Tulip 1

1177 Words
Tulip 1 ช่อดอกไม้หลายช่อถูกนำมาจัดวางในตะกร้าที่พื้นวางเท้าทั้งบริเวณด้านข้างคนขับและบริเวณเบาะด้านหลังที่มีช่อดอกไม้วางอยู่เกือบสิบสองช่อ และฉัน พิมพ์ขวัญ คนนี้จะต้องขับรถไปส่งดอกไม้ให้ลูกค้าตามสถานที่ที่ระบุไว้ในใบรายการสั่งซื้อของที่ร้าน ร้านดอกไม้ขนาดกลางตามที่พี่สาวบอกแต่สำหรับฉันคือร้านดอกไม้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งดี ๆ นี่เอง ถึงแม้พื้นที่ร้านจะจัดอยู่ขนาดกลางแต่ของภายในร้านและฝีมือของพี่สาวและพี่ ๆ ไม่เล็กตามเลย ทุกคนหยิบจับอะไรมาจัดก็สวยไปหมด ว่าง ๆ ฉันเองก็ชอบที่จะมานั่งมองดูพี่ ๆ จัดดอกไม้ที่ร้านดอกไม้ระหว่างรอเวลาออกไปส่งดอกไม้ให้ลูกค้า ส่วนฉันหากว่างก็จะมาช่วยรับออเดอร์บ้าง แต่หลัก ๆ จะทำหน้าที่ออกไปส่งดอกไม้ให้ลูกค้า ฉันน่ะจัดดอกไม้ไม่เป็นค่ะ แต่ก็ชอบดอกไม้มาก ๆ เหมือนกันชอบนั่งดู แค่นั้นก็มีความสุขมากแล้วล่ะ “ขับรถระวังด้วยนะขวัญ” พี่พิมพ์ใจ หรือพี่พิมพ์ พี่สาวของฉันเอ่ยย้ำเมื่อฉันเตรียมออกไปส่งดอกไม้หลังจากที่ตรวจสอบรายการครบหมดแล้ว “รับทราบค่ะ วันนี้จะกินอะไรไหมคะเดี๋ยวซื้อเข้ามาด้วยเลย” เอ่ยบอกพี่สาวมือก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะมาถือไว้ “พี่ยังนึกไม่ออกเลย ขวัญอยากกินอะไรหรือเปล่า” “ยังนึกไม่ออกเหมือนกันค่ะ เดี๋ยวเราค่อยคิดแล้วกัน ไปแล้วนะคะ” โบกมือลาพี่พิมพ์ด้วยรอยยิ้มจากนั้นถึงได้เดินออกจากร้านไปยังรถตัวเองที่หมายแรกที่จะต้องไปคือบริษัทที่ตั้งห่างออกไปจากร้าน ซึ่งจะต้องใช้เวลาเกือบสามสิบนาทีเลยล่ะ เมื่อเปิดพิกัดที่อยู่ของลูกค้าเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มเคลื่อนรถออกไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เร่งรีบ และต้องขับอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าดอกไม้จะช้ำ กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยคลุ้งอยู่ทั่วทั้งรถ บวกกับอากาศที่ค่อยเย็นภายในรถทำให้กลิ่นดอกไม้หอมชัดเจนขึ้น ระหว่างที่ขับรถก็พึมพำร้องคลอเพลงเมื่อถึงเพลงที่ตัวเองชอบ ชีวิตฉันนั้นราบเรียบไม่มีอะไรหวือหวาเป็นพิเศษ กลางวันทำงานที่ร้านช่วยพี่สาว กลางคืนตัดคลิปให้เพื่อนสนิทที่ทำยูทูปเบอร์สายท่องเที่ยว มีบ้างที่ไปร่วมสนุกเที่ยวกับเพื่อนแต่ก็นาน ๆ ครั้งเพราะช่วงเวลาตอนกลางวันฉันยังต้องทำงานช่วยพี่สาว “โอ๊ะ บริษัทใหญ่จัง” เมื่อขับรถมาจอดที่หน้าบริษัทแห่งหนึ่งถึงกับต้องอุทานออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นตัวอาคารบริษัทตรงหน้านั้นใหญ่โตมากแค่ไหน แต่ก็แค่ตกใจนั่นแหละ ระหว่างนั่งรอบนรถฉันก็หยิบโทรศัพท์ของที่ร้านขึ้นมากดโทรหาลูกค้ารอสายสักพักปลายส่ายก็เอ่ยรับสายและพูดคุยกันจนเข้าใจ ฉันยังรออยู่บนรถกระทั่งเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดสูทสุภาพเดินออกมาบริเวณหน้าบริษัทพร้อมกับสอดส่องสายตาคล้ายกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง นั่นจึงทำให้ฉันเปิดประตูรถลงไปพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่ รวมถึงใบเสร็จ “จากร้านดอกไม้ Flower of love ค่ะ ใช่คุณพจีหรือเปล่าคะ?” ฉันแนะนำตัวและทวนถาม “ใช่ค่ะ ขอโทษที่ให้รอนะคะ” “ไม่เป็นอะไรเลยค่ะ รบกวนเซ็นรับดอกไม้ให้หน่อยนะคะ” ฉันใช้มือข้างหนึ่งยื่นใบรับสินค้าให้ลูกค้าเซ็น ก่อนจะส่งสินค้าพร้อมกับใบเสร็จรับเงินไปให้ “ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ โอกาสหน้าทางเรายินดีรับใช้นะคะ” “ขอบคุณเช่นกันค่ะ” คุณลูกค้าส่งยิ้มให้ก่อนที่เราทั้งสองคนจะแยกจากกัน ฉันรีบเดินกลับมาที่รถในทันที บรรยากาศภายนอกรถและภายในรถนั้นช่างแตกต่างกันมากจริง ๆ เก็บใบเสร็จในกระเป๋าผ้าที่วางอยู่ด้านหน้าก่อนจะเริ่มหาพิกัดของลูกค้ารายต่อไป ฉันขับรถวนเวียนส่งดอกไม้ให้ลูกค้าอยู่นานกระทั่งตอนนี้ที่เป็นเวลาหกโมงครึ่งตามเวลานัดส่งดอกไม้ของลูกค้ารายสุดท้ายของวัน ฉันโทรไปแล้วและลูกค้าให้ถือดอกไม้เข้าไปส่งให้ที่ร้านอาหาร ระหว่างที่เดินเข้าไปภายในร้านก็แจ้งพนักงานที่ร้านว่าฉันมาส่งดอกไม้ให้ลูกค้าของที่ร้าน รอสักพักพนักงานก็แจ้งห้องให้ฉันเดินไปส่งดอกไม้ด้วยตัวเอง ฉันก็ต้องหอบหิ้วดอกไม้ช่อใหญ่ไปหยุดที่หน้าห้องอาหารห้องหนึ่ง เพราะเป็นห้องอาหารส่วนตัวฉันถึงไม่กล้าที่จะเข้าไปในทันที ยืนล้วงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดโทรหาลูกค้าแต่ยังไม่ทันที่ปลายสายจะรับประตูห้องอาหารก็ถูกเปิดออกมาเสียก่อน “...” คนตัวสูงตรงหน้าปรายตามองฉันอย่างพิจารณาแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนฉันนั้นรีบแจ้งคนตรงหน้าทันทีเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคือลูกค้าของที่ร้าน “สวัสดีค่ะ จากร้าน Flower of love มาส่งดอกไม้ให้คุณอาณาจักรค่ะ” รีบบอกเผื่อคนตรงหน้าจะรีบใช้ดอกไม้ เพราะเขาดูหงุดหงิดอยู่เหมือนกันในจังหวะที่ปรายตามองแล้วเห็นว่าฉันกำลังถือดอกไม้อยู่ “อ้อ ไม่ได้ใช้แล้วล่ะ” คนตรงหน้าเอ่ยบอกอย่างไม่ใส่ใจ “รบกวนเซ็นรับสินค้าได้ไหมคะ” “ครับ” อีกฝ่ายยอมอย่างง่ายดาย ฉันนึกว่าเขาจะโวยวายเสียอีก แต่พออีกฝ่ายเซ็นรับดอกไม้เสร็จฉันก็ส่งช่อดอกไม้ให้คนตัวสูงตรงหน้าเพราะคือสิ่งที่อีกฝ่ายสั่งไปและฉันมีหน้าที่แค่มาส่งตามออเดอร์เท่านั้น “ดอกไม้ค่ะ” “ไม่ได้ใช้แล้วครับ คุณเอาไปทิ้งให้หน่อยแล้วกัน” ทิ้ง...ทิ้งอย่างนั้นเหรอ? ดอกไม้ช่อนี้พี่พิมพ์ตั้งใจจัดมากเลยนะ จู่ ๆ เขาจะให้ฉันเอาไปทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ใช้งานแบบนี้ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือยังไงกัน “แต่ว่า...” “ฝากทิ้งด้วย แห้งไปมันก็เป็นขยะแล้วนี่ รบกวนด้วยแล้วกัน” เอ่ยจบคนตรงหน้าก็เดินหนีไปทันที ปล่อยให้ฉันที่ยืนเคว้งอยู่ถึงกับโกรธควันออกหูเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น มันก็จริงที่หากแห้งไปมันก็เป็นขยะ แต่สำหรับบางคนมันมีความหมาย มันมีคุณค่ามากเลยนะทำไมเขาถึงได้พูดอะไรไม่นึกถึงจิตใจคนฟังแบบนั้นล่ะ “ไม่เอาก็ช่างสิ” ฉันบ่นตามหลังผู้ชายคนนั้นด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะตัดสินใจอุ้มดอกไม้กลับไปที่รถ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD