5
ทั้งสองเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อย ๆ จากเรื่องนั้นเป็นเรื่องนี้ มีเสียงหัวเราะเบาๆ ไหลผ่านจากลำคอสาวยามที่ตะวันพูดเรื่องขำขันให้ได้รับฟัง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอนั้น มีอิทธิพลกับตะวันมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะมองภาพนั้นครั้งใด เขารู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาด ไม่เบื่อหน่ายต้องการฟังเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะและมองดูรอยยิ้มละไมของเธอไปตลอดชีวิต
“จอดตรงนี้แหละตะวัน” หทัยชนกเอ่ยบอกสารถีหนุ่ม “ขอบใจตะวันมากนะที่มาส่งรุ้ง” เจ้าของรอยยิ้มสวยกล่าวคำขอบคุณเมื่อรถยนต์ของเขาจอดนิ่งที่หน้าบ้านของเธอ
“ไม่เป็นไร ตะวันเต็มใจ” ตะวันตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“รุ้งไปก่อนนะ” เธอหันมาบอกคนขับรถหนุ่มอีกครั้ง
“พรุ่งนี้รุ้งจะไปหาเกตุเหรอ?” เขาเอ่ยถามขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตูรถ
“ใช่ กะว่าจะชวนเกตุไปซื้อของ”
“งั้นพรุ่งนี้ตะวันมารับนะ ตั้งใจจะไปหาเกตุเหมือนกัน” หทัยชนกนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“รุ้งไปเองดีกว่า ไม่อยากกวนตะวัน”
“ไม่กวนหรอก บ้านตะวันก็อยู่ไม่ไกลมารับรุ้งได้สบาย ไม่ต้องกลัวตะวันจะลำบากนะ แล้วไม่เป็นการกวนด้วย” น้ำเสียงตั้งมั่นและจริงจังของตะวัน ทำให้เธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธ
“พรุ่งนี้ตะวันมารับรุ้งตอนบ่ายโมงก็แล้วกัน” ตะวันยิ้มร่าเมื่อได้ยินคำพูดที่ตนเองต้องการ
“พรุ่งนี้บ่ายโมงตะวันจะมารับนะ” เขานัดแนะอีกรอบ
“จ้ะ รุ้งไปก่อนนะ” ฝ่ายหญิงพูดจบก็เปิดประตูรถแล้วก้าวลงจากรถทันที โดยมีสายตาของตะวันมองตามร่างอรชรที่ไขประตูรั้วบ้านแล้วเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ด้วยรอยยิ้ม วันนี้หัวใจของเขาอิ่มเอิบและมีความสุข ที่ได้รู้จักผู้หญิงน่าตาน่ารัก มีรอยยิ้มที่สวยงามและมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจของเขาในวินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าเธอ แล้วเขาก็เชื่อว่าจะต้องได้เห็นหน้าหทัยชนกทุกวัน
นับจากวันนี้เป็นต้นไป
วันรุ่งขึ้น
ตะวันเคลื่อนรถเข้ามายังซอยบ้านของหทัยชนกก่อนเวลานัดหมายเล็กน้อย พอขับรถไปถึงหน้าบ้านของหญิงสาวที่ตนจะมารับก็พบว่าเธอมายืนรอหน้าประตูบ้าน เขาจึงจอดรถเทียบตรงจุดที่หทัยชนกยืนอยู่
“มายืนรอนานหรือยัง?” ตะวันเอ่ยถามหทัยชนกหลังจากที่เธอสอดตัวเข้ามานั่งในรถ
“ไม่นานหรอก แป๊บเดียวเอง” เธอหันมาตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นเคย
“เมื่อสายๆ ตะวันโทรไปบอกเกตุว่าจะไปรับรุ้ง เกตุก็เลยบอกว่าให้ไปเจอกันที่ห้างเลย จะได้ไม่ต้องเทียวไปรับเกตุที่บ้าน” ตะวันเอ่ยบอกหญิงสาวที่นั่งมาในรถด้วย ทำความเข้าใจให้เธอได้รับรู้
“เกตุโทรมาบอกรุ้งเมื่อตอนเที่ยงแล้ว รุ้งก็ว่าดีเหมือนกันจะตะวันจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา” หทัยชนกเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนตัวอ้วน
“ตะวันยอมเสียเวลาเพื่อมารับรุ้งนะ ไปรับไปส่งได้ไม่ว่าจะไกลมากแค่ไหน ขอเพียงผู้หญิงคนนั้นคือรุ้ง” เขาหันมาพูดกับสตรีที่นั่งอยู่เบาะด้านข้าง ดวงตาคมเข้มคู่นั้นจริงจังเสียจนใจสาวหวั่นไหว เต้นโครมคราม
แล้วคำพูดของเขาก็ทำให้สาวเจ้าหน้าแดงระเรื่อกับความหมายที่ไม่ต้องแปล เธอกำลังคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ว่า ตะวันต้องการจะจีบเธอ อาการเขินอายจึงเกิดขึ้น เลือดแห่งความอายประดับบนดวงหน้าสวย ลักยิ้มขึ้นตรงกลางแก้มเมื่อเจ้าของอมยิ้ม
ภาพดวงหน้าน่ารักน่ามองของหทัยชนกเวลานี้ ชวนพิสมัยยิ่งนัก ยิ่งมองยิ่งเพลิน ยิ่งทำให้หัวใจของตะวันกระตุกแรงมากขึ้น
“เดี๋ยวรุ้งก็ต้องขึ้นไปเชียงใหม่ ตะวันคงไม่ต้องเสียเวลาไปรับไปส่งรุ้งแล้วล่ะ”
“รุ้งไปเชียงใหม่ตะวันก็ขับรถไปรับไปส่งรุ้งได้ ระยะทางมันไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคของตะวันเลย ปัญหาของตะวันก็คือ รุ้งจะยอมให้ตะวันทำอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้ายอมตะวันจะดีใจมาก แต่ถ้าไม่ยอมตะวันจะเสียใจเป็นที่สุด”
น้ำเสียงที่ดูจริงจังระคนน่าสงสารของตะวัน ทำให้คนที่ได้ฟังเกิดความขวยเขินอย่างหนัก หน้าแดงก่ำ มือเย็นเฉียบ ก้มหน้างุดหนีความเขินอาย
ตะวันขับรถมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่นัดหมายกันไว้ทันที ระหว่างทางนั้นฝ่ายชายก็สรรหาเรื่องมาพูดคุย รวมทั้งเรื่องขำขันมาเล่าสู่ให้ฝ่ายหญิงได้หัวเราะ และอมยิ้มกับมุกเสี่ยวๆ ที่ตะวันจะสื่อให้หทัยชนกได้รู้ว่า เขากำลังจะจีบเธอ
แต่น่าแปลกที่ว่า เมื่อเธอรู้ว่าอีกฝ่ายคิดกับเธอเกินคำว่าเพื่อน แทนที่ตนเองจะปิดกั้นตัวเองเหมือนทุกครั้งที่มีผู้ชายมาติดพัน โดยการไม่พูดคุย เธอจะใช้ความนิ่งเป็นเกราะกำบัง การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
เธอกลับพูดคุย หัวเราะ โต้ตอบกับตะวันได้มากกว่าชายคนอื่น อีกทั้งไม่มีชายคนไหนเลยที่จะทำให้หัวใจดวงนี้เต้นแรงได้เท่ากับผู้ชายที่ชื่อตะวัน คำพูดบ้านๆ แต่กลั่นออกมาจากใจ ส่งผลให้ประตูที่ปิดเริ่มแง้มทีละนิดโดยไม่รู้ตัว หรืออาจะเป็นเพราะดวงตาดำขลับคู่นั้นที่ประสบในครั้งแรกที่เจอ มันทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว แล้วตราตรึงอยู่ในหัวใจในฉับพลัน
อีกราวหนึ่งชั่วโมงเศษทั้งสองก็เดินทางมาถึงจุดนัดพบ พอไปถึงก็พบว่าอัญญาณีได้นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
“มาช้านะไอ้ตะวัน” อัญญาณีเปิดฉากพูดทันทีที่เห็นหน้าเพื่อน
“รถมันติดน่ะ รีบสุดๆ แล้วนะเนี่ย” ตะวันไม่ได้แก้ตัว พูดตามความจิรง
“รถมันติดจริง ๆ เกตุ ตะวันก็รีบสุดๆ แล้วนะ” หทัยชนกพูดเสริม
“ไปซื้อของกันดีกว่า ซื้อเสร็จเดี๋ยวค่อยมากินข้าว วันนี้ตะวันมันเลี้ยงถล่มมันให้ตัวแบนเลย โทษฐานที่มาช้า” คนตัวอ้วนบอกชายร่างสูง
“สำหรับเกตุถล่มมาเลยเลี้ยงได้อยู่แล้ว แต่สำหรับรุ้ง ตะวันจะเลี้ยงข้าวไปตลอดชีวิตเลย”
ตะวันรุกคืบทันที สาวร่างสวยยิ้มเขิน หน้าแดงเถือก หยิกแขนอัญญาณีเบา ๆ แก้เขิน
“ไปกันได้แล้ว อยู่ตรงนี้นาน ๆ แขนฉันเขียวแน่ ๆ”
คนที่ถูกหยิกเปิดปากพูดพลางลูบแขนข้างที่โดนหยิก ก่อนที่ทั้งสามจะเดินไปยังร้านค้าต่าง ๆ ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า เพื่อเลือกซื้อของที่ตนเองต้องการ แน่นอนที่คนถือของก็คือตะวันที่เดินตามสองสาวต้อย ๆ ประหนึ่งคนรับใช้
...ตำแหน่งที่เขาเต็มใจทำที่สุด
หลังจากที่สองสาวและหนึ่งหนุ่มเลือกซื้อของที่ส่วนใหญ่จะเป็นของหทัยชนกร่วมสามชั่วโมง ความหิวก็มาเยือนกระเพาะของคนทั้งสาม ฉะนั้นสถานที่ต่อไปที่ทุกคนพร้อมใจกันไปก็คือ...ร้านอาหาร
“รุ้งกินเยอะๆ นะ อาหารพอหรือเปล่าถ้าไม่พอเดี๋ยวตะวันสั่งมาเพิ่ม”
ตะวันเอาอกเอาใจหทัยชนกเต็มที่ เธอไม่ต้องทำอะไรนอกจากทานอย่างเดียว เพราะมีตะวันคอยตักอาหารใส่จานให้อย่างต่อเนื่อง จนบางครั้งแทบจะป้อนให้เลยก็ว่าได้ นำพาความหมั่นไส้มาให้กับอีกคนหนึ่งที่ตะวันแทบจะไม่รู้สึกว่านั่งอยู่ด้วย