04-see you again

2002 Words
คืนวันผันผ่านจนครบกำหนดกักตัว 14 วัน ครอบครัวของเล้งเตรียมตัวที่จะออกจากบ้านของผู้ใหญ่ โดยได้ช่วยกันทำความสะอาดให้เรียบร้อย แม้ว่าทุกๆ วันมลจะปัดกวาดเป็นปกติอยู่แล้วก็ตาม "เก็บห้องเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหมเหมย?" มลเอ่ยถามลูกสาวที่กำลังขนข้าวของขึ้นรถ "ม๊าไม่เคยไว้ใจหนูเลยนะ หนูเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว" ลูกสาวหันไปพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ "อันนี้ของเหมยหรือเปล่า ป๊าเห็นมันแขวนไว้ในห้องน้ำ" เสียงของเล้งตะโกนดังมาจากในบ้าน คนถูกร้องถามรีบหันไปมองและพบว่า ผ้าเช็ดตัวผืนนั้นเป็นของเธอที่ลืมไว้จริงๆ เหมยหันกลับมามองที่แม่ของเธอ มลยืนเท้าสะเอวมองดูลูกสาวด้วยความเอือมระอา ไม่เคยจะเรียบร้อยอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ "แค่ชิ้นเดียวแหละม๊า แหะๆ" เล้งเดินตรวจสอบดูรอบๆ อีกครั้ง ระหว่างที่รอผู้ใหญ่บ้านเข้ามาหา เพื่อมอบเอกสารรับรองการกักตัว "สวัสดีผู้ใหญ่" "สวัสดีๆ เป็นไงบ้างผมไม่ว่างมาดูเลยพี่เล้ง" "สะดวกสบายมากเลยล่ะผู้ใหญ่" ผู้ใหญ่น้อยเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนของเล้ง ทั้งคู่เคยได้พบปะพูดคุยกันบ้างตามประสาคนบ้านเดียวกัน แต่ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ "นี่เอกสารรับรองการกักตัว อสม. กับอนามัยตำบลออกให้ เอาไว้ยืนยันว่าพี่กับครอบครัวกักตัวแล้ว" "อ๋อ ขอบใจๆ แล้วนี่ก็เอกสารยืนยันการตรวจโรคของพี่กับครอบครัวนะ พี่ตรวจก่อนจะมาแล้ว จริงๆ ก็กักตัวมาแล้ว แต่หมู่บ้านมีกฎว่าต้องกักตัวอีกก็ไม่เป็นไร" เล้งยื่นเอกสารยืนยันการตรวจโควิด 19 ของเขาและครอบครัวให้กับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่น้อยรับเอกสารไปอ่านดู เขาเองเชื่อใจว่าเล้งไม่ได้โกหกหรือปลอมแปลงเอกสารอยู่แล้ว แต่เพื่อความรอบคอบจึงต้องอ่านดูเอกสารให้ดีก่อน "งั้นผมขอถ่ายเอกสารหน่อยนะพี่ จะเอาไปให้ อสม.กับหมอที่อนามัย" "ได้เลยๆ" หลังจากที่พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว เล้งก็ขับรถมุ่งหน้าพาครอบครัวไปที่บ้านหลังใหม่ของพวกเขา จะว่าเป็นบ้านหลังใหม่ก็คงไม่เชิง เพราะก่อนหน้านี้ทั้ง 3 คนต่างก็เคยอยู่ที่นี่มาก่อนทั้งนั้น โห...บ้านดูโทรมไปเยอะเลย" เมื่อรถขับเข้าไปจอดที่ลานกว้างหน้าบ้าน เหมยที่จ้องมองดูอยู่นานก็พูดขึ้น "ธรรมดาก็ที่นี่ไม่มีคนอยู่มาตั้งเป็นสิบปีแล้วนะลูก ไปลงไปดูกันดีกว่า" เพราะข้าวของส่วนใหญ่ถูกส่งมากับรถเหมาแล้ว ทำให้เล้งไม่จำเป็นต้องขนอะไรมากมายนัก "ไงพี่อี้ มารอนานหรือยัง" เล้งตะโกนทักทายพี่สาวที่นั่งรออยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน เธอเพิ่งจะให้สามีช่วยยกแคร่ตัวนี้มาให้ เผื่อว่าเล้งกับครอบครัวอยากจะนั่งเล่นใต้ร่มไม้ อี้ไม่ได้ติดสรรพนามแต้จิ๋ว เพราะไม่สนิทกับพ่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และรู้สึกว่าการพูดติดความเป็นคนแต้จิ๋วมันทำให้เธอแปลกแยกจากคนอื่นๆ "มานั่งๆ เพิ่งมาเหมือนกัน" "ไหว้ป้าอี้เค้าสิยายเหมย" เสียงมลกระซิบบอกลูกสาว เพราะเห็นว่าเหมยเอาแต่ยืนนิ่งไม่มีทีท่าจะไหว้ทักทายเลย "สวัสดีค่ะ" เหมยโตมากับย่าก็จริง แต่สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เธออยู่ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เหมือนกับสิ่งที่ย่าอยากให้เป็นสักเท่าไหร่ พ่อกับแม่ก็ไม่ได้มีเวลาพาไปเจอใคร การเจอผู้หลักผู้ใหญ่แล้วต้องยกมือไหว้ จึงเป็นธรรมเนียมที่ถูกลบล้างออกไปจากความจำของเธอ "โห...โตเป็นสาวแล้วมันสวยจริงๆ ว่ะ เห็นตั้งแต่ตัวเล็กๆ ดำๆ ไม่เห็นหลายปีมันสวยผิดหูผิดตาไปเลย" อี้เอ่ยปากชมหลานสาว สมัยที่เหมยยังอยู่กับย่าที่นี่อี้ก็มักจะมารับหลานไปเล่นที่บ้านอยู่บ่อยๆ เพราะเธอนั้นมีลูกไม่ได้ ก่อนหน้าที่เล้งจะเอาเหมยไปเลี้ยงที่กรุงเทพ อี้ก็เคยเสนอตัวของเลี้ยงเหมยให้ "ป้าอี้ก็ยังดูสาวไม่เปลี่ยนเลยค่ะ" "พูดไป...ป้าทำงานตากแดดตากลมทุกวัน ผิวมันก็เหี่ยวก็ดำไปตามสภาพ แล้วนี่...เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วเรา" "อยู่ปี 1 ค่ะ" "เออๆ โหอยู่มหาลัยแล้วสิ เออแล้วแบบนี้จะยังไง จะกลับไปเรียนกรุงเทพ หรือจะย้ายมาเรียนแถวบ้านเรา" คำถามนี้เป็นคำถามที่เล้งเองก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน ใจเขานั้นอยากให้ลูกย้ายมาเรียนใกล้ๆ มากกว่า แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเหมยก็ต้องยอมเสียเวลาไป 1 ปี เพื่อย้ายมาที่ใหม่ เขาเองไม่ได้อยากจะกดดันลูก ปล่อยให้เจ้าตัวเป็นคนตัดสินใจเองน่าจะดีกว่า "ยังไม่รู้เลยค่ะ ก็รอดูสถานการณ์ก่อน ถ้ากิจการใหม่ของพ่อรุ่ง ก็คงจะย้ายกลับมาอยู่ใกล้ๆ บ้าน" "กิจการอะไรเหรอเล้ง?" อี้หันไปถามน้องชาย เธอยังไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขามากนัก เพราะไม่ได้มีเวลาว่างสักเท่าไหร่ "ก็...ว่าจะทำร้านอาหารตามสั่ง แต่ก็ต้องดูก่อนว่าจะทำได้หรือเปล่า" "ดี ทำสิ แถวนี้ไม่ค่อยมีร้านข้าวร้านก๋วยเตี๋ยวหรอก มีแต่ส้มตำ ตำกันจนมะละกอออกลูกไม่ทัน อยากกินข้าวต้องเหาะไปซื้อหมู่ 4 เพราะหมู่นี้มันมีอยู่ร้านเดียว คิวยาวยืด รอข้าวจนเป็นลม แล้วก็ท้ายบ้านมันมีโรงโม่อาหารสัตว์ คนงานมาจากต่างถิ่นเยอะ ก็หาข้าวกินกันยาก ไหนจะพวกครู พวกพนักงาน อบต. หมออนามัย โอ๊ยไม่ต้องห่วงเลยว่าจะขายไม่ได้ พี่เชียร์อันนี้เลยเล้ง" อี้สนับสนุนอย่างสุดตัว เธอเองก็อยากให้มีร้านข้าวดีดีสักร้านในหมู่บ้านเช่นกัน เพราะปกติแล้วเธอมีลูกจ้างทำไร่ทำนาหลายคน ถึงเวลามื้อกลางวันก็ต้องวุ่นวายหาข้าวไปเลี้ยง ไอ้ครั้นทำเองก็พอจะรู้รสมือของตัวเองว่ามันไม่ได้เอร็ดอร่อย คนทำงานมาเหนื่อยๆ เจอกับข้าวไม่ถูกปากก็ยิ่งทำให้เหนื่อยไปกันใหญ่ ร้านข้าวที่มีรสชาติพอกินได้ก็ดันคิวยาว ต้องลำบากขับรถไปรอซื้ออีกหมู่บ้าน กว่าจะไปจะมาเสียเวลาเปล่าๆ "แล้วถ้าเราทำร้านหน้าบ้านเรา มันจะเข้าท่าหรือเปล่าพี่" เล้งถามต่อ เนื่องจากว่าบ้านของเขาต้องเลี้ยวจากถนนใหญ่ แวะเข้าซอยมาประมาณ 500 เมตร เป็นถนนเส้นรองที่ไม่ได้มีรถสัญจรผ่านบ่อยๆ "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพี่ไม่เล่าให้คนนั้นคนนี้ฟังก็ได้ เนี่ยยกเพิงตรงข้างๆ ที่เอ็งจอดรถก็ถมดินสักหน่อยเวลาฝนตกตรงนั้นมันจะมีน้ำขัง ถ้าให้ดีก็เทพื้นปูนไปเลย ทำแล้วก็ทำให้มันดีๆ ไปเลย ช่างก็ไม่ต้องไปไหนไกล ไอ้วันชัยข้างบ้านเอ็งนี่แหละ" "จริงด้วยเนาะ พี่วันชัยแกรับเหมาอยู่แล้วนี่" มลเสริมขึ้น "แต่ต้องลองคุยดูนะ เหมือนมันจะไม่อยู่บ้านกันเลย พี่มาตัดหญ้าตัดกิ่งไม้ไม่เคยเห็นใครอยู่บ้านสักวัน" อี้อยู่คุยกับน้องชายและน้องสะใภ้ได้สักพักก้ต้องรีบขอตัวไปซื้อข้าวให้คนงานของเธอ ส่วนเล้งกับมลก็พากันไปเดินดูรอบบ้าน ว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง เหมยนั้นก็แยกตัวออกไปเดินดูรอบบ้านอีกฝั่ง เพราะเห็นว่ามีดอกหญ้าสีขาวขึ้นอยู่เป็นดงริมรั้ว เหมาะที่จะถ่ายรูปอัปเดตลงโซเชียล "เมี๊ยว" ขณะที่เหมยกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเลือกรูปที่จะอัปลงโซเชียล ก็มีเสียงแมวร้องดังมาจากบนรั้วเหนือหัวของเธอ "งื้อ...เหมียว มาจากไหนเนี่ย" เหมยลุกยืนขึ้นหวังจะจับเจ้าแมวส้มที่โผล่มาทักทายเธอ "ง๊าววว/โอ๊ย!!!" แต่จังหวะที่ยื่นมือออกไปจะแตะขนนุ่มฟูของมันนั้น อุ้งเท้าของมันก็ตบเข้าที่มือของเธออย่างแรง แถมยังฝากรอยเล็บเอาไว้พร้อมกับเลือดที่ไหลซิบออกมา "อื้อฮือ เป็นแผลเลย" เหมยบ่นพึมพำกับตัวเอง "โบ้!!" เสียงของใครบางคนทำให้เหมยต้องเงยหน้าขึ้นมามองดูที่รั้วฝั่งตรงข้าม เขาคือผู้ชายที่เหมยรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี เหมยนึกถึงภาพของเด็กชายหัวเกรียนวัย 8 ขวบที่มีอาวุฒิคู่กายเป็นกระชอนผ้าสำหรับช้อนปลา แม้ว่าตอนนี้ผมบนหัวของเขาจะยาวกว่าตอนนั้น รูปร่างของเขาที่ดูโตขึ้น แต่แววตาที่มองมานั้นก็ยังคงเหมือนเดิม "วิน...วินใช่ปะ" กวินมองดูหญิงสาวที่ยืนกุมมือตัวเองฝั่งรั้วตรงข้าม เธอดูคลับคล้ายคลับคลา แต่แววตาที่ดูเป็นประกายแบบนี้ ก็ทำให้เขานึกได้อยู่คนหนึ่ง เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ตื่นเต้นกับทุกสิ่งรอบตัว แววตาของเธอจะเปล่งประกายทุกครั้งที่พบเจอกับเรื่องที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น "เหมย...เหรอ?" "อือ แล้วนี่วินยังอยู่นี่อยู่ที่นี่เหรอ หรือแค่กลับมาช่วงวันหยุด" กวินขมวดคิ้วงุนงงกับคำถาม เขาจะไปไหนกันเล่า ก็นี่มันบ้านของเขา "เปล่า...เราไม่ได้ไปอยู่ไหน เราก็อยู่บ้านนี่แหละ จะให้เราไปอยู่ไหนล่ะ ก็บ้านเราอยู่ที่นี่" "ก็เผื่อไปเรียนที่อื่นไง แบบไปอยู่หออะไรแบบเนี้ย" "สถานการณ์แบบนี้ ที่ไหนก็กลับบ้านมาเรียนออนไลน์ทั้งนั้นแหละ" "จริงด้วย ลืมเลย" "แล้วบ้านเหมยล่ะ กลับมาเที่ยวหรือมาอยู่ยาว" "ก็น่าจะอยู่ยาวแหละ เพราะ...ร้านอาหารที่กรุงเทพปิดกิจการไปแล้ว" เหมยตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า กวินเข้าใจแล้วว่าที่หญ้ารอบบ้านถูกถางไปจนหมด คงเพราะเหตุนี้ "อ๋อ แล้ว...เหมยก็กลับมาอยู่ด้วยเหรอ" "ใช่ แต่เราก็ยังไม่แน่ใจนะว่าจะกลับไปเรียนที่กรุงเทพต่อหรือเปล่า" กวินพยักหน้ารับ เหมยนั้นรุ่นเดียวกับเขา ก็คงจะกำลังเรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัยปีแรก นี่ก็กินเวลาไปค่อนเทอมแล้ว ถ้าย้ายกลับมาเรียนที่นี่ก็คงเสียเวลาเปล่าๆ ไปปีหนึ่ง "แล้วเมื่อกี้โดนไอ้โบ้กัดเหรอ เราได้ยินร้องลั่นเลย" "ไอ้โบ้?" เหมยทวนคำที่น่าจะเป็นชื่อเรียกของไอ้แมวส้มตัวแสบนั่นอีกครั้ง "ใช่ มันชื่อโบ้แมวเราเอง คงจะมาแอบดูเพื่อนบ้านใหม่ มันชอบไปหาจับหมูแถวบ้านนั้น พอเห็นว่ามีคนมาอยู่น่าจะหวงที่" "ตั้งชื่อแมว...ว่าโบ้เนี่ยนะ ฟังแล้วอย่างกับชื่อหมาเลย" "มีแต่คนบอกแบบนี้ตลอดเลย" "ก็มันจริง" เหมยยืนคุยกับกวินที่ริมรั้วอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเล้งร้องเรียกให้ไปดูห้องนอน ว่าต้องการจะแก้ไขต่อเติมอะไร ทั้งคู่จึงได้แยกย้ายกันไป แต่เหมยยังคงมองไปทางบ้านของกวินพร้อมกับเห็นภาพความทรงจำในวัยเด็ก ช่องเล็กๆ ที่เธอเคยมุดลอดข้ามไปฝั่งบ้านของกวินถูกตีปิดไปแล้ว หลังบ้านที่เคยเป็นลานโล่ง สำหรับเล่นหม้อข้าวหม้อแกง ก็ถูกสร้างโรงเรือนอะไรสักอย่าง มีเพียงแค่เศษซากภาพอดีตครั้งวันวานที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเหมยเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD