล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลใจอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนเย็น เหตุการณ์นั้นมันน่ากลัวเดาได้ไม่ยากว่ามีคนกำลังคิดปองร้ายสามีเธออยู่ และดูเหมือนจะต้องการเอาให้ถึงตายกันไปเลยด้วยซ้ำและไม่รู้ว่าพวกนั้นมันจะตามมาถึงที่นี่หรือเปล่า เขามีปัญหากันเรื่องอะไร หลากหลายคำถามก่อตัวเต็มไปหมด แต่รู้ดีว่าคงได้แค่สงสัยเท่านั้น เธอไม่มีสิทธิ์รับรู้อะไรที่เกี่ยวกับตัวเขาหรอก ต้องอยู่ในที่ที่เขาให้อยู่ ไปในที่ที่เขาให้ไป ทุกอย่างเขากำหนดถึงแม้จะต่อต้านบ้าง ไม่อยากทำบ้างแต่ก็คงทัดทานขัดขืนอะไรไม่ได้มาก รังแต่จะเจ็บตัวเจ็บใจเสียเปล่าๆ ช่วงเวลาอันหงอยเหงาผ่านพ้นไปวันแล้ววันเล่า เป็นอย่างนี้ซ้ำๆ มาตลอดนับตั้งแต่แต่งงานมา กิจกรรมในแต่ละวันมันแสนจะน่าเบื่อเหลือเกิน กิน นอน จะเดินเล่นหรือไปไหนก็ต้องอยู่ในขอบเขตบริเวณที่ถูกกำหนดไว้ให้เท่านั้น เธอมีเพียงชลการณ์ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนคุยให้คลายความวังเวงไปได้บ้าง ตกกลางคืนหลังจากอาบน้ำแต่งตัวณัฏฐนิชก็เข้านอนแต่หัวค่ำตามปกติด้วยไม่รู้จะไปไหนหรือทำอะไร วันที่แสนน่าเบื่อสำหรับเธอกำลังจะผ่านไปอีกวันแล้ว                                                                                 ค่ำคืนที่มืดมิดภายในห้องนอน อากาศค่อนข้างหนาวเย็นเนื่องจากช่วงนี้เป็นหน้าฝนแถมในห้องก็ยังติดแอร์อีกด้วย ณัฏฐนิชมุดตัวเข้าหาความอบอุ่นที่กำลังโอบล้อมตัวเธอเอาไว้ แม้จะยังสะลึมสะลือแต่ความรู้สึกก็บอกกับเธอว่าบางอย่างมันผิดปกติ หญิงสาวดิ้นขลุกขลักทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงนี้เพียงลำพัง มีใครบางคนนอนกอดเธออยู่ “อื้อ...ปล่อย!!” “อืม...อะไรของเธอเนี่ยจะร้องหาพระแสงอะไรกัน” อคิราห์ต้องยันกายลุกนั่งด้วยสภาพงัวเงียเต็มที่เขาเพิ่งล้มตัวลงนอนและหลับสนิทไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า แต่อาการดิ้นเหมือนกำลังโดนจับเชือดของคนในอ้อมแขนทำให้เขาตกใจตื่นขึ้นมาอีกแล้ว “คุณคีม...” เสียงอุทานแผ่วด้วยความแปลกใจดังขึ้นพร้อมๆ กับแสงจากโคมไฟบนหัวเตียง “ใช่ฉันเองคิดว่าผัวคนไหนเหรอ” “นึกว่าพวกผีเร่ร่อนนะสิไม่ว่า...จู่ๆ ก็มานอนบนเตียงของฉันใครจะไปรู้ล่ะว่าเป็นคน” ณัฏฐนิชเถียงฉอดทันที เธอยังใจเต้นตุบตับอยู่เลย อคิราห์หายหน้าหายตาไปเกือบหนึ่งสัปดาห์จนเธอคิดว่าเขากลับกรุงเทพฯ ไปแล้วด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้ว่าเขาจะแอบเข้ามานอนกับเธอ เป็นใครก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา  “ฮึ...ปากดี เดี๋ยวจัดหนักซะเลยนี่...ปิดไฟได้แล้วจะนอน”    “...” หญิงสาวทำตามที่เขาบอกทันทีอคิราห์มาแปลกจนน่าหวาดระแวงปกติเขาแทบไม่อยากมองหน้าเธอด้วยซ้ำไม่เคยนอนร่วมห้องเดียวกัน แล้วคืนนี้กลับทำตัวเป็นตีนแมวบุกเข้ามานอนกอดเฉย มือเรียวลากผ้าห่มเบาๆ หลังจากคนตัวใหญ่ล้มตัวนอนแล้ว เธอขยับจนเกือบสุดขอบเตียงเพราะไม่อยากนอนใกล้ให้เขากอดอีก “มานี่...”                                                                       “ว้าย!!!...” ณัฏฐนิชตัวปลิวไปตามแรงกระชากที่แขนจนนอนตุ๊บอยู่ข้างๆ ร่างหนาบึกบึน แล้วก็ถูกเขารวบไปกอดไว้แน่นทั้งตัวแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน “นิ่งๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากกว่านี้” เป็นอันรู้เรื่องหญิงสาวนอนตัวแข็งทื่อแทบไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ อ้อมกอดนี้ช่างอบอุ่นกับเธอนัก ไม่เคยเลย ไม่เคยสักครั้งที่อคิราห์จะทำแบบนี้ มันทำให้ใจดวงน้อยเต้นระส่ำ แก้มสาวแดงระเรื่อด้วยความเขินอายปนความสุขที่ยังรู้สึกติดๆ ขัดๆ ไม่เต็มร้อยเสียทีเดียว            คนตัวใหญ่ที่นอนทับร่างหลับสนิทไปแล้วสังเกตได้จากลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขา แต่ณัฏฐนิชกลับยังหลับไม่ลง ไม่น่าเชื่อว่าแค่เขานอนกอดแค่นี้กลับทำให้เธอเกือบลืมการกระทำหยาบช้าที่เขาสร้างความเจ็บปวดให้ทั้งกายและใจหญิงสาวนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะนอนอยู่ในอ้อมแขนที่เธอแอบหวังเสมอมาจนผล็อยหลับไปในที่สุด                         “ช่วยด้วย!! ช่วยด้วยค่ะ ฮือๆๆๆ ช่วยหนูด้วยพ่อจ๋า พ่ออยู่ไหน ฮือๆๆ” เด็กหญิงวัยสิบขวบกำลังร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว ในมือถือไม้อันใหญ่ค่อยเหวี่ยงไล่สุนัขที่เห่าขู่และพยายามเข้าตะปบเธอตลอดเวลา “เธอ...อยู่นิ่งๆ นะอย่าขยับ” เสียงทุ้มห้วนดังมาจากข้างหลังทำให้เด็กหญิงหันไปมอง เธอเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำทั้งชุดทำท่าทางเดินเข้ามาหาอย่างระแวดระวัง “พี่ค่ะ...ช่วยหนูด้วยหมามันจะกัดหนู ฮือๆๆๆ” เด็กหญิงที่หน้าตามอมแมมมองไปยังชายหนุ่มคนนั้นด้วยแววตาอ้อนวอน หวาดกลัวอย่างน่าสงสาร เธอตัวเล็กผิวขาว แม้จะสกปรกมอมแมมจนดูแทบไม่เป็นผู้เป็นคนแต่ผิวพรรณที่เปรอะเปื้อนนั้นก็ยังบ่งบอกให้รู้ว่าก่อนหน้าเธอคงไม่ได้มีสภาพอย่างที่เห็น “ค่อยๆ ถอยหลังมาหาฉันนะ ไม่ต้องกลัว ช้าๆ...” ชายหนุ่มบอกในขณะที่ตัวเองก็เดินเข้าไปหาเธออย่างระมัดระวังเช่นกัน ตรงนี้เป็นปากซอยเปลี่ยวแทบหาคนผ่านไปผ่านมาไม่ได้ สองข้างถนนมีกำแพงสูงตลอดทาง เพราะมันเป็นทางเข้าหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆ แห่งหนึ่งแถบชานเมืองนั่นเอง “โฮ่งๆๆ...แฮ่...” สุนัขตัวสูงทว่าผอมโซกำลังโมโหอย่างมากเมื่อถูกขัดจังหวะ เดาได้ไม่ยากว่าเป้าหมายที่มันต้องการคือถุงใส่อาหารที่แขวนห้อยอยู่ตรงข้อมือเล็กนั่นเอง “มานี่...เร็วเข้า...วิ่ง!!!!” เมื่อเห็นท่าไม่ดีเพราะสุนัขตัวนั้นกำลังตั้งท่ากระโจนเข้าหาร่างน้อย ชายหนุ่มจึงบอกให้เธอวิ่งและตัวเองก็วิ่งเข้าไปคว้าร่างนั้นมากอดเหวี่ยงตัวเธอให้อยู่ด้านหน้าและหันหลังตั้งรับกับการจู่โจมของสุนัขที่หิวโซนั่น “โอ๊ย!!!” “คุณคีม!!...” ชายอีกคนวิ่งเข้ามาและใช้ปืนในมือยิงเจ้าหมาข้างถนนจนนอนแน่นิ่งแล้วรีบตรงเข้าไปหานายของตน “คุณคีม...เป็นอะไรไหมครับ” “โอย...เจ็บหลังสงสัยโดนกัด ดูเด็กก่อน” ชายหนุ่มปล่อยมือจากร่างสั่นเทิ้มที่กอดเอาไว้ส่งให้คนขับรถดู เธอยังไม่ยอมออกจากเขายิ่งมุดตัวเข้าหาอีกหวังให้อ้อมกอดนี้ปกป้องคุ้มครองเธอ “แม่หนูปลอดภัยแล้ว...มานี่ก่อนนะคุณคีมเธอได้รับบาดเจ็บ มา...แล้วนี่พ่อแม่ไปไหนมาทำอะไรแถวนี้ถึงได้โดนหมาไล่กัดเนี่ย...หืม” เด็กหญิงเริ่มคลายความกลัวด้วยเมื่อได้ยินคำพูดแสนอบอุ่นนั่น เธอมองหน้าชายหนุ่มผู้มีพระคุณและอีกคนตรงหน้าสลับกันแล้วยอมออกห่างจากร่างใหญ่หนา      “หนู...หนูอยู่ในนี้ค่ะ พ่อไม่สบายแม่ไม่อยู่บ้านหนูมาซื้อข้าวกับยาให้พ่อ แล้ว...แล้วพอเดินเข้าในซอยหมาตัวนี้ก็ไม่รู้มาจากไหนค่ะ มันวิ่งไล่...หนูเอาไม้ไล่ก็ไม่ไป หนูก็เลยกลับหลังวิ่งหนีมาถึงนี่ล่ะค่ะ” เสียงสั่นเครือเล่าลำดับเหตุการณ์ให้ทั้งคู่ฟัง เด็กหญิงตัวน้อยแหงนหน้าแอบมองคนที่ช่วยเหลือในคราแรก เขากำลังง่วนกับบาดแผลด้านหลังเสื้อสูทถูกถอดออกและชายมีอายุอีกคนก็ละจากเธอเดินไปดูร่องรอยบาดเจ็บให้ เขาหล่อมาก สาบานได้ว่าไม่เคยเห็นใครหล่อแบบนี้มาก่อนแม้แต่พระเอกในละคร แถมใจดีอีกต่างหากในสายตาเด็กน้อยเขาคือเทพบุตรตัวจริงที่ดีพร้อมทั้งหน้าตาและจิตใจ “บ้านเราอยู่อีกไกลไหม” คนบาดเจ็บถาม “เอ่อ...เลยจากซอยข้างหน้าไปอีกหน่อย...แล้วเลี้ยวขวาบ้านอยู่หลังสุดท้ายค่ะ” เสียงอ้อมแอ้มตอบพลางดูของในมือที่บัดนี้เละเทะอยู่รวมกันไปหมดแล้วเหตุเพราะเธอล้มลุกคลุกคลานจากการวิ่งหนีสุนัขนั่นเอง “ลุงดำไปส่งแม่หนูนี่นะ เดี๋ยวฉันจะนั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลก่อนลุงค่อยตามไปรับก็แล้วกัน...อ้อ...อย่าลืมพาไปซื้อข้าวกับยาใหม่ด้วยนะ” นายดำคนขับรถค้อมหัวรับคำสั่ง  เมื่อสักครู่เขากับเจ้านายหนุ่มกำลังขับรถไปทำธุระแถวนี้ สายตาเจ้านายเขาบังเอิญมองเข้ามาในซอยแล้วเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยกำลังต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงจอดรถและเจ้านายหนุ่มก็ลงมาดูและช่วยเหลือไว้ดังที่เห็น “คุณลุงคะ...เจ้านายลุงเขาชื่ออะไรคะ...” เด็กหญิงถามเสียงเอื่อยเมื่ออยู่ในรถคันหรูซึ่งกำลังจะเข้าไปส่งเธอที่บ้าน “อ๋อ...ชื่อคุณคีมน่ะ...ชื่อจริงชื่ออคิราห์ เลนเบิร์ค เป็นเจ้าของธุรกิจในเครือเลนเบิร์คทั้งหมดจ้ะ”                         เช้าวันใหม่มาเยือน ร่างใหญ่ขยับตัวอยู่ภายใต้ผ้านวมผืนหนา มือควานคว้าหาบางสิ่งที่นอนกอดรัดไว้ทั้งคืนแต่ไร้วี่แวว ชายหนุ่มจึงลืมตามองดูด้วยความแปลกใจ สายตามองไปยังนาฬิกาบนฝาผนังแล้วลุกนั่งสะบัดศีรษะอย่างหัวเสีย                                                                          เพิ่งจะหกโมงเช้าเท่านั้นร่างนุ่มนิ่มก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว สองอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เจอหน้ากันครั้งเดียวก็ตอนที่ทะเลาะกันจนเขาเกือบกดเธอให้จมน้ำทะเลและเธอก็ทำแหวนสุดหวงของเขาหายไป หลังจากนั้นก็มัวขลุกอยู่แต่กับงานล้วนๆ บ่อยครั้งที่ภาพของณัฏฐนิชจะคอยวนเวียนอยู่ในหัวเขาเสมอ จนกระทั่งเมื่อวานงานทุกอย่างเสร็จลุล่วงเขาจึงรีบกลับมายังที่พักของเธอกว่าจะมาถึงก็ปาเข้าไปดึกดื่นและสาวเจ้าก็หลับไปเสียแล้ว เขาแทบอยากจะลักหลับเธอด้วยซ้ำเพราะความต้องการทางด้านร่างกายที่ห่างเหินไปพอสมควรบวกกับกลิ่นหอมเย้ายวนยามเขาดึงตัวเธอมากอดก่าย ผู้หญิงคนนี้มีดีอะไรนะถึงทำให้เขาคิดถึงแต่บทรักไม่ประสีประสานั่นจนไม่คิดอยากให้ใครมารองรับอารมณ์ดิบเถื่อนในตัวนอกจากเธอ ฮึ...ก็สาสมแล้ว ณัฏฐนิชอาจจะเกิดมาเพื่อรองรับความใคร่ของเขาโดยเฉพาะ หน้าที่นี้มันเหมาะสมแล้วสำหรับผู้หญิงเห็นแก่ได้อย่างนั้น ร่างหนาสมส่วนตวัดผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกยืนบิดตัวหมุนซ้ายขวาเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ สิ่งแรกที่ทำคือสอดส่ายสายตาหาคนที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวตั้งแต่ย่ำรุ่ง “ณัฏฐนิช!!! เธออยู่ไหน...อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า”  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD