ซูลี่ลุกขึ้นจากตัวของอีกฝ่ายด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย สาวใช้หน้ากลมที่อยู่ด้านหลังรีบเข้ามาพยุงคุณชายของตนขึ้นจากพื้น ถ้าจำไม่ผิดสาวใช้ของฉู่เหิงคนนี้คือเสี่ยวหยวน นางเป็นเด็กหญิงตัวเล็กที่มีใบหน้ากลมๆ
หลังจากคุณชายรองกลายเป็นคนสติไม่ดีเด็กรับใช้ผู้ชายที่คอยดูแลเขานั้นได้ทำงานผิดพลาดจนทำให้คุณชายรองตกลงไปในบ่อน้ำ เขาไข้ขึ้นอยู่หลายวัน หลังจากนั้นคนรับใช้รอบกายของชายหนุ่มจึงถูกเปลี่ยนจากเด็กรับใช้ผู้ชายเป็นเด็กรับใช้ผู้หญิง เนื่องจากเด็กผู้หญิงมีความละเอียดอ่อนในการดูแลเขามากกว่า
ขณะที่กำลังช่วยเจ้านายของตนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เด็กสาวก็พูดกับซูลี่ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "นายหญิงรองโปรดอภัย...ท่านบาดเจ็บหรือไม่เจ้าคะ"
"ข้าไม่เป็นอะไร" ซูลี่จ้องมองชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า รูปลักษณ์ของเขาแตกต่างจากคนสติไม่ดีที่นางจินตนาการไว้
แต่เดิมนางคิดว่าอีกฝ่ายคงจะสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยสกปรกหรือน้ำลายไหลเยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่คนตรงหน้าดูไม่เหมือนชายสติไม่ดี เขามีท่าทางคล้ายเด็กชายคนหนึ่งเท่านั้น
ตามเนื้อเรื่องในนิยายเล่าว่าลูกสามคนของตระกูลฉู่นั้นรูปงามทุกคน โดยเฉพาะคุณชายรองเขามีใบหน้าที่โดดเด่นงดงามมากที่สุด เขามีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาดมากยิ่งกว่าฉู่หมิงที่เป็นพระเอกเสียอีก
เขามีใบหน้าที่สวยงามยิ่งกว่าเด็กผู้หญิง เมื่อเขายังเด็ก บรรดาเพื่อนร่วมสำนักเรียนมักเปรียบเทียบเขากับเด็กผู้หญิง
อย่างไรก็ตามคนที่บอกว่าเขาดูเหมือนเด็กผู้หญิงก็ถูกฉู่เหิงและฉู่หมิงซ้อมจนอีกฝ่ายแทบจะจำหน้าตัวเองไม่ได้
ฉู่หมิงพระเอกของเรื่องเป็นพี่ชายที่ดีมากใครก็ตามที่รังแกน้องชายและน้องสาวของเขาจะถูกชายหนุ่มตอบโต้อย่างรุนแรง
ทั้งฉู่เหิงและฉู่เยว่ใช้ชีวิตวัยเด็กได้อย่างมีความสุขราบรื่นปลอดภัยเพราะมีพี่ชายคอยหนุนหลัง
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่ฉู่เหิงตกจากหลังม้าจนกลายเป็นคนสติไม่ดี พระเอกของเรื่องพยายามสืบหาต้นตอของอุบัติเหตุ แต่ก็ถูกคนมีอำนาจคอยขัดขวาง ในตอนนั้นเขาจึงตระหนักรู้ได้ว่าต่อให้ตนเองมีเงินมากเพียงใดถ้าไม่มีอำนาจก็ไม่ต่างจากมดปลวกตัวหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเพื่อสร้างอำนาจและชื่อเสียงให้กับตนเอง
น่าเสียดายที่หลังจากเขาเข้าร่วมกองทัพไม่นานก็เกิดศึกใหญ่ ฉู่หมิงหายตัวไปไม่มีใครทราบข่าวคราวของเขา เรื่องนี้ทำให้นายท่านฉู่ล้มป่วยและจากไป ตอนนี้ในตระกูลฉู่จึงเหลือเพียงสตรีและคนป่วยที่อ่อนแอเท่านั้น
ในเวลานี้แม้ฉู่เหิงจะกลายเป็นคนสติไม่ดี เขาก็ยังมีหน้าตาที่สดชื่น เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับน้องสาวของเขา ที่หาเงินเข้าบ้านซื้อสมุนไพรมาบำรุงพี่ชายของตนเองจนหน้าตาแจ่มใสเช่นนี้
"เสี่ยวหยวน...เจ้าพาคุณชายรองไปที่ใดมาหรือ"
เด็กสาวรีบตอบทันทีเพราะกลัวว่าจะทำให้นายหญิงรองโมโห "หลายวันวันนี้เพราะอาจจะหนาวคุณชายต้องอยู่แต่ในห้อง...วันนี้บ่าวเห็นว่าอากาศอุ่นขึ้นแล้ว บ่าวจึงพาคุณชายรองออกมาเดินเล่นเจ้าค่ะ"
ซูลี่มองดูชายหนุ่มตรงหน้าที่มีท่าทางเหมือนเด็กน้อย นางก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกสงสารของนางหรือไม่ จึงรีบเดินเข้ามาจับมือของนางเอาไว้ พร้อมกับส่งรอยยิ้มประจบ ใบหน้าของเขาที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ "ดูเหมือนว่าเขาจะเหนื่อยแล้ว...เจ้าพาเขากลับเรือนเถอะ"
แต่ฉู่เหิงไม่ยอมเดินกลับไปกับเสี่ยวหยวนเขาจับมือนางแน่นแล้วพาเดินกลับเรือนไปด้วยกัน หญิงสาวคิดว่าเขาเป็นเช่นนี้ก็ดูน่ารักดี
หลังจากเดินมาถึงลานเรือน ฉู่เหิงเดินเข้าไปในห้องและนั่งรอที่เก้าอี้อย่างเชื่อฟัง แสงแดดอุ่นๆ ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง กระทบกับตัวของชายหนุ่มทำให้ผิวของเขาขาวสว่างขึ้นมาในทันตา
ซูลี่มองเขาแล้วมีความมุ่งมั่นในหัวใจขึ้นมาเต็มเปี่ยม ในเวลานี้ชายหนุ่มดูร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างมาก นางต้องขุนให้เขาอ้วนและแข็งแรงขึ้นมาอีกหน่อยจะได้มีแรงหนีออกไปจากเมืองหลวงด้วยกัน เพราะตามเนื้อเรื่องเดิมอีกไม่ถึงครึ่งปี ท่านอ๋องทั้งสามจะเริ่มก่อกบฏทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเป็นอย่างมาก
เวลาครึ่งปีนับว่าไม่นานนัก นางต้องหาทางหลบหนีไปพร้อมกับตระกูลฉู่ก่อนที่เมืองหลวงจะเกิดเหตุจราจล
ในขณะที่ซูลี่กำลังคิดวางแผนในการพาทั้งครอบครัวหนีจากเหตุการณ์หายนะ หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นกล่องขนาดเล็กที่เจ้าของร่างเดิมวางไว้บนหัวเตียง มันคือกล่องสมบัติขนาดเล็กของเจ้าของร่าง
ซูลี่อาศัยความทรงจำที่คลุมเครือในหัว ค้นหากุญแจบนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะเปิดกล่องออกมาดูสิ่งของด้านใน ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างเดิมกังวลว่าฉู่เหิงจะนำของมีค่าของตนเองออกมาเล่น จึงเก็บซ่อนเอาไว้ในกล่องใบนี้เป็นอย่างดี
หญิงสาวตาลุกวาวเมื่อเห็นเครื่องประดับหยกและปิ่นทองในกล่องมากมาย นางวางแผนที่จะจำนำเครื่องประดับเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อแลกเป็นเงิน ไม่ว่าจะยามสงครามหรือยามบ้านเมืองสงบ เงินคือของดีที่ทุกคนขาดไม่ได้อย่างแน่นอน
ในตอนเที่ยงสาวใช้นำอาหารมาจากในครัว ตั้งแต่ที่ฉู่เยว่ออกไปทำการค้าขายอยู่ที่นอกบ้าน นางก็ไม่ค่อยได้กลับมากินข้าวเย็นด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนแต่ก่อน ท่านแม่ฉู่เองก็ล้มป่วยร่างกายไม่แข็งแรงกลัวว่าตนเองจะนำโรคภัยไปให้ลูกชายและลูกสะใภ้ ดังนั้นจึงให้คนครัวจัดสำรับส่งไปให้สองสามีภรรยาต่างหาก
ซูลี่กินอาหารของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ส่วนฉู่เหิงก็คีบตะเกียบกินเหมือนเด็ก โดยมีเสี่ยวหยวนคอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง
การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มช้ามาก ซูลี่กินข้าวในถ้วยไปเกือบหมด แต่เขาพึ่งกินไปแค่สองสามคำเท่านั้น จากนั้นเขาก็อมข้าวไว้ในปากไม่ยอมกลืนมันลงไป
เสี่ยวหยวนเมื่อเห็นคุณชายรองไม่ยอมกินข้าวดีๆ นางก็รู้สึกวิตกกังวลและกลัวว่านายหญิงรองจะโมโหเจ้านายของตน แต่ยิ่งเด็กสาวพยายามบอกเขาให้กลืนข้าวลงไป อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมทำตาม
ซูลี่รู้สึกขบขันเมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวหยวนที่ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ นางจึงพูดกับบุรุษที่อมข้าวจนแก้มป่องตรงหน้า "เอาถ้วยมา...พี่สาวจะป้อนเจ้าเอง"
ฉู่เหิงจ้องมองถ้วยข้าวของตนเองด้วยสายตาลังเล ก่อนจะส่งมันมาให้นางอย่างเชื่อฟัง
ซูลี่รับถ้วยข้าวมา นางคิดว่าอาหารที่เด็กๆ ชอบคือข้าวนิ่มๆ และเนื้อสัตว์ต้มเปื่อยๆ เขามีสภาวะจิตใจที่เป็นเด็ก ดังนั้นน่าจะชอบกินอาหารเช่นนี้ นางเติมน้ำซุปเข้าไปในถ้วยข้าวตามด้วยเนื้อปลาฉีกเป็นชิ้นๆ
หญิงสาวคิดว่าถ้าหากฉู่เหิงยังไม่ยอมกินข้าวแช่น้ำซุปอีก นางก็จะสั่งให้เสี่ยวหยวนไปบอกคนครัวให้ทำโจ๊กมาให้เขา
แต่ท้ายที่สุดเมื่อนางนำถ้วยข้าวไปวางไว้ตรงหน้าของเขา อีกฝ่ายก็ยอมกินแต่โดยดี ข้าวแช่น้ำซุปนี้มันนิ่มมากทำให้เขาเคี้ยวไม่กี่ครั้งก็กลืนลงคออย่างง่ายดาย ก่อนหน้านี้ที่เขาอมข้าวไว้เป็นเพราะข้าวแห้งและฝืดคอเกินไป ทำให้เขาลังเลที่จะกลืน
เมื่อเห็นริมฝีปากบางของเขาขยับเคี้ยวช้าๆ ซูลี่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางต้องการที่จะให้ชายหนุ่มแข็งแรงทั้งขาวทั้งอ้วน
ในอนาคตเมื่อพวกเขาหนีออกจากเมืองหลวงด้วยกัน นางจะได้ไม่ต้องแบกเขาไว้บนหลัง หรือไม่ถ้านางเกิดเหนื่อยขึ้นมาก็สามารถขอให้เขาเป็นคนแบกนางหนีได้อีกด้วย
วันนี้ฉู่เหิงกินข้าวได้มากกว่าทุกวัน อาหารมื้อแรกที่ทั้งสองสามีภรรยากินด้วยกันจึงผ่านไปด้วยดี
❤️❤️ ตอนสี่มาแล้วจ้า คอมเม้นท์ กดใจ กดเข้าชั้นกันไว้นะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า❤️❤️