เอาคืน ตอนที่ 1

4107 Words
ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน ที่มีเพียงแสงจากหลอดนีออนและแสงจากดวงดาวบนฟ้าที่ยังส่องสว่างให้สรรพสิ่งยังได้มองเห็น เรือสปีดโบ๊ทสองลำจอดเทียบชายฝั่งของเกาะพงัน โดยเรือทั้งสองลำเทียบท่าบริเวณชายหาดที่ห่างไกลผู้คน ชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งสวมชุดดำน้ำสีดำเดินลงจากเรือฝ่าน้ำทะเลขึ้นฝั่งชายหาดที่ทอดยาวด้านหน้าของตัวเองท่ามกลางความมืดมิด   “นายกับแอลตามฉันมาส่วนที่เหลือรอที่นี่ ถ้ามีสัญญาณจากฉันให้ลุยได้ทันทีไม่ต้องยั้ง” สิ้นคำสั่งผู้เป็นนายทั้งหมดต่างพยักหน้ารับทราบ คงมีแต่นนท์ธกิจเท่านั้นที่สงสัยในคำสั่งดังกล่าว “ทำไมเราไปกันแค่สามคนล่ะครับ” “สามคนก็มากแล้วกิจ ไปกันมากรังแต่จะแตกตื่นกันเปล่าๆ นายกับแอลช่วยฉันแค่นี้ก็พอแล้ว ทำอย่างไรก็ได้เอาตัวเสี่ยเส้งมาขึ้นเรือของเราที่นี่โดยที่ยังหายใจอยู่...เข้าใจนะ” อคิราห์อธิบายแผนการคร่าวๆ ให้ลูกน้องคนสนิทฟัง ซึ่งนนท์ธกิจเองก็พอจะเริ่มเดาเหตุการณ์ออก  ทั้งสามจึงเดินทางโดยเท้ามุ่งหน้าไปยังบ้านพักของเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก นนท์ธกิจเป็นคนจัดการเรื่องที่อยู่ของเสี่ยเส้งโดยการส่งข่าวของพนักงานในโรงแรมเลนเบิร์คสาขาของที่นี่ เสี่ยเส้งเป็นคนในพื้นที่โดยกำเนิดดังนั้นจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรในการสืบเสาะ ทั้งอคิราห์และลูกน้องทั้งสองย่องเข้ามาถึงบริเวณหน้าผาสูงชันที่ด้านบนเป็นบ้านของเสี่ยเส้ง บ้านหลังนี้อยู่ติดริมหน้าผาที่เบื้องล่างเป็นทะเล บริเวณที่พวกเขายืนอยู่เป็นแนวโขดหินที่ถูกคลื่นซัดกระหน่ำ ทั้งหมดแหงนหน้ามองไปยังเบื้องบน โดยตั้งใจจะใช้เส้นทางนี้เข้าไปหาเจ้าของบ้าน เนื่องจากพอปีนขึ้นไปได้แล้วจะพบกับด้านหลังของตัวบ้านจึงไม่ค่อยเป็นที่สังเกตสำหรับการลักลอบเข้าไปและง่ายต่อการรับมือหากถูกจับได้เสียก่อน เมื่อทั้งสามสามารถปีนป่ายหน้าผาสูงชันไปถึงส่วนหลังบ้านของเสี่ยเส้งแล้ว อคิราห์จึงส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องหมอบราบข้างๆ ตนค่อยๆ คลานตามตนเข้าไปยังบริเวณตัวบ้าน เสียงโห่ฮาของคนจำนวนหนึ่งดังครื้นเครงมาจากด้านหน้า คิดว่าคงมีการตั้งวงดื่มสุรากันอยู่ ตามการคาดการณ์ของอคิราห์ลูกน้องของเสี่ยเส้งน่าจะมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ส่วนหนึ่งเป็นคนงานด้วย แต่คงไม่มีเวรยามคอยเดินตรวจตราเพราะเสี่ยเส้งเป็นขาใหญ่ของที่นี่ไม่มีใครกล้ากล้ำกรายเข้ามาแหย่อยู่แล้ว ดูเหมือนเสี่ยเส้งจะประมาทเกินไป ทั้งที่เพิ่งเกิดเรื่องเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมายังไม่มีการระวังตัวอะไรเลย ชายหนุ่มยังไม่ทิ้งประเด็นว่าอาจจะเป็นแผนการดักหนูของเสี่ยเฒ่า เขาต้องคอยระแวงรอบด้านคาดการล่วงหน้าเพื่อจะได้ตั้งรับได้ทันการหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น “ห้องเสี่ยเส้งอยู่ทางด้านขวามือครับ ในบ้านมีห้องสามห้องสองห้องติดกันทางซ้ายเป็นห้องของลูกสาวเสี่ย” นนท์ธกิจกระซิบรายงานแผนผังภายในบ้าน และห้องเป้าหมายที่พวกเขาต้องเข้าไปนำตัวบุคคลที่ต้องการออกมา  แต่ก่อนอื่นพวกเขาต้องหาทางเข้าไปในตัวบ้านให้ได้เสียก่อน การปฏิบัติการครั้งนี้ไม่เน้นฆ่าใครโดยไม่จำเป็น เป้าหมายคือเสี่ยเส้งคนเดียวเท่านั้น                                                                                                         ทั้งสามเดินเลียบกำแพงบ้านอย่างเบาหวิวดุจตีนแมวมืออาชีพ พบว่าทั้งหน้าต่างและประตูทุกบานต่างติดเหล็กดัดอย่างแน่นหนาหากงัดเข้าไปก็จะเกิดเสียงดังและเป็นการเรียกลูกน้องของเสี่ยเฒ่ามาจับพวกเขาเป็นเป้ายิงเล่นเอาง่ายๆ นนท์กิจอ้อมเดินไปด้านหน้าผู้เป็นนายตรงไปยังประตูครัวด้วยความระแวดระวัง ตอนนี้เป็นเวลากว่าตีสามดังนั้นนอกจากขาเมาด้านหน้าคาดว่าทุกคนในบ้านคงจะหลับลึกกันหมดแล้ว ชายหนุ่มดึงมีดปลายแหลมที่เก็บอยู่ในปลอกรัดติดกับต้นแขน แหย่มันเข้าไปในลูกบิดบานประตูไม้ที่สลักลวดลายมังกรอย่างสวยงาม เขาใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ก็สามารถค่อยๆ แง้มประตูบานนั้นออกได้ โดยมีทั้งอคิราห์และปิแอร์หรือแอลคอยระวังตัวให้ ประตูค่อยๆ เปิดอ้าด้านในยังมีประตูเหล็กดัดที่ใช้กุญแจล็อกอีกชั้น ในส่วนของครัวนั้นมืดสนิทบอกให้รู้ว่าไม่มีใครอยู่เป็นแน่ แต่ทุกอย่างก็ไว้ใจไม่ได้กับสิ่งที่เห็น ลวดเส้นเล็กถูกนนท์กิจดึงออกมาจากกระเป๋าใบย่อมที่คาดกับสะเอว มันถูกพับงอให้มีลักษณะตามที่ต้องการแล้วแหย่เข้าไปในช่องแม่กุญแจที่ถูกล็อกติดกับประตู ด้วยฝีมืออันชำนิชำนาญเพียงชายหนุ่มดึงเข้าดึงออกสองสามครั้งแม่กุญแจนั้นก็คลายล็อกทันที นนท์กิจค่อยๆ ถอดแม่กุญแจออกอย่างเบามือ แล้วดึงประตูเหล็กดัดเปิดประตูให้อคิราห์และปิแอร์เข้าไป ส่วนตัวเองก็คอยระวังหลังให้และเดินตามเข้าไปเป็นคนท้ายสุด ประตูถูกปิดพอเป็นพิธี ทั้งหมดเดินเลียบกำแพงฝ่าความมืดที่มีแสงไฟสลัวไปยังห้องเป้าหมาย “เอ๊ย!!...ใครวะ” เสียงห้าวห้วนตะโกนก้องมาจากส่วนที่เป็นห้องน้ำ ทั้งสามหันไปมองก็พบชายร่างสูงใหญ่ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดยืนถมึงทึงชี้มายังพวกเขาทั้งสามแต่โดยที่มันไม่ทันรู้ตัวนนท์ธกิจก็ค่อยๆ ดึงมีดออกจากออกจากที่รัดแขนและ...ปาใส่ด้วยความว่องไวเพียงเสี้ยววินาที ชายคนนั้นตาเหลือกถลนเมื่อโดนมีดปลายแหลมซัดปักเข้าที่ลำคออย่างจัง หมดสิทธิ์แม้จะใช้เสียงร้องร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ทรุดฮวบลงคว่ำกองกับพื้นชักกระตุกสองสามครั้งแล้วแน่นิ่งไป เลือดแดงฉานไหลนองเต็มบริเวณที่มันนอนกองอยู่                                                                                                “นายแน่มากกิจ...เราต้องรีบแล้วก่อนที่พวกมันที่เหลือจะมาพบ” อคิราห์ยกนิ้วโป้งให้มือสังหารก่อนจะเร่งให้ทั้งหมดปฏิบัติการโดยเร็ว ห้องเสี่ยเส้งถูกเปิดออกอย่างง่ายดายจากอุปกรณ์ที่มีเพียงลวดเส้นเดียว ร่างท้วมอ้วนของเสี่ยเฒ่านอนแผ่หลาอยู่บนเตียงกว้างเสียงกรนดังสนั่น มันหลับอย่างเป็นสุขโดยไม่รู้เลยว่ามัจจุราชกำลังยืนจ้องมองอยู่ อคิราห์เดินกระชับปืนในมือเดินอาดเข้าไปหาคนนอนหลับเป็นตายบนเตียง ใบหน้าอูมอวบของเสี่ยเส้งถูกตบด้วยสันปืนสีเงินวาววับ จนร่างท้วมตกใจตื่นลืมตาโพลงส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย!!” ฝันร้ายกำลังมาเยือน เมื่อตาเบิกเพ่งมองเสี่ยเฒ่าก็พบว่ามัจจุราชสีเงินกำลังจ่ออยู่ที่ศีรษะของตน เลือดสดๆ ไหลย้อยเป็นทางจากการถูกตบด้วยสันปืนเมื่อครู่ คนถูกทำร้ายเริ่มตาลีตาเหลือกเมื่อมองเห็นผ่านแสงสลัวว่าผู้บุกรุกนั้นคือใคร “อคิราห์...พวกแกต้องการอะไร” เสียงแหบสั่นถามชายหนุ่มตรงหน้าที่มันจำได้ดีว่าเป็นคนที่มันเองใช้ให้นักฆ่าไปบุกถล่มเมื่อตอนเย็น ไม่นึกเลยว่าผลของเหตุการณ์นั้นจะได้รับเร็วปานนี้ และนึกไม่ถึงด้วยว่าเด็กหนุ่มเมื่อวานซืนที่คิดว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจะกล้าบุกเข้ามาทำร้ายตัวเองถึงรังนอน ไม่เคยมีใครหน้าไหนทำมาก่อน... “ลุกขึ้นแล้วตามมา” อคิราห์ไม่ตอบเขาไม่มีเวลาเล่นลิ้น เขาต้องทำเวลา ชายหนุ่มใช้ปืนตบที่หัวเสี่ยเฒ่าเบาๆ เป็นสัญญาณให้มันทำตามคำสั่งโดยมีลูกน้องสองคนคอยคุมเชิง เสี่ยเส้งจำใจเดินออกไปจากห้องของตัวเองด้วยความกลัว และต้องตกใจกลัวตาเหลือกจนตัวสั่นงกเมื่อเห็นว่าลูกน้องของมันคนหนึ่งนอนแน่นิ่งจมกองเลือดกลายเป็นศพอยู่หน้าห้องนอน  อคิราห์น่ากลัวกว่าที่คิดสบประมาทเอาไว้ และเขาอาจจะต้องเป็นรายต่อไปที่มีสภาพร่างไร้วิญญาณเช่นนี้                                                  บุคคลทั้งสามคุมตัวเสี่ยเฒ่าออกจากบ้านหลังนั้นอย่างง่ายดายกว่าที่คิด โดยใช้เส้นทางเดิม ร่างอ้วนท้วมของเสี่ยเส้งถูกลากลงหน้าผาลาดชันด้วยความทุลักทุเลจนเกิดบาดแผลตามตัวหลายแห่ง กระนั้นอคิราห์ก็ยังไม่ปราณี จับร่างเสี่ยเส้งลากลงน้ำทะเลเค็มๆ พาขึ้นเรือและเดินทางจากเกาะแห่งนั้นพร้อมกับนนท์ธกิจ ปิแอร์ ลูกน้องทั้งหมดที่สำรองไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน “พวกมึงต้องการอะไร จับกูมาทำไม” เสี่ยเส้งที่ตัวสั่นงกตะโกนถามทั้งที่รู้แก่ใจ ยิ่งเรือเล่นออกจากฝั่งเสี่ยเฒ่ายิ่งใจเสียความกลัวครอบงำจนใบหน้าอูมเปื้อนคราบเลือดซีดเซียว “เสี่ยเส้ง...เสี่ยคงจำได้ว่าผมเป็นใครแล้วเมื่อตอนเย็นเสี่ยทำอะไรกับผมไว้บ้าง...บอกตรงๆ นะ ฮึ ฮึ ผมค่อนข้างจะรับไม่ได้กับวิธีป่าเถื่อนแบบนั้น ที่สำคัญผมค่อนข้างเป็นคนขี้กลัวเสียด้วยสิ แล้วเวลาผมกลัวเนี่ยผมก็มักจะตกใจทำอะไรไม่ถูกจนต้องหาวิธีกำจัดตัวการที่ทำให้กลัวไปเสีย ทีนี้เสี่ยรู้หรือยังว่าผม...พาเสี่ยมาทำไม” เสียงเย็นชาเนิบช้าค่อยๆ อธิบายสิ่งที่เสี่ยเฒ่าต้องการจะรู้ มันถึงกับเบิกตาโพลงกับชะตากรรมของตัวเอง “อย่า...อย่าทำอะไรผมเลยคุณอคิราห์ ผม...ผมขอโทษ” เสี่ยเส้งตัวสั่นงกวอนขอชีวิตจากคนหนุ่มที่ตัวเองเผลอไปรังแกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ “เสียใจด้วยเสี่ย ผมไม่นิยมวิธีการตีงูให้หลังหัก...เหมือนที่เสี่ยทำกับผม เพราะงูเห่าเลี้ยงยังไงมันก็ไม่เชื่อง”   ร่างของอคิราห์ผงะหงายเพียงเสี้ยววินาทีที่เขาพูดจบ เสี่ยเส้งใช้ตัวเองเข้ากระแทกด้วยแรงเท่าที่มีแล้วทำท่าจะกระโดดน้ำหนีทั้งๆ ที่ยังถูกจับมัดมืออยู่ นนท์ธกิจที่นั่งอยู่ข้างนายหนุ่มใช้ความเร็วที่เหนือกว่าโผเข้าไปจับร่างอ้วนท้วมนั้นไว้ได้เสียก่อน การ์ดหนุ่มจับร่างเสี่ยเส้งลากแล้วเหวี่ยงลงไปกองกับพื้นเรือที่เดิมซึ่งอคิราห์ลุกขึ้นมายืนรออยู่แล้ว                        “มึงวอนเสียแล้วไอ้เส้ง ส่งคนไปถล่มจะฆ่ากูแล้วคิดว่ามึงจะรอดง่ายๆ เหรอมึงรู้ไว้เสียด้วยว่าคนที่กล้าทำกับกูแบบนี้ไม่เคยตายดีสักคน กิจ...เอาปืนมา” อคิราห์มองร่างสั่นเทิ้มของเสี่ยเฒ่าด้วยโทสะ ในขณะที่ลูกน้องคนสนิทหยิบปืนคู่กายให้นายตัวเองตามคำสั่ง “ความจริงถ้ามึงไม่ส่งคนไปตามเก็บกูมึงจะไม่พบจุดจบแบบนี้ แต่ถ้าขืนกูยังปล่อยมึงไปสักวันมึงก็จะกลับมาแว้งกัดกูอีกหวังว่ามึงคงชอบทะเลนะ กูยังปราณีเอามึงมายิงทิ้งข้างนอกเพราะไม่อยากให้ตายกันทั้งบ้าน ฮึ...ลาก่อน” ไม่มีการต่อความยาวสาวความยืด อคิราห์ลั่นไกปืน เสียงมัจจุราชดังสนั่นท่ามกลางความมืดในค่ำคืนสุดท้ายของเสี่ยเส้ง กระสุนเจาะกลางหน้าผากไม่ปราณี จนร่างอ้วนท้วมหงายหลังตึงลงไปนอนกับพื้นเรือเลือดแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลเต็มทั่วใบหน้า  มือปืนแสยะยิ้มด้วยความพอใจ เขาไม่อยากฆ่าใครโดยไม่จำเป็นและไม่ต้องการให้เรื่องบานปลายจึงได้นำเสี่ยเส้งออกมากำจัดข้างนอก เพราะถ้าปะทะกันในบ้านตรงๆ ทั้งลูกน้องและครอบครัวของเสี่ยคงจะแตกตื่นเข้ามาช่วยเหลือแล้วถึงเวลานั้นความสูญเสียจะไม่มีเพียงแค่คนหรือสองคนที่จะถูกกำจัด ด้วยฝีมือระดับพระกาฬของลูกน้องชุดนี้ รับรองต่อให้มากันทั้งเกาะก็เรียบเป็นหน้ากลอง ถึงตอนนั้นเรื่องจะยิ่งอื้อฉาวถูกขุดคุ้ยไม่หยุดหย่อน จะส่งผลเสียต่อธุรกิจของเขาเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากกำจัดแค่เสี่ยเฒ่าไปคนเดียวปัญหาจะน้อยกว่าเพราะมันมีศัตรูอยู่เยอะ คนที่ถูกเพ่งเล็งจะน้อยลงเนื่องจากมันไม่สะเทือนขวัญเท่ากับการฆ่าล้างบาง “โยนในทะเลทิ้งเลยไหมครับนาย” “ขับเรือออกไปอีกหน่อย ฉันอยากให้มันว่ายน้ำชมพระจันทร์เล่นนานๆ กว่าจะมีใครมาพบ” นนท์ธกิจกระตุกยิ้มลากร่างไร้วิญญาณไว้ตรงขอบเรือ มองดูเจ้านายที่ยืนกอดอกทอดมองไปยังท้องทะเลอย่างเลื่อนลอย เขาละสายตาจากอคิราห์แล้วขยับนั่งใกล้คนขับทุกคนไม่ได้สนใจกับร่างไร้ลมหายใจที่ร่วมการเดินทางมาด้วย เหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่ไม่น่าตกใจอะไรเลย หกโมงเช้าของวันนั้น หลังจากปฏิบัติภารกิจมาอย่างเหน็ดเหนื่อย และยังไม่ได้พักแม้แต่น้อย อคิราห์กลับขึ้นรถมายังบ้านพักของภรรยาสาวทันทีที่ลงจากเรือสปีดโบ๊ท ความโกรธเคืองอีกประการในใจกำลังจะถูกสะสาง   “หลับสบายเชียวนะแม่ตัวดี!!!” ผ้าห่มนวมผืนหนาถูกดึงออกจากการห่มคลุมตัวหญิงสาวเอาไว้ ร่างบางสะดุ้งตื่นทั้งๆ ที่เพิ่งจะได้นอนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา “คุณคีม...” “ใช่...ฉันเอง ทำไม!! เห็นผัวตัวเองมันน่าตกใจนักเหรอ” เสียงห้าวมาพร้อมกับการคุกคามอันรวดเร็ว ชายหนุ่มกระโดดขึ้นเตียงเข้าถึงตัวหญิงสาวที่ลุกนั่งหน้าซีดอย่างง่ายดาย ณัฏฐนิชมองด้วยความฉงนใจไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจเข้าอีก เธอหลบสายตาคมที่จ้องราวจะกินเลือดกินเนื้อพยายามทำตัวสงบเสงี่ยมด้วยรู้ชะตากรรมของตัวเองดี ขนาดเธอไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ถ้าเขาไม่พอใจก็สามารถหาเรื่องให้เธอผิดอยู่ได้วันยังค่ำแล้วครั้งนี้ล่ะเธอจะโดนยัดเยียดข้อหาอะไรอีก “เธอทำแหวนของขิงหาย...บอกมานะว่าแอบไว้หรือเปล่า!!” ณัฏฐนิชมองเขาด้วยสายตางงงัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไรกัน รู้แต่เพียงว่ามันเกี่ยวข้องกับผู้หญิงของเขาอีกแล้ว หญิงสาวตาแดงก่ำน้ำตาคลอหน่วยด้วยความน้อยใจเสียใจ “แหวนอะไรฉันไม่รู้เรื่องนะ ไม่เคยเห็นมันเลยด้วยซ้ำ” เธอปฏิเสธด้วยความจริง เบนหน้าหลบตาคมดุที่จ้องเขม็งอย่างหวาดๆ   “ไม่รู้ไม่เห็นเหรอ...ฉันจะบอกให้ก็ได้ แหวนที่ฉันคล้องสร้อยคอห้อยติดตัวไว้ตลอดเวลาไงล่ะ ทีนี้เคยเห็นหรือยังแล้วจำได้ไหมว่าเห็นตอนไหน” คราวนี้คนถูกถามกลับหันมองอย่างค้อนๆ ด้วยความอาย เธอพอจะนึกออกแล้วว่าเคยเห็นมันจริงๆ นั่นแหละในตอนที่เขาเปลือยกายล่อนจ้อนร่วมรักกับเธอนั่นเอง “ถึงจำได้ฉันก็ไม่รู้อยู่ดี คุณบ้าหรือเปล่าฉันจะแอบเอาไปทำไมกัน” หญิงสาวยังคงปฏิเสธโดยสิ้นเชิง เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็โยนความผิดมาให้เธอรับอยู่เสมอโดยที่ไม่เคยถามเหตุผล “มันหายตอนที่อยู่ในทะเลไงล่ะ ทีนี้บอกมานะว่าเธอเอาไปไว้ที่ไหน”          “คุณคีม...คุณจะบ้าเหรอตอนอยู่ในทะเลคุณเกือบจะกดให้ฉันจมน้ำทะเลตาย แล้วยังถูกไล่ยิงสาดกระสุนใส่ ฉันจะเอาสมองที่ไหนคิดเอาสร้อยของคุณได้อีก” “นี่เธอ!!!...” “ไม่ว่าอะไรที่ทำให้คุณอารมณ์เสียทุกอย่างจะต้องมีฉันเป็นต้นเหตุทั้งหมดเลยใช่ไหม ถึงไม่ใช่ฉันก็ถูกคุณยัดเยียดให้ตลอดเวลาว่าเป็นคนผิด” แม้ตอนพูดจะไม่กล้ามองหน้าดุดันนั้นแบบเต็มๆ แต่ด้วยความอัดอั้นหลายๆ อย่างทำให้ณัฎฐนิชสวนกลับความรู้สึกของตัวเองออกไปบ้าง “ฮึ...ไม่เจอกันไม่กี่วันปากดีขึ้นเยอะเลยนะ ทาสแท้ของเธอมันเริ่มออกลายมาทีละนิด จะไม่ให้ฉันคิดได้ยังไงว่าเธอกำลังอิจฉาทุกอย่างที่เป็นขิง อยากจะแทนที่เขายังทำสำเร็จเลยนี่ จะยากอะไรกับการกำจัดของต่างหน้าของเขาล่ะ” คนที่นั่งคุกเข่าข้างๆ ดูเหมือนจะไม่ยอมลดราวาศอกเช่นกัน อคิราห์กำหมัดแน่นด้วยความโกรธที่ถูกยอกย้อนแบบไร้ความเกรงกลัว “นี่คุณว่าฉันอิจฉาคุณขิงถึงขนาดต้องทำลายสร้อยบ้าๆ นั่นเลยเหรอ” “หรือมันไม่จริง...”                                                                       “อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย จะบอกให้รู้นะฉันไม่มีความจำเป็นต้องอิจฉาคนที่ตายไปแล้ว เพราะฉันไม่เคยอยากแตะต้องของอะไรที่เป็นของเธอคนนั้น...แม้แต่คุณ”                                                                         “มันจะมากไปแล้วนะณัฎฐนิช!!!” ร่างหนาคลานเข่าด้วยความว่องไว จับแขนของหญิงสาวฉุดลากเข้าหาตัวสุดแรง “เธอกล้ามาก กล้าว่าฉันแล้วยังละลาบละล้วงถึงผู้หญิงที่ฉันรักอีก” “ฉันพูดความจริง....ถ้าอยากได้ความรักจากคนดีๆ แล้วไม่ได้สิถึงสมควรจะอิจฉา แต่สำหรับคนเลวๆ ชั่วๆ อย่างคุณฉันจะอยากได้ไปทำไมให้ความรักของคุณมันเน่าไปพร้อมกับศพคนตายนั่นแหละดีแล้ว แค่ความเป็นคนคุณยังไม่มีเหลืออยู่ด้วยซ้ำ” “เธอ!!...” มือหนากางนิ้วออกง้างสุดแขนอย่างลืมตัว แต่ก็ยังยั้งหยุดไว้ได้ ใบหน้านวลที่ตกใจจนผินหน้าหลบจึงหันมาจ้องตาคมดุกร้าน “....” ดวงตากลมจากใบหน้าเรียวหวานจ้องตอบแบบไม่กะพริบเหมือนกัน ถ้าเขาจะตบหน้าเธอก็ไม่ได้แปลกใจสักนิด เขาเคยกระทำเหมือนเธอเป็นโสเภณีไร้ค่า เคยเกือบจะจับกดน้ำให้ตายมาแล้วด้วยซ้ำไป “ว้าย!!...” แต่ผิดคาด มือข้างนั้นกลับลดลงมากระชากแขนเธอแล้วเหวี่ยงซัดลงบนที่นอนจนร่างบางเกือบกลิ้งตกเตียง ณัฎฐนิชก้มหน้าซ่อนความอ่อนแอด้วยความคับแค้นใจ ไม่ยอมหันไปมองคนใจดำอีก ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยชนะเขาได้อยู่แล้ว  อคิราห์ลุกจากที่นอนยืนกำมือแน่นด้วยความโมโห โมโหที่หญิงสาวกล้าขึ้นเสียงด่าเขาทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โมโหตัวเองที่ทำอะไรผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ ทั้งที่ไม่เคยคิดจะมีความปราณีให้ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงบี้ร่างเล็กนั่นเป็นผุยผง แต่ทำไมวันนี้เขาถึงยอม... “ถ้าไม่อยากเจ็บตัว...จำไว้อย่ามาต่อปากต่อคำกับฉันอีก ฮึ...” พูดจบก็กระแทกเท้าเดินจากไป เสียงปิดประตูปังใหญ่ตามแรงโกรธทำเอาหญิงสาวที่นอนคว่ำหน้ากลั้นน้ำตาอยู่บนเตียงถึงกับสะดุ้งโหยง                 เมื่อแน่ใจว่าปีศาจร้ายจากไปแน่แล้วจึงค่อยๆ พลิกตัวลงนอนคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ดังเดิม ปลดปล่อยความอัดอั้นแค้นใจให้รินไหลมากับน้ำตา ใช่ว่ามันเป็นนิสัยของเธอที่ชอบต่อล้อต่อเถียงด้วยวาจาเช่นนั้น แต่จะให้อยู่เฉยเหมือนที่ผ่านมามันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่จะอยู่ให้เขาทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว สู้เอาคืนเขาบ้างถึงจะแค่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี จะอีกนานแค่ไหนที่เขาจะปล่อยเธอเป็นอิสระ หรือจะต้องจมกับความเจ็บตัวเจ็บใจอย่างนี้ไปตลอดกาลนะ...ณัฎฐนิช   แฟ้มเอกสาร หรือทุกอย่างที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานถูกปัดทิ้งหล่นไปกองอยู่กับพื้นจนเกลี้ยง ก่อนที่เก้าอี้ทำงานถูกหมุนมากระแทกตัวลงนั่งอย่างหัวเสีย คนอารมณ์ไม่ดีหายใจหอบระรัวด้วยความโกรธ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้โมโหขนาดนี้ความโมโหความโกรธนั่นไม่ใช่เพราะเธอด่าเขากับเพียงอัปสร แต่เป็นเพราะหญิงสาวประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่เคยคิดอยากจะมีเขาต่างหาก น่าแปลกเหลือเกิน หรือมันจะเป็นแค่อารมณ์ของคนเสียหน้า เสียศักดิ์ศรีที่ถูกเมียของตัวเองดูแคลน ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ออกนอกพื้นที่ ใจของเขายังคงมีแต่เพียงอัปสรเหมือนเดิม แต่กลับมีบางครั้งคิดอะไรเพลินๆ ใบหน้าหวานๆ ของณัฎฐนิชมักจะแทรกเข้ามาทำให้เขาลอบยิ้มด้วยอย่างลืมตัวเสมอ บทรักที่เร่าร้อนในคืนก่อนจากกันหรือเพราะอะไรกันแน่คือต้นเหตุทำให้หญิงสาวที่เขาแสนชังเข้ามาวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่ในความคิดบ่อยครั้ง ไม่มีทาง...ไม่มีวัน หยุดไปได้เลยความคิดที่ว่าเขากำลังหลงเสน่ห์ณัฏฐนิชอยู่ มันจะไม่มีวันเป็นอย่างนั้น กำปั้นใหญ่ทุบลงบนโต๊ะทำงาน โต๊ะตัวใหญ่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์อีกสิ่งหนึ่งหลังจากความสับสนเริ่มก่อตัวหนักขึ้น ความจริงแล้วเขาควรจะคิดถึงปัญหาที่เข้ามารุมเร้ามากกว่าจะมาเสียเวลากับผู้หญิงไร้ค่าคนนั้น ช่างเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี                                                                 ภวังค์ความคิดถูกหยุดด้วยเสียงเคาะประตู ชายหนุ่มถอนหายใจยาวยืดเต็มปอด เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาความสับสนที่อัดแน่นอยู่ในอกนั้น  “เข้ามา...” “คุณคีม...ผมนึกว่าคุณพักผ่อนไปแล้ว”   “ก็ว่ากำลังจะไปอยู่เหมือนกัน มีอะไรเหรอกิจ” คนก้าวเข้ามาไม่ใช่ใคร ลูกน้องคนสนิทของเขานั่นเอง หมอนี่อึดไม่เบาจริงๆ ตามไปทำงานกับเขาเป็นอาทิตย์ พอกลับมาถึงก็ต้องรับมือกับพวกสมุนสวะของเสี่ยเส้ง จากนั้นเมื่อคืนยังตามไปกำจัดเสี่ยเฒ่านั่นอีก ทั้งที่พอกลับมาถึงไม่ได้สักหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำก็เข้ามาหาเขาที่ห้องทำงานอีกแล้ว และที่มาแน่นอนว่าต้องมีเรื่องสำคัญ “มีคนพบศพเสี่ยเส้งแล้วครับ” “เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ” “ครับ...คิดว่าลูกน้องมันคงเข้าไปเจอศพเพื่อนมันในบ้านแล้วก็เลยรู้ว่าเสี่ยหายตัวไปด้วย เลยออกกันตามหาครับ แต่ผมว่าก็ไม่เร็วเท่าไหร่กว่าจะหาเจอก็ยังใช้เวลาตั้งสี่ชั่วโมง” นนท์ธกิจรายงานเจ้านายหนุ่ม ถึงข่าวสดๆ ร้อนๆ ที่เขาได้รับมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ “แล้วพวกมันว่ากันอย่างไรบ้าง” “ยังไม่มีความคืบหน้าครับ เพิ่งจะพาศพขึ้นฝั่งเด็กที่โรงแรมของเราทางโน้นบอกว่าลูกน้องเสี่ยพากันอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กันที่ลูกพี่มันถูกฆ่าอย่างปริศนา เพราะพวกมันก็ทำงานอย่างว่ามากันเยอะกลัวจะถูกเอาคืนบ้าง” “ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า ยังไม่มีการฟันธงใช่ไหมว่าเป็นฝีมือใคร ฮึ...พวกมันสร้างศัตรูไว้เยอะ ถ้าจะสืบมาถึงเราจริงๆ ก็นับว่าเก่งแล้วล่ะ...ไปพักผ่อนเถอะกิจมีอะไรค่อยคุยกัน นายเองก็ดูเพลียๆ เหมือนกันนะ” “ครับ...แล้วเจอกันครับ” อคิราห์พยักหน้าให้คนสนิท ก่อนที่ลูกน้องหนุ่มจะหันหลังเปิดประตูเดินจากไป ปัญหาหมดไปอีกหนึ่ง ที่เหลือก็แค่รอว่าเรื่องจะสาวมาถึงตัวเขาไหม แต่คิดว่าคงยาก เพราะเสี่ยเส้งเป็นผู้มีอิทธิพล ชอบเบ่งบารมีระรานเขาไปทั่ว หากมันต้องการสิ่งใดมันจะทำทุกอย่างแม้แต่กำจัดทุกสิ่งที่ขวางทาง แม้แต่ชีวิตคน คราวนี้ก็เหลืออีกหนึ่งปัญหา คือเรื่องมือมืดที่กำลังจ้องเล่นงานเขาอยู่ ภารกิจของเขาก็แค่นั่งคอยให้ทางนั้นเคลื่อนไหว เมื่อยามที่ธุรกิจของเขาที่กรุงเทพฯ ได้รับงานชิ้นใหญ่มาทำ และครั้งนี้เขาจะต้องไม่พลาด หากพลาดนั่นหมายถึงความเสียหายหลายช่องทาง พวกมันก็จะรู้ตัวและระวังตัวทุกฝีก้าว นั่นจะหมายถึงครั้งต่อไปเขาต้องใช้ตัวล่อที่มีมูลค่ามหาศาลมากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD