“ตะวัน? ...จะกลับแล้วเหรอ”
เสียงอู้อี้ดังขึ้น ผมกำลังสวมเสื้อผ้าอยู่ข้างเตียง อุตส่าห์ทำอย่างเบามือที่สุดจะได้ลอบออกไปเงียบๆ แต่ไอ้ไนท์ดันตื่นก่อนซะได้ มันขยับตัวขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า จ้องผมตาปรือ ตอนนี้ไม่มีแผ่นปิดตาแล้วทำให้เห็นสีหน้าของมันได้ชัดขึ้น
นึกถึงความหื่นกระหายของตัวเองก่อนหน้านี้ทำให้ผมกระดาก ไม่อยากทำตัวแข็งกระด้างใส่มัน
“อือ” ผมส่งเสียงตอบสั้นๆ ก้มลงจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ระหว่างนั้นไอ้ไนท์ก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ข้างเตียงมาเปิดเครื่อง
ที่เสียงโทรศัพท์เงียบไปผมนึกว่ามันแค่ตัดสายทิ้ง คิดไม่ถึงว่าจะปิดเครื่อง ตอนนั้นผมไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องหยุมหยิม แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ที่มันปิดเครื่องไม่ยอมรับสายคนที่โทรมาเพราะอยู่กับผมเมื่อคืน
ผมทอดถอนใจ ยิ่งคิดก็เหมือนยิ่งต้อนตัวเองเข้ามุมอับที่มีแต่ความสลดหดหู่รอเขมือบจิตใจอยู่
“หกโมงเช้า” ไอ้ไนท์เอ่ยอย่างขี้เกียจ ท่าทางเหมือนอยากล้มตัวลงนอนต่อแต่เพราะผมทำให้มันยังนั่งอยู่แบบเดิม “โกรธเหรอ”
ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว สุ้มเสียงราบเรียบก็ดังขึ้น ผมเหลือบมองแค่สายตาร่างกายไม่ได้ขยับตาม ยังคงประหยัดคำพูดตอบมันเหมือนเดิม
“เปล่า”
ไอ้ไนท์ถอนหายใจอย่างเดาทางผมไม่ถูก อย่าว่าแต่มันเลยแม้แต่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ผมแค่จะเอาคอนแทคเลนส์มาให้มัน แต่เหตุผลข้อนั้นถ้าเอามาคิดอย่างละเอียดแล้วก็เหมือนข้ออ้างที่ผมใช้เพื่อจะเจอมันมากกว่า ต่อให้ผมบอกว่าไม่ใช่ พูดไปตอนนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อแล้ว
“เอาน่า กูไม่ให้มึงมาสู่ขอสักหน่อย จะทำหน้าเครียดขนาดนั้นทำไม”
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำหน้ายังไงอยู่ แต่คำพูดไอ้ไนท์ก็ทำผมแทบกัดลิ้นตัวเอง อดใจหายใจคว่ำไม่ได้ต่อให้รู้ว่ามันแค่หยอกเล่นก็เถอะ
“กู...” ผมกระอึกกระอักไม่รู้ควรเถียงกลับยังไง อีกฝ่ายกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ มองผมเหมือนกำลังเวทนาเด็กน้อยคนหนึ่ง
“เรื่องคอนแทคเลนส์ขอบใจแล้วกัน ถือซะว่ากูกับมึงเจ๊ากันแล้ว วินวินทั้งคู่ กูไม่เอาเรื่องมึง มึงก็อย่าถือสาหาความเก็บไปคิดมาก กูไม่พูดมึงไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ติดใจอะไรแล้วก็ตามสบาย”
...หรือก็คือเชิญกลับได้ คำว่าตามสบายของไอ้ไนท์ก็คือการไล่คนอย่างสุภาพนั่นเอง
ผมไม่พอใจที่ถูกทำเหมือนเป็นเด็กอมมือแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตกอยู่ในความสับสน ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเผชิญความจริงอย่างตรงไปตรงมา ผมเดินออกจากห้องไอ้ไนท์ด้วยความรู้สึกคลุมเครือแบบนั้น
“เฮ้ย หมูกระทะเมื่อคืนเป็นไงวะ อร่อยเปล่า”
ไหล่ผมถูกตบพร้อมกับเสียงกวนๆ ของไอ้เก้าดังขึ้น ผมหันไปมองต่อให้มันไม่รู้ว่าผมมีลับลมคมในกับไอ้ไนท์ ผมก็อดที่จะร้อนตัวไม่ได้
“เออ อร่อยกว่าร้านข้าวแกงหน้าหอมึงอ่ะ”
ไอ้เก้าทำเสียงชิชะใส่ผม ก่อนทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม หน้าตามันถึงไม่หล่อฟ้าประทานแต่ก็จัดว่าดีกว่าคนทั่วไปอยู่หลายส่วนแต่สภาพที่โผล่มามหาลัยในแต่ละครั้งกลับดูเหมือนซอมบี้เข้าไปทุกวัน
“นี่มึงนอนบ้างป่ะวะ” ผมมองใต้ตาดำคล้ำของมันอย่างนึกเป็นห่วง รู้ว่ามันชอบเล่นเกม แต่เรื่องแบบนี้พูดไปก็เหมือนจู้จี้ มีแต่จะสร้างความลำบากใจให้ทั้งสองฝ่าย
“รอนอนทีเดียวหลังเรียนเสร็จ”
“....” ผมหมดคำจะพูด
ระหว่างที่กำลังสนทนาเรื่องไร้สาระกับไอ้เก้าไม่นานไอ้แต้มกับไอ้เอิร์ธก็มาถึง พวกผมทักทายกันไม่กี่คำก็รีบขึ้นตึกเพราะใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว
“เฮ้ยเมื่อกี้กูเจอบีบีด้วยว่ะ” ไอ้แต้มพูดขณะเดินขึ้นบันได
“เหรอ ที่ไหน” ผมถามอย่างไม่ใส่ใจ วันนี้บีบีเองก็น่าจะมีเรียน ไอ้แต้มเจอก็ไม่มีอะไรแปลก
“หน้าตึกบัญชี ใครมาส่งไม่รู้ รถอย่างเท่”
“มึงเอารถมาไหมวะ ส่งกูหน่อย ไม่ไหวละ ง่วงสัส” เลิกเรียนไอ้เก้าโผเข้ากอดคอผมด้วยท่าทางอ่อนล้า หน้าตาหมองคล้ำเหมือนโดนทำของใส่
“อืม จอดอยู่ข้างตึก” ผมบอกพลางเดินตรงไปที่ประตูห้องเรียนพร้อมไอ้เก้า ไม่ได้ผลักมันออก เอิร์ธกับแต้มลุกขึ้นเดินตามมาด้านหลัง
“มึงไปส่งกูด้วยดิ” เอิร์ธเอ่ยขึ้น ในพวกผมมีไอ้เอิร์ธที่อยู่หอไกลสุด ผมพยักหน้าตอบรับโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะหันไปหาไอ้แต้ม
“แล้วมึงล่ะ จะให้กูส่งด้วยไหม”
ไอ้แต้มชำเลืองมองไอ้เก้าที่กอดคอผมอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า
“กูเดินกลับเองไวกว่า”
“อืม งั้นเจอกันพรุ่งนี้” ผมพยักหน้าอย่างไม่ขัดข้อง เพราะกว่าผมจะไปส่งไอ้เก้าแล้ววนรถออกมา ไอ้แต้มก็น่าจะเดินถึงหอพักมันพอดี
“เจอกันแต้ม” เอิร์ธเอ่ยลา
“อืม” ไอ้แต้มส่งเสียงในลำคอตอบ มันกวาดตาผ่านผมกับไอ้เอิร์ธแล้วหยุดอยู่ที่ไอ้เก้าแวบหนึ่งก็หมุนตัวเดินออกไป
อืม… ทำไมผมรู้สึกว่าระหว่างไอ้เก้ากับไอ้แต้มมีอะไรแปลกๆ คล้อยหลังไอ้แต้มไปผมก็เอ่ยขึ้นอย่างลังเล
“พวกมึงมีเรื่องกันหรือเปล่า”
“หืม” ไอ้เอิร์ธมองผมอย่างสงสัยเหมือนไม่เข้าใจในตอนแรก แต่พอเห็นสายตาผมจ้องไปที่ไอ้เก้า ไอ้เอิร์ธก็ถึงบางอ้อ มองไอ้เก้าด้วยความรู้สึกเหมือนกัน
“ไม่มี กูง่วงจะตายแล้ว รีบๆ พากูไปส่ง” ไอ้เก้ารบเร้า
“เออๆ”
ผมเลิกซักไซ้ต่อ เดินนำไอ้เก้ากับไอ้เอิร์ธไปที่รถ
ส่งไอ้เก้าเสร็จ ผมก็พาไอ้เอิร์ธไปส่งที่หอ ระหว่างอยู่ในรถตามลำพัง ไอ้เอิร์ธที่นั่งเบาะข้างๆ หันมามองผมอยู่หลายรอบ จากที่ผมไม่รู้สึกอะไรก็เริ่มจะประหม่าขึ้นมา อดระแวงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้... หรือไอ้เอิร์ธมันจะรู้วะ แต่ไอ้ไนท์มันบอกชัดเจนว่าถ้ามันไม่พูดผมไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ แล้วไอ้เอิร์ธจะรู้ได้ยังไง
“มีอะไร จ้องอยู่นั่น จะพูดอะไรก็พูด” ผมเอ่ยอย่างรำคาญ
“มึงคิดอะไรอยู่วะ”
“หา!” ผมสะดุ้งโหยง หันไปมองไอ้เอิร์ธเลิ่กลั่กก่อนจะดึงสายตากลับมามองทางข้างหน้า ละล่ำละลักถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ “มึงหมายความว่ายังไง”
“กูเห็นมึงทำหน้าเครียดทั้งวัน อย่าบอกนะ”
“อะไร” ผมผวา ชำเลืองมองมันอย่างร้อนๆ หนาวๆ
“ปะเปล่า กูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มึงคิดมาก” ไอ้เอิร์ธมองท่าทางลุกลี้ลุกลนของผมพลันสีหน้ามันก็เปลี่ยนเป็นกระวนกระวายกว่าผมซะอีก มันเงียบเสียงอย่างลังเลไม่รู้ควรพูดต่อหรือพอแค่นี้
“มึงอยากพูดอะไร” ผมหยั่งเชิงไอ้เอิร์ธ ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แต่ก็ขจัดความสงสัยออกไปไม่ได้ เพราะท่าทางมันเหมือนรู้อะไรมา
“เรื่องบีบีที่ไอ้แต้มพูดถึงเมื่อตอนกลางวัน”
“บีเหรอ” ผมอึ้ง ดันลืมเรื่องนั้นไปซะสนิท พอรู้ว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมไปหาไอ้ไนท์เมื่อคืนค่อยหายใจโล่งขึ้นมาหน่อย แต่ผมที่เพิ่งรู้ตัวว่าหมกมุ่นเรื่องไอ้ไนท์จนลืมสนใจรอบข้างก็ตกใจตัวเองไม่น้อยเหมือนกัน
ถูกไอ้เอิร์ธสะกิดเรื่องบีบี ทำให้ผมนึกถึงตอนที่เจอบีบีในร้านแว่นขึ้นมา จะว่าไปผู้ชายที่อยู่กับบีบีเมื่อคืนคิดๆ แล้วก็ยังกวนใจไม่หาย
“มึงโอเคไหมเนี่ย” เสียงไอ้เอิร์ธทักขึ้นหลังจากเห็นผมนิ่งเงียบไปนาน
“อืม กูไม่เป็นไร”
“แล้วมึงจะเอาไง”
“เอาไงคือ?”
“ก็เรื่องบีบีไง มึงจะทำยังไงต่อ”
ผมครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้ กูต้องคุยกับบีก่อน”
“อ่อ” ไอ้เอิร์ธท่าทางผิดหวัง ผมเห็นแล้วก็อดแค่นเสียงใส่มันไม่ได้
“ทำไมวะ แค่คำพูดไอ้แต้มมึงก็คิดว่าบีนอกใจกูแล้วเหรอ”
“ก็...” เอิร์ธมันอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่พอเห็นสีหน้าไม่หวั่นไหวของผมมันก็กลืนคำพูดกลับลงไป ไม่พูดเรื่องบีบีกับผมอีก เห็นมันเงียบผมก็คล้ายรู้สึกไม่ดี กลับเป็นฝ่ายชวนมันคุย
“แล้วมึงเป็นไงบ้าง พี่กันต์ยังกวนใจมึงอยู่หรือเปล่า”
“....” ไอ้เอิร์ธชักสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที แถมยังเงียบไม่ตอบอะไรผมอีก
“ทำไมวะ ทีเรื่องกูยังพูดได้ ทำไมเรื่องมึงพูดไม่ได้”
ผมแหย่มันเล่นไปอย่างงั้นไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่ไอ้เอิร์ธกลับคิดเป็นจริงเป็นจังซะงั้น
“เปล่า กูแค่ไม่อยากนึกถึงเขา”
“มึงไม่อยากนึกถึงหรือกำลังหนีความจริงวะ”
“หนีความจริงอะไร ความจริงที่กูเป็นของเล่นพี่ชายตัวเองน่ะเหรอ กูยอมรับไม่ได้หรอก”
ของเล่นเหรอ... ทำไมคำนี้มันสะเทือนใจผมอย่างนี้วะ จู่ๆ ก็นึกถึงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของไอ้ไนท์ ผมมาทบทวนดูแล้วผมไม่เคยคิดอย่างจริงจังเลยว่าทำไมไอ้ไนท์มันถึงขึ้นเตียงกับผม ทั้งที่ผมกับมันแทบจะเป็นคนแปลกหน้า หรือว่ามันเห็นผมเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเหมือนกัน แม่ง ถ้าเป็นงั้นจริงก็ไม่แปลกใจเลยที่มันเป็นเพื่อนพี่กันต์