เจ็ดวันผ่านล่วงเลยไปในที่สุดวันที่ฉันและพ่อต้องจากกันตลอดกาลก็เดินทางมาถึง เมื่อถึงเวลาบ่ายโมงตรงไม่ขาดไม่เกิน เมฆา มนัสชัยและญาติทางฝั่งพ่อที่เป็นผู้ชายก็ช่วยกันแบกหามโลงที่บรรจุร่างของพ่อออกมาจากศาลาวัดไปยังเมรุเผาศพ ส่วนฉันก็รับหน้าที่เป็นคนถือฉากรูปของพ่อและญาติฝั่งพ่อที่เป็นผู้หญิงถือกระถางธูปตามหลังหลวงพ่อและขบวนแห่ศพมาอีกที โดยตามประเพณีแล้วนั้นเราจะต้องแห่ศพทวนเข็มนาฬิกาและแห่วนรอบเมรุอีกสามรอบด้วยกัน
จากนั้นพวกเราก็ช่วยกันนำพ่อออกมาจากโลงเย็นและวางร่างไร้ซึ่งลมหายใจของพ่อวางไว้หน้าปล่องเมรุก่อนทุกคนจะประนมมือขึ้นมาอยู่ระหว่างอกเพื่อรอรับฟังพระสงฆ์สวดอภิธรรมศพเป็นครั้งสุดท้าย
"สวัสดีแขกทุกท่านที่สละเวลาเดินทางมาร่วมแสดงความอาลัยและส่งคุณพ่อกลับคืนสู่ภพภูมิที่สงบในวันนี้นะคะ บางท่านอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าแท้จริงคุณพ่อนั้นมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน นั่นก็คือเจ้าเอยเองค่ะ แม่ของเจ้าเอยเกิดอุบัติเหตุขณะคลอดเจ้าเอยออกมาและได้จากไปก่อนคุณพ่อเมื่อสิบแปดปีที่แล้วค่ะ จึงเป็นเหตุผลให้ทั้งชีวิตของเจ้าเอยมีแค่พ่อเพียงคนเดียวที่เปรียบเสมือนโลกทั้งใบของเจ้าเอย ค่ะ...ก็ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าเอยได้เห็นพ่อทุ่มเทและทุ่มใจให้กับค่ายชนโคที่พ่อรักตลอดมา พ่อชื่นชอบกีฬาโคชนมากค่ะและพ่อก็รักโคชนในค่ายทุกๆตัวมากเช่นเดียวกัน แต่มีอยู่ตัวหนึ่งที่พ่อจะรักและรู้สึกผูกพันธ์มากเป็นพิเศษซึ่งก็คือจ้าวนิลวาโปที่ได้ล้มตายคาสนามไปเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน พ่อเคยบอกเจ้าเอยเอาไว้ว่าถ้าหากจ้าวนิลวาโปเป็นอะไรไป พ่อก็คงไม่ขออยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้วเช่นเดียวกัน ฟังทีแรกเจ้าเอยขำค่ะเพราะคิดว่ามันคงดูตลกไปหน่อยที่คนเราจะถึงขั้นยอมตายเพียงเพราะแค่สัตว์เลี้ยงที่มาด่วนจากไป มาถึงตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ เจ้าเอยขำไม่ออกแล้วค่ะเพราะหลังจากที่สิ้นชื่อจ้าวนิลวาโปคุณพ่อก็ได้ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองไปอย่างที่คุณพ่อเคยบอกเอาไว้จริงๆ ความรู้สึกเจ็บปวดจากความสูญเสียที่เจ้าเอยไม่ทันได้ตั้งตัวมันจุกแน่นอยู่ในช่องอกพาลทำให้เจ้าเอยน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้ และในทุกครั้งที่ได้ยินเสียงสวดอภิธรรมมันก็จะยิ่งตอกย้ำในความจริงที่ว่า...พ่อได้จากเจ้าเอยไปแล้ว เจ้าเอยไม่มีพ่ออีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครที่จะทำกับข้าวให้เจ้าเอย ส่งเจ้าเอยเรียนหนังสือ ไม่มีพ่อให้กอด ไม่มีพ่อให้บอกรัก ไม่มีพ่อ... พ่อที่เป็นคนเก่ง เป็นฮีโร่ และเป็นทุกๆอย่างในชีวิตเจ้าเอย วันนี้เจ้าไม่มีพ่ออีกแล้ว...และสิ่งที่ยังคงเหลือก็เห็นทีจะเป็นค่ายชนโคที่พ่ออุตส่าห์ตรากตรำสร้างมันขึ้นมาตลอดชีวิตของคุณพ่อ สุดท้ายนี้เจ้าเอยขอให้พ่อและจ้าวนิลวาโปหลับให้สบาย ในส่วนของทางนี้ขอให้พ่อจงหายห่วง และจากนี้ไปเจ้าเอยจะขอให้สัญญาว่าจะสืบทอดในทุกๆเจตนารมย์ที่พ่อได้ก่อร่างสร้างตั้งมันขึ้นมา และเจ้าเอยสัญญาว่าเจ้าเอยจะรัก เอาใจใส่โคชนภายในค่ายทุกตัวเหมือนที่พ่อทำ และจะสืบสานในอาชีพที่พ่อรักนี้ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเจ้าเอย ขอบคุณค่ะ"
เสียงปรบมือดังขึ้นประปรายหลังฉันกล่าวถึงผู้ให้กำเนิดอันเป็นที่รักเป็นครั้งสุดท้าย ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่มันกำลังจะไหลลงมาอยู่ร่อมร่อให้แห้งหายไปจากสองแก้ม ก่อนจะฝืนเผยยิ้มออกมาเพื่อหวังให้พ่อได้หลับสบายอย่างไม่ต้องมีห่วง
"เอยรักพ่อนะคะ เอยจะ...เอยจะไม่ร้อง...ไม่ร้องไห้แล้ว...ฮึก" หากแต่ต่อให้ร่างกายมันฝืนแค่ไหนแต่ความรู้สึกข้างในหัวใจก็ยังคงพาให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดมันไหลออกมาอยู่ดี
"ไอ้เม" ฉันสวมกอดเมฆาที่อ้าแขนรอรับอยู่ก่อนหน้าแล้ว ในตอนนี้รอแค่ญาติๆวางดอกไม้จันทน์เพื่อแสดงความอาลัยต่อคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พ่อจะจากฉันไปตลอดกาล...
เมื่อถึงเวลาร่างของพ่อก็ถูกเคลื่อนเข้าไปในปล่องเมรุก่อนสัปเหร่อจะจัดแจงจุดไฟเผาศพตามหน้าที่ของตัวเอง
ควันสีดำที่ลอยออกมาจากยอดเมรุช้าๆอันเป็นสัญญาณว่าพ่อได้จากฉันไปแล้วอย่างแท้จริง...
"เอยรักพ่อนะคะ เกิดชาติหน้าฉันท์ใดขอให้เราได้มาเจอกันอีกครั้งนะคะคุณพ่อ หลับให้สบายนะคะ" ฉันปิดตาลงช้าๆเพื่อปล่อยให้น้ำตาได้ทำหน้าที่ของมัน หวังว่าสักวันฉันก็คงจะเข้มแข็งและเลิกที่จะร้องไห้เสียใจได้ แต่ก็คงจะไม่ใช่ในตอนนี้ที่บาดแผลของความสูญเสียมันยังคงบาดลึกหัวใจของฉันอยู่
เช้ามืดวันต่อมาฉัน เมฆาและมนัสชัยก็ได้ช่วยกันเตรียมโกศบรรจุอัฐ น้ำอบน้ำหอม และอาหารคาวเพื่อถวายพระสงฆ์บังสกุลให้ จากนั้นจึงเริ่มเก็บอัฐิของคุณพ่อ โดยส่วนที่จะเก็บมีทั้งหมดหกชิ้นด้วยกันซึ่งก็คือ เศษกะโหลกหนึ่งชิ้น เศษแขนสองชิ้น เศษขาสองชิ้นและซี่โครงหนึ่งชิ้น
"ถึงแล้วครับ" มนัสชัยซึ่งรับหน้าที่เป็นพลขับเอ่ยบอกฉันที่ยังคงกอดกุมอัฐในส่วนที่เหลือของคุณพ่อที่ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยผ้าขาวอย่างไม่ยอมห่าง
"อืม" ฉันครางรับสั้นๆก่อนจะขยับขาสั่นๆลงไปยังลำคลองน้ำใสไหลเย็นที่พ่อมักจะพาฉันมาให้อาหารปลาอยู่บ่อยๆ ฉันตั้งใจจะมาลอยอังคารให้พ่อที่นี่และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งนี้จะช่วยให้พ่อร่มเย็นดั่งสายน้ำในอีกภพภูมิหนึ่งตามความเชื่อที่บอกกล่าวกันมาช้านาน
"หลับให้สบายครับนายหัว" มนัสชัยและเมฆาเอ่ยพร้อมกันขณะที่ฉันเองก็ตั้งจิตอธิษฐานอยู่ภายในใจ ก่อนจะค่อยๆเทอัฐิของพ่อให้ล่องลอยไปกับคลื่นระลอกเล็กๆที่ค่อยๆซัดออกไปตามลำคลองน้ำใสไหลเย็นนั้น
"ไม่เป็นไรนะครับ ยังมีพวกผมเสมอ" ชายที่เปรียบเสมือนดั่งพี่ชายที่คลานตามกันมาทั้งสองคนโอบกอดฉันเอาไว้ในอ้อมอกที่แสนจะอบอุ่น แม้อาจจะไม่อบอุ่นเท่ากอดของพ่อแต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ฉันได้ผ่อนคลายความเหน็บหนาวที่กำลังเกาะกุมอยู่ข้างในหัวใจไปได้เปราะหนึ่ง
"ฉันรักพวกแก ไอ้เม ไอ้นัส" เสียงที่เริ่มแหบแห้งเพราะผ่านการร้องไห้หนักมาตลอดหลายวันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะไม่สบายขึ้นมาเอาซะดื้อๆ
"กลับกันเถอะครับ" มนัสชัยที่เลี้ยงดูเจ้านายตัวน้อยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกพอจะสัมผัสได้ว่าหญิงสาวนั้นจะต้องมีอาการป่วยไข้เป็นแน่แท้ออกปากเอ่ยชวนคนตัวเล็กกลับบ้าน
"ไม่เห็นต้องอุ้มเลย ฉันเดินไหว" ปากปฏิเสธแต่ร่างกายของฉันมันกลับอ่อนปวกเปียกและเกิดอาการอ่อนเพลียจนแทบจะฝืนเปิดเปลือกตาอีกต่อไปไม่ไหว
"นั่น หลับไปแล้วคนเก่ง" เมฆาและมนัสชัยหันมามองหน้ากันและหัวเราะให้กับความอวดเก่งของบางคนที่อยู่ในอ้อมอกของเมฆา
"ผมกับไอ้เมเลี้ยงคุณหนูมาสิบแปดปี แค่คุณหนูไม่สบายดูไม่ออกก็แย่แล้วครับ" มนัสชัยเอ่ยอย่างอ่อนใจ มือหนาใหญ่เลื่อนขึ้นลูบหัวกลมทุยของคนคุณหนูจอมรั้นอย่างนึกเอ็นดู
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายเซ็ตดอกไฮเดรนเยีย (พี่น้องท้องเดียวกัน) ประกอบไปด้วย3เรื่อง
1) เสี่ยงรักพนันใจ (จ้าวฮั่นXเจ้าเอย) 'ไฮเดรนเยียสีฟ้า'
2) ผัวเด็กคนนี้เป็นของพี่นะครับ (จ้าวฮายXเจนซี่) 'ไฮเดรนเยียสีชมพู'
3) บุญแล้วทูลหัวได้ผัวเป็นพี่ (จ้าวฮานXยี่โถ)
'ไฮเดรนเยียสีขาว'