น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา มือก็ค่อยๆ เลื่อนชามข้าวต้มขาวไปใกล้ แต่พ่อก็ไม่ว่าอะไร นอกจากจ้องมองอาหารอันน่าเบื่อตรงหน้า แล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะยอมจับช้อนไปคนข้าวต้มในชามกระเบื้องมีควันโชยออกมาช้าๆ
“ผักที่บ้านมีเยอะแยะ ไม่ใช้สารอะไรด้วย แกจะอวดร่ำอวดรวยซื้อมาทำไมกัน ที่ว่าไม่ใช้สารเคมีน่ะ ถามจริงๆ ว่าแกโง่เชื่อมันด้วยเหรอ ไม่มีทาง! ทีหลังก็ไม่ต้องซื้อมา อยากกินอะไรฉันจะปลูกเอง ไม่ต้องอวดรวยกับฉันหรอก”
สี่ชีวิตต่างไม่มีใครเอ่ยอะไร เมื่อประมุขของบ้านส่งน้ำเสียงอันห้วน ไปหาลูกคนโตอย่างไม่แยแส ว่าจะรู้สึกยังไง ของในถุงกระดาษ ถูกมือบางเลื่อนไปซ่อนไว้ข้างหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเช้านี้พ่อคงอารมณ์ไม่ดี และการมอบให้คงไม่ใช่เวลาเหมาะสมนัก
“นั่นอะไรล่ะ!”
ขจรปรายตาไปทางถุง หลังตักข้าวต้มเข้าปากไปได้แค่คำเดียว ทำเอาลูกต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ และพร้อมรับคำด่าว่าจากพ่อในไม่ช้าอีกคำรบ มือก็ยกถุงมายื่นให้พ่อ
“เมื่อวานเงินเดือนออกน่ะค่ะ มีคนไปขายเสื้อผ้าด้วย ไวน์เห็นว่าตัวนี้เหมาะกับคุณพ่อ ก็เลยซื้อมาไว้ให้ใส่ไปวัดพร้อมน้าดาค่ะ ไวน์เห็นว่า...”
“ผ้าไหม! ใครจะใส่กัน ร้อนจะตาย!”
ลูกยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ พ่อก็สวนขึ้นทันควัน ไม่หันไปมองเสื้อผ้าไหมสีครีมด้วยซ้ำ แต่กลับก้มมองจานอาหาร ประหนึ่งอยากกินเสียเต็มประดา
ทั้งๆ ที่ทุกคนก็รู้ ว่าคนป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสองอย่างเขานั้น วันๆ แทบไม่อยากตักอาหารเข้าปากด้วยซ้ำ
“ทีหลังอย่าริมาอวดรวยกับฉันอีก ฉันไม่ชอบ!”
พิมพ์ภิษาพยายามข่มความเจ็บช้ำไว้ภายใน จากการกระทำและน้ำคำของพ่ออยู่เงียบๆ แม้จะชาชินมานานนม กระนั้นก็ยังไม่เคยกำจัดความเสียใจออกไปได้สักที แต่เธอรู้ดีว่าถ้าได้ไปอยู่ที่ไหนก็ตามที่ห่างรัศมีการมองเห็นของพ่อ เธอจะปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาได้ไม่ยากเย็นเลยสักนิด
“แกได้เงินเดือนเยอะนักเหรอ กับการทำงานเป็นขี้ข้าคน คอยกราบคอยไหว้มันมือเป็นหงอน คอยประจบสอพลอพวกมันเหมือนเป็นข้าทาส แล้วยังจะสะเออะมาคิดว่าตัวเองมีเงิน ซื้อของมาฝากคนนั้นคนนี้อีก แกนี่มันโง่เหมือนแม่แกไม่มีผิด”
ทั้งสี่ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีกตามเคย นอกจากนั่งนิ่ง หรืออยากจะหนีลงไปใต้ถุนบ้านแทน แต่ไม่มีใครกล้า ถ้าประมุขของบ้านไม่เอ่ยปากบอกหรือไล่ให้ไป
เพราะเคยมีครั้งหนึ่งลิลรดารับกับพฤติกรรมและคำพูดของพ่อ ที่มีต่อแม่กับพี่สาวคนโตไม่ไหวเลยหนีลงไป
เท่านั้น จานอาหารตรงหน้าพ่อก็ถูกขว้างใส่ตามหลังไปทันที เคราะห์ดีที่มันตกใส่พื้นไม่ใช่หลังของลิลรดา
“แทนที่จะอวดรวยซื้อเสื้อมา ทำไมแกไม่เอาเงินมาไว้ซื้อข้าวของจำเป็นในบ้านแทนล่ะ หรือว่าตัวเองไม่อยู่นี่แล้ว ก็ไม่คิดจะสนใจดูดำดูดีใครแล้ว”
“เปล่าค่ะคุณพ่อ! ไวน์ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยค่ะ นี่ไวน์เตรียมมาไว้ให้แล้วค่ะ”
ซองสีขาวในกระเป๋ากางเกง ถูกลูกสาวยื่นไปวางไว้ตรงหน้าพ่อทันที แต่พ่อกลับไม่สนใจจะหันมอง ยังคงจ้องจานอาหารอยู่อย่างนั้น ทำเอาทุกคนต่างอ่อนใจไปตามๆ กัน
“อย่าคิดว่าฉันจะหยิบจับเงินแกมาใช้ เพราะเงินแค่หยิบมือที่แกให้มา มันไม่พอค่าใช้จ่ายของฉันด้วยซ้ำ และฉันหวังว่าเงินที่แกซื้อข้าวของพวกนี้ จะมาจากการทำงานนะ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นให้ฉันอับอายขายหน้าผู้คนแถวนี้ เหมือนที่แม่แกเคยทำ”
พิมพ์ภิษามองตามซองเงิน ปลิวจากมือพ่อไปตกอยู่บนพื้นด้วยหัวใจเจ็บปวดยิ่ง แม้นี่จะไม่ใช่การกระทำรุนแรงสุดของพ่อที่เคยประสบมา แต่ก็ไม่เคยทำใจให้ยอมรับได้สักครั้ง พร้อมกับคำถามว่า เธอเป็นลูกพ่อหรือลูกใครกันแน่ พ่อถึงได้ทำกับเธออย่างนี้
“จะมัวมานั่งบื้่ออะไรล่ะ งานการไม่มีทำเหรอ หรือว่ารวยแล้ว ไม่ต้องทำงานก็มีกินกันแล้ว”
นั่นถือเป็นคำอนุญาตผ่านการไล่จากประมุขของบ้าน พิมพ์ภิษากับน้องๆ คลานออกจากหน้าพ่อไปหลายช่วงตัว ถึงได้ลุกขึ้นเดินลงบันได
น้ำตาที่อัดอั้นเอาไว้ ก็ไหลรินอาบสองแก้มออกมาด้วย แม้จะปกปิดไว้สักแค่ไหน แต่น้องต่างรู้ดีว่าพี่กำลังร้องไห้ เลยเดินมากอดพี่ไว้ด้วยความรักและสงสารยิ่ง
“พี่ไวน์อย่าไปสนใจเลยนะจ๊ะ คุณพ่อก็เป็นแบบนี้ตลอดนั่นล่ะ เราเตรียมของไว้ไปขายดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงบ่นไง”
น้องคนเล็กผู้เป็นคนตรง คิดอะไรก็มักจะพูดอย่างนั้น ซึ่งได้ผู้เป็นพ่อมาเกือบทั้งหมด
“ตอนพี่ไม่อยู่พวกเราก็ถูกคุณพ่อว่าแบบนี้เหมือนกันจ้ะ”
ลิลรดีเองก็ปลอบใจพี่แบบเดียวกัน แม้จะรู้อยู่เต็มอก ว่าพ่อไม่เคยดุด่าว่าตัวเองกับน้องรุนแรงเท่าพี่สักแค่ไหน แต่เพราะความเป็นคนรู้จักหลบหลีก หรือไม่ทำให้ใครเสียใจซึ่งได้นิสัยนี้ของแม่มา
พิมพ์ภิษารู้ดีว่าน้องพยายามทำให้ตัวเองสบายใจและหายเศร้า เลยไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้น้องเห็นมากนัก
“ขอบใจมากจ้ะ พี่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่จะไปเก็บกวาดร้านรอ ถ้าเสร็จแล้วก็ค่อยขนไปนะ”
จบคำพิมพ์ภิษาก็คว้ากระเป๋าสะพาย ตรงไปหารถแล้วขับออกจากบ้านไปช้าๆ เพราะกลัวเสียงจะสะเทือนถึงหูพ่อ จนกลับมาต้องถูกด่าทอด้วยถ้อยคำแรงๆ เหมือนที่เคยเป็นมาอีก