ตามเนื้อเรื่องในนิยายเดิม ซูเหมยในวันนี้ยังไม่รู้ความลับภายในปิ่นหยก นางจะรู้ก็ต่อเมื่อเลือดของนางหยดใส่ปิ่นหยกโดยบังเอิญในระหว่างที่หลบหนีภัยสงคราม
ซูลี่ตั้งใจว่าเมื่อกลับถึงจวนจะใช้เลือดหยดลงไปเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของปิ่นหยกชิ้นนี้ นางเดินกลับไปหาฉู่เหิงที่โรงเตี๊ยมอย่างอารมณ์ดี แต่ว่าอารมณ์ดีๆ ของนางก็คงอยู่ได้ไม่นาน
หญิงสาวพบฉู่เหิงและสาวใช้ทั้งสอง กำลังถูกเด็กกลุ่มหนึ่งถือขว้างก้อนหินใส่ ชายหนุ่มใช้มือบังศีรษะด้วยท่าทางหวาดกลัว โดยมีสาวใช้ผู้อ่อนแอสองคนคอยปกป้องเขา
เนื่องจากคนที่ขว้างก้อนหินยังเป็นเด็ก สาวใช้ทั้งสองไม่กล้าโต้ตอบพวกเขาหนักๆ จึงทำได้เพียงปกป้องนายของตนเท่านั้น
ซูลี่มองเห็นว่าบนหน้าผากของฉู่เหิงมีรอยแผลและเลือดไหลลงมาถึงปลายคาง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กใสวัยนี้ที่ควรจะไร้เดียงสากลับมีจิตใจโหดเหี้ยวเช่นนี้
เด็กคนหนึ่งที่ดูตัวใหญ่กว่าทุกคนยกก้อนหินในมือขึ้นและตะโกนเยาะเย้ยฉู่เหิง "เจ้าคนโง่! ฮ่าฮ่าฮ่า เขาเป็นคนโง่!"
ซูลี่รีบวิ่งไปหาเด็กพวกนั้นและคว้ามือเจ้าเด็กคนนี้ไว้เพราะนางคาดเดาว่าเขาจะเป็นหัวโจก
"พวกเจ้าเป็นลูกของใคร! ไปตามพ่อแม่ของพวกเจ้ามาเดี๋ยวนี้!"
เด็กๆ ที่ยังคงหัวเราะอยู่ต่างก็ตกใจกับเสียงตะคอกของซูลี่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ ความกลัวในดวงตาของพวกเขาก็สลายไปทันที
เด็กผู้ชายหลายคนหันมายืนล้อมรอบซูลี่แทนพวกเขาชูก้อนหินในมือทีละคนและข่มขู่ซูลี่ "ปล่อยโกว่ต้านไม่อย่างนั้น พวกข้าจะเอาก้อนหินขว้างเจ้าซะ"
"ใช่! อย่ามาแส่เรื่องของพวกเรา"
"พวกเราทุบตีคนโง่ เจ้ามายุ่งอะไรด้วย!"
ใบหน้าของซูลี่มืดครึมลง นางจ้องมองเด็กๆ กลุ่มนี้อย่างเย็นชา "คนโง่ที่พวกเจ้ารังแกคือสามีของข้า เขาเป็นคุณชายรองตระกูลฉู่”
ตระกูลฉู่ในเวลานี้แม้จะตกต่ำ แต่ในสายตาชาวบ้านทั่วไป พวกเขายังคงมีอำนาจและร่ำรวยมากกว่าคนทั่วไป
เมื่อเด็กเหล่านั้นได้ยินชื่อตระกูลฉู่ก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่เด็กเหล่านี้คิดว่าตัวเองยังเป็นเด็ก แม้ว่าพวกเขาจะทุบตีผู้คนก็ไม่มีใครถือสาพวกเขา
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาซุกซนสร้างปัญหา ผู้ใหญ่ส่วนมากมักจะด่าแค่ไม่กี่คำโดยไม่เอาเรื่อง เป็นเพราะเหตุผลที่ว่าพวกเขายังคงเป็นเด็ก
หนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นเมื่อได้ยินชื่อตระกูลฉู่ ก็เกิดใจเสาะโยนก้อนหินทิ้งและพยายามจะวิ่งหนี แต่ก่อนที่เขาจะวิ่งออกไปเขาก็ซูลี่ยืนเท้าออกมาขวางจนสะดุดล้มลงเสียก่อน
เด็กคนอื่นๆ ไม่คาดคิดว่าซูลี่จะทำร้ายเด็ก พวกเขาเริ่มเอะอะโวยวาย ทำสีหน้าราวกับว่าตนเองเป็นคนถูกรังแก พฤติกรรมอันน่ารังเกียจตีสองหน้าของพวกเขา ทำให้ซูลี่เค้นหัวเราะออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
ตามที่สุภาษิตจีนกล่าวว่า 'จากอายุ 3 ขวบ เห็นถึงอนาคต' นี่ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงแม้แต่น้อย
(หมายความว่า เราสามารถคาดการณ์อนาคตของคนคนหนึ่งได้ตั้งแต่เขามีอายุแค่ 3 ขวบ)
หลังจากมีเสียงเด็กร้องโวยวาย ก็มีชาวบ้านเข้ามายืนมองดู และเมื่อพวกเขาเห็นซูลี่กำลังจะตีเด็ก สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมา "นายหญิงรองตระกูลฉู่ พวกเขาเป็นแค่เด็กซุกซนเท่านั้น ท่านจะทุบตีพวกเขาอย่างรุนแรงได้อย่างไร"
คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วยตามคำพูดของสตรีวัยกลางคน
ซูลี่มองคนเหล่านี้อย่างขบขัน เมื่อฉู่เหิงถูกล้อมและขว้างก้อนหินใส่ ไม่เห็นพวกเขาจะเข้ามาห้ามปรามเด็กพวกนั้นเลยสักคน
ซูลี่ยิ้มอ่อนและพูดกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้น "เป็นเพราะพวกเขายังเป็นเด็ก ดังนั้นพวกเขาถึงต้องได้รับการสั่งสอน อายุยังน้อยก็นิสัยร้ายกาจเช่นนี้ โตขึ้นไปไม่ฆ่าคนเป็นผักปลากันเลยหรือ”
ท่ามกลางผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ มีครอบครัวของเด็กเหล่านี้แฝงตัวอยู่ด้วย คำพูดของซูลี่สร้างความไม่พอใจให้พวกเขา ราวกับถูกตบหน้าก็มิปาน
สตรีในชุดสีม่วงนางไม่พอใจซูลี่เป็นอย่างมาก "แม้ว่าท่านจะเป็นนายหญิงรองตระกูลฉู่ แต่ก็ไม่ควรพูดใส่ร้ายเกี่ยวกับเด็กเหล่านั้น พวกเขาแค่ซุกซนไปตามประสา จะนับคำว่าชั่วร้ายได้อย่างไร”
ซูลี่ลากเด็กที่จับเอาไว้มายืนด้านหน้า นางคาดเดาว่าสตรีชุดม่วงคือมารดาของเด็กคนนี้เพราะพวกเขามีใบหน้าคล้ายคลึงกัน "เขาขว้างก้อนหินใส่สามีของข้า เจ้าตาบอดหรือถึงมองไม่เห็น"
สตรีผู้นั้นพูดอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นซูลี่ไม่ยอมปล่อยตัวเด็ก "แรงของเด็กจะมากสักเพียงใด คงไม่ทำให้ถึงกับบาดเจ็บมากหรอกกระมัง ท่านเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งจะถือสาหาความเด็กเพื่ออะไร..."
ซูลี่ยิ่งได้ฟังคำพูดของนางก็ยิ่งโมโห นางหันไปมองเสี่ยวอวิ๋น เด็กสาวรีบวิ่งเหยาะๆ มาหานางทันที และเมื่อผู้เป็นนายกระซิบบางอย่างที่หู เสี่ยวอวิ๋นมีท่าทีตกใจเล็กน้อยแต่ก็รีบจับแขนข้างที่เจ็บแล้ววิ่งออกไปทันที
ทุกคนมองตามร่างของเสี่ยวอวิ๋นที่วิ่งออกไปด้วยใบหน้างุนงง นึกสงสัยว่าซูลี่คิดจะทำอะไรกันแน่
นอกจากสตรีชุดม่วงก็มีพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ ทยอยเข้ามาดูว่าลูกของตัวเองบาดเจ็บหรือไม่ ทันทีที่เด็กเหล่านั้นเห็นพ่อแม่ของตนเอง พวกเขาก็วิ่งไปหาด้วยสีหน้าน้อยใจ ราวกับว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ถูกกระทำแทน
"วันนี้ลูกของพวกเจ้า ทุบตีคุณชายรองของเรา...พวกเจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร"
เมื่อได้ยินเช่นนี้เหล่าพ่อแม่ของเด็ก ๆ มองไปที่คุณชายรองที่ยืนอยู่ข้างหลัง พวกเขาไม่ได้พบกับคุณชายผู้นี้เป็นเวลานานเนื่องจากอาการป่วยของเขาจึงจำไม่ได้ชั่วขณะ
หนึ่งในบิดาของเด็กเหล่านั้น เดินออกมาข้างหน้าเขาคำนับซูลี่เอ่ยขอโทษด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว "เจ้าเด็กเหลือขอบ้านข้าตาถั่ว ไม่คาดคิดว่าจะทำร้ายคุณชายรองตระกูลฉู่ ขอให้นายหญิงรองโปรดให้อภัยเนื่องจากเขาอายุยังน้อยไม่รู้ความ"
อายุน้อย! อายุน้อยอีกแล้ว!
นอกจากอายุน้อยแล้ว ไม่มีเหตุผลอื่นที่ดีกว่านี้หรือ!
พ่อแม่ของเด็กเหล่านั้นต่างเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
ซูลี่เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้สำนึกผิดอย่างจริงใจ นางก็คิดว่าพวกเขาควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง "ในเมื่อพวกเจ้าคิดว่าเด็กเหล่านี้อายุยังน้อยไม่รู้ความ...ไม่อยากให้ข้าถือสาเอาโทษ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ทำได้แค่ให้พวกเจ้าได้รู้ว่าการถูกเด็กขว้างก้อนหินใส่มันจะทำให้พวกเจ้าเจ็บปวดหรือไม่!”
ทันทีที่คำพูดของซูลี่จบลง ขอทานตัวน้อยราวห้าคนที่เดินตามหลังเสี่ยวอวิ๋นก็หยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมาและปาใส่กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างแรง!
อายุของขอทานตัวน้อยเหล่านี้ก็ไล่เลี่ยกับพวกเจ้าเด็กเหลือขอพวกนั้น เนื่องจากพวกเขากล่าวว่าการที่เด็กอายุน้อยทุบตีผู้อื่นไม่ได้ทำให้เจ็บปวดมากมาย เช่นนั้นก็ให้พวกเขาได้ลิ้มรสความรู้สึกของการถูกขว้างด้วยก้อนหินดูบ้าง
ไม่นานทั่วบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องจากความเจ็บปวด ซูลี่ดึงฉู่เหิงออกมาจากรัศมีการขว้างก้อนหิน นางถือโอกาสนี้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเช็ดแผลที่หน้าผากของฉู่เหิงอย่างระมัดระวัง
สาวใช้ทั้งสองมองดูภาพข้างหน้าด้วยความสะใจ ในคราแรกเสี่ยวอวิ๋นคิดว่าคุณหนูของตนใจกล้าเกินไป แต่ตอนนี้นางรู้สึกโล่งใจอย่างอธิบายไม่ถูก เมื่อเห็นกลุ่มเด็กเหลือขอพวกนั้นถูกจัดการ
ซูลี่จับฉู่เหิงหันหลังตรวจดูอย่างละเอียดว่ามีบริเวณใด นอกจากหน้าผากของเขาที่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แต่นางไม่ได้สังเกตเลยว่าในเวลานี้ดวงตาของฉู่เหิงส่องประกายอย่างแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
❤️เอ๊ะๆ พระเอกของเรามีสัญญาณที่ดีแล้วนะคะ 555
ถ้าอ่านแล้วชอบฝากกดใจ กดเข้าชั้นคอมเม้นท์ไว้ด้วยนะคะ ไรท์อ่านคอมเม้นท์ทุกคนเลยจ้า แต่อาจจะไม่ได้ตอบกลับทุกคนนะ เพราะไรท์พูดไม่ค่อยเก่ง 555❤️