ทางด้านพิทยา
หลังจากได้ทบทวนถึงคำพูดของผู้เป็นบิดา ถ้าต้องเป็นแบบนั้น ถ้าบิดาแนะนำลูกชายเพื่อน ๆ ของท่านให้รู้จักกับคนตัวเล็กของเค้าจริง นับว่าเขามีศัตรูหัวใจที่น่ากลัวมากทีเดียว เพราะแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นนายตำรวจ นายทหารยศสูง ๆ กันแล้วทั้งนั้น บ้างก็เป็นระดับรองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย ก็มี คิดแล้วก็เคืองบิดามาตะหงิด ๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขาแสดงออกอะไรมากไม่ได้เพราะอายุที่ห่างกันตั้ง 15 ปี อีกอย่างสาวเจ้าไม่มีทีท่าว่าจะเหนียมอายหรือทีท่าที่บ่งบอกว่าหึงหวงในเชิงชู้สาวบ้างเลย จะแสดงออกมากไปก็ดูไม่ดีอีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักไม่สนใจสักหน่อย พ่อนะพ่อ
สักพัก
เขาบังเอิญเห็นหน้าปัดหน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบเตือนว่ามีข้อความใหม่จึงเข้าไปอ่านดู
แดนไตร: เฮ๊ยไอ้พิทบูล นายเตรียมของรับขวัญลูกชายคนโตไว้เลยนะ เมียฉั๊นท้องสี่เดือนแล้วโว๊ย..วู๊ว...
พิทยา: เหรอ ดีใจด้วย เก่งนะแต่งงานยังไม่ถึงปีเลย นายแน่มาก
แดนไตร: กว่าจะได้แต่งนี่กุรอมาตั้งสามสี่ปีเชียวนะมึง
พิทยา: เออ รับทราบตามนั้นครับ
หลังจากคุยแช็ทกับเพื่อนรักเสร็จ พิทยาแอบเห็นอนาคตของเขาและคนของใจขึ้นมาลาง ๆ นี่เราถ้าจะเพ้อเจ้อไปไกลล๊ะนะเนี่ย...เฮ๊อ...ได้แค่นี้ก็ดีโข ชายหนุ่มคิดในใจ
____________________
พิทยาพาร์ท
เวลาผ่านล่วงเลยไป แดนไตรได้ลูกชายอย่างที่มันโพนทะนาเอาไว้และคนของใจของเขากำลังขึ้นปี 6 ได้ปฏิบัติภาคสนามมากและหนักหน่วงยิ่งขึ้น อีกทั้งต้องสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้ผ่านตามเกณฑ์แพทยสภา ซึ่งหญิงสาวทุ่มเทกับเรื่องนี้อย่างมากจนไม่ได้ออกมาพบปะพูดคุยกับเขาบ้างเลยแต่เขาก็ไม่ได้น้อยใจอะไร คิดถึงก็ไปรับมาคุยด้วยโดยอ้างชื่อคุณพัฒนากับคุณพิชญาเรื่องทุกอย่างก็ง่ายขึ้น และวันนี้ก็เช่นกัน
@บ้านบริรักษ์คุณากร
"คุณพัฒนา ว่าที่คุณหมอมาโน่นแล้ว ดูพ่อตัวดีซิ จูงมือน้องเข้าบ้านยังกะไม่เคยมา" คุณพิชญาบอกเล่าให้สามีฟังอย่างหมั่นไส้ลูกชาย
"หึ่ ไอ้คนปากแข็งมันพาน้องมาแล้วเร๊อะ"
ด้านผู้มาใหม่
"สวัสดีค่ะคุณยายพิชญา สวัสดีค่ะคุณตาพัฒนา" คนตัวเล็กดึงมือเล็กออกจากมือใหญ่แล้วยกมือขึ้นกระพุ่มไหว้ผู้อาวุโสที่เคารพรักทั้งสองอย่างนอบน้อม ส่วนคนตัวโตก็ยกมือขึ้นล้วงกระเป๋าแทนแก้เก้อ
"เป็นยังไงบ้างลูกช่วงนี้เงียบหายไปเลย อ่านหนังสือหนักเหรอ หนูดูซูบไปนะ ขอบตาก็ช้ำไปนะลูก ไม่ได้ล๊ะ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จเดี๋ยวคุณยายจะประคบให้" คุณนายพิชญาเทพีนางงามขันน้ำพานรองที่มักจะเข้ามาดูแลเรื่องความสวยความงามของว่าที่ลูกสะใภ้เสมอ ๆ เอ่ยขึ้น
"เออ นั่นซิ หนูดูซูบไปจริง ๆ แหละ พักผ่อนบ้างนะลูก สุขภาพก็สำคัญนะครับว่าที่คุณหมอ ปะ ทานข้าวกันลูก ไปล้างมือก่อนไป จะได้มากินข้าว" คุณพัฒนาเอ่ยชวน
"ปะ ไปล้างมือกัน" เป็นพิทยาที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับจับจูงมือคนตัวเล็กไปที่อ่างล้างมือใกล้ ๆ อย่างเนียน ๆ ซึ่งคนตัวเล็กก็ได้แต่ทำหน้าเหรอหราทำตามไปแบบเสียไม่ได้
ต่อไปนี้เป็นเสียงกระซิบของสองตายายนะคะ
...พ่อ..ดูลูกชายพ่อซิ.../อือ..เห็นแล้ว..ไอ้คนปากแข็ง ปากบอกว่าเป็นห่วง ปรารถนาดีแต่ไม่ยอมบอกว่ารัก.../ถ้ามีใครมาปาดหน้าเค้กจะทำยังไงละพ่อ../ถ้ามันให้เค้าปาดไปได้ก็ปล่อยไปเถอะเฝ้ายังกะหมาเฝ้าเจ้าของกระดิกไปไหนได้ที่ไหนละนั่น/ นั่นซินะพ่อ..คนนอกน่ะดูออก/เด็กอมมือยังดูออกเลยแม่..นั่นมันจูงมือน้องมามาโน่นล๊ะทำยังกะน้องไม่เคยมาไม่เคยไปอย่างนั้นแหละ หึหึ...ส่วนคนที่พูดถึงกำลังจูงมือสาวเจ้ามาที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าระรื่น
"มะ มานั่งนี่ลูก" คุณนายพิชญาที่นั่งอยู่ฝั่งขวามือของสามีเรียกหลานสาวคนสวย (ว่าที่ลูกสะใภ้) มานั่งใกล้ ๆ ตน โดยพิทยานั่งฝั่งซ้ายมือของบิดาที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ
(ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาของพี่พิทยากับน้องหนูปารดีนะคะ)
..อ่ะนี่ลองชิมนี่ดู อร่อยนะ นี่อันนี้พี่ทำเอง เป็นไงบ้างพอทานได้มั๊ย.../อร่อยค่ะ/อร่อยก็กินเยอะ ๆ ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอก พี่ไม่เคยเห็นเราอ้วนสักทีเลยตั้งแต่รู้จักกันมา เราผอมไปรู้มั๊ย ไม่เห็นกันแค่เดือนเดียวเอง อย่างงี้ต้องพามาที่นี่บ่อย ๆ ซ๊ะแล้ว..
อีกด้าน
คุณพิชญาทำได้เพียงตวัดสายตาให้สามีดูพ่อลูกชายตัวดีที่คุยจ้อ ตักนี่ตักนั่นให้หลานสาวตัวเล็กของเธอคล้ายกับโลกนี้มีแค่เพียงเราสองคน ส่วนผู้เป็นสามีทำได้เพียงยกยิ้มมุมปาก อย่างดีก็พยักเพยิดใส่เพราะกลัวใครบางคนจะเขินไปเสียก่อน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพ่อคนปากแข็งที่อ้างว่าบิดามารดาของตนคิดถึงสาวเจ้าอยากคุยด้วยก็รีบจับจูงมือคนตัวเล็กไปที่ห้องนั่งเล่น จัดท่าจัดทางให้นอนแล้วรีบหาถุงชามาประคบใต้ตาให้สาวเจ้าอย่างเบามือจนสาวเจ้าหลับคาถุงประคบไปเลย
...นู่น ไอ้คนที่อ้างคนแก่พาลูกสาวเค้าไปนอนในห้องนั่งเล่นแล้วหนึ่ง... คุณพัฒนาพึมพำอยู่คนเดียว
"บ่นอะไรพ่อ"
"นู่น ลูกชายตัวดีของคุณชิ่งเอาถุงชาไปประคบให้ยัยหนูปริมล๊ะ แถมยังบังคับให้น้องนอนกลางวันอีกนั่น ดูเอา" คุณพัฒนาตอบภรรยาอย่างอ่อนระอา
"เหรอ..คะคุณ..คิ๊กคิ๊กคิ๊ก" คุณพิชญาที่ได้ฟังก็หัวเราะชอบใจเสียยกใหญ่