เกลียดตัวกินไข่

1885 Words
เข้าห้องไม่ถึงห้านาทีเสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมเพิ่งล้างหน้าล้างตาเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี พูดกับตะวันที่นั่งหลังตรงแน่วอยู่บนโซฟาในห้องโถง “น่าจะมาแล้วล่ะ” “อืม” ตะวันลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้อง ผมตามหลังมันไปห่างๆ ประตูเปิดออกไรเดอร์ผงะเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นหน้าตะวัน แต่พอเหลือบเห็นผมที่อยู่ด้านหลังมันก็ยกมือไหว้ทักทายอย่างคนคุ้นเคยกัน “สวัสดีพี่” “อืม” “จะให้ผมไปเอารถที่ไหน” “รถน้องมัน” ผมพยักหน้าไปทางตะวันที่ตอนนี้ยืนหันข้างหลบฉากเพื่อให้ผมกับไรเดอร์คุยกันอยู่ ตะวันยื่นกุญแจรถให้ไรเดอร์พร้อมกับบอกเลขทะเบียน รุ่นรถ กับจุดที่มันจอดเอาไว้อย่างละเอียด ไรเดอร์พยักหน้าทวนรายละเอียดต่างๆ ที่ตะวันเพิ่งพูดไป เมื่อยืนยันข้อมูลคร่าวๆ เรียบร้อยแล้วไรเดอร์ก็ออกไป ผมกับตะวันกลับมาที่โซฟา คำว่าช่วยดูแผลเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงแล้วเป็นผมที่ทำเองทุกอย่าง ตะวันมันแค่นั่งมองเหมือนจะช่วยแต่ก็ไม่ช่วยทำอย่างกับมีอะไรฉุดเอาไว้ยังไงยังงั้น “ไม่ต้องห่วง ไรเดอร์คนนี้ไว้ใจได้ พักอยู่ชั้นล่างนี่เอง” ตั้งแต่มาผมก็เห็นว่ามันทำหน้าเครียดตลอด พลอยทำให้บรรยากาศตึงไปด้วย เดาว่ามันน่าจะกำลังคิดเรื่องรถอยู่จึงพูดเผื่อมันจะสบายใจขึ้น แต่พูดจบตะวันหรี่ตามองผมทันที “ท่าทางมึงจะรู้จักไรเดอร์ดีจริงๆ” น้ำเสียงแดกดันแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ ผมจ้องตอบดวงตาคมกริบของตะวันอย่างพยายามอ่านเจตนาในคำพูดของมันจะได้โต้ตอบถูก “คนพักคอนโดเดียวกัน รู้จักกันแปลกตรงไหน” “หึ” ตะวันกระตุกมุมปากเย้ยหยันคำพูดผม เป็นอะไรของมันวะ “เออ ค่ายาเท่าไหร่” ผมถามหลังจากนึกได้ “ไม่ต้อง กูติดหนี้ค่าเหล้ามึงอยู่ ถือว่าเป็นดอกเบี้ยก็แล้วกัน” “ค่าเหล้า? นี่ยังคิดจะคืนอีกเหรอ” “บอกคืนก็คืน คำไหนคำนั้น ไม่เหมือนมึง กลับลำเก่ง” แซะเก่ง ผมไม่อยากถือสาคำพูดมันหรอก แต่ก็ไม่ได้คิดจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ “กูกลับลำยังไง” ผมย้อนถามด้วยสายตาซื่อๆ อยากรู้ว่าตะวันมันจะตอบสนองผมยังไง “ก็มึง!” มันขึ้นเสียงดังแต่จู่ๆ ก็หยุดพูดจ้องหน้าผมนิ่งครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อไม่เต็มเสียง “มึงเคยพูดว่าจะไม่ยุ่งกับกูอีก” ผมเลิกคิ้ว... จำได้ดีว่าตอนนั้นพูดอะไรออกไป และจำได้ด้วยว่าพูดออกไปด้วยความรู้สึกแบบไหน “กูแค่ไม่อยากให้มึงจริงจังกับเรื่องที่เกิดขึ้น” “กูไม่เคยจริงจัง” ตะวันสวนกลับทันควัน ผมไม่เข้าใจว่ามันจะใส่อารมณ์ตอนพูดทำไม ถ้าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ “ดีแล้ว ชีวิตถ้าจริงจังมากไปหาความสุขไม่ได้กันพอดี” ผมแค่พูดไปตามที่คิด แต่ตะวันกลับชักสีหน้าถมึงทึงไม่พอใจออกมา “มึงก็แค่หาข้ออ้างให้ตัวเองทำเรื่องเหี้ยๆ เท่านั้นแหละ” เด็กนี่ยิ่งคุยด้วยก็ยิ่งปีนเกลียว เห็นผมเป็นเพื่อนเล่นหรือไงวะ ไม่มีไว้หน้ากันเลย ผมลอบถอนหายใจยาว “จะครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมไรเดอร์ยังไม่มาอีก” ตะวันมองหน้าจอโทรศัพท์แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล “มึงตามให้กูหน่อยดิ” ผมขี้เกียจกล่อมมันแล้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาไรเดอร์โดยเปิดลำโพงให้มันได้ยินด้วย แต่รอจนสายหลุดไรเดอร์ก็ไม่รับสาย สีหน้าตะวันเครียดขึ้นเรื่อยๆ “ไรเดอร์มึงไว้ใจได้แน่นะ” ผมไม่ตอบ กดโทรอีกรอบ คราวนี้ไรเดอร์รับสาย [ครับพี่] “เออ เป็นยังไงบ้างเจอรถไหม” [ผมเพิ่งจอดรถเสร็จพอดีพี่ กำลังจะเอากุญแจไปคืนพี่ที่ห้อง] “ได้ยินแล้วใช่ไหม” ผมพูดกับตะวันหลังจากวางสาย “อืม” สีหน้ามันดูดีขึ้นแต่ก็ยังทำขรึมไม่ยอมรับว่าตัวเองคิดมาก เห็นแล้วอยากดีดหน้าผากสักทีสองที ไม่นานเสียงออดหน้าห้องดังขึ้น ผมกับตะวันเดินตามกันไปที่ประตู พอเปิดออกก็เห็นไรเดอร์ยืนยิ้มโชว์ฟันขาวอยู่ตรงหน้า “นี่ครับกุญแจ” ไรเดอร์ยื่นกุญแจออกมา พร้อมกับบอกจุดที่รถจอดอย่างละเอียด “ขอบใจมาก เดี๋ยวพี่โอนเงินให้บัญชีเดิมนะ” “โอเคพี่ ขอบคุณครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมไปก่อนนะ” คล้อยหลังไรเดอร์ตะวันก็พูดขึ้นว่า “ส่งบัญชีไรเดอร์มา เท่าไหร่ เดี๋ยวกูโอนเอง” “ไม่เป็นไร กูเป็นคนให้มึงมาส่ง กูก็ต้องรับผิดชอบ” ตะวันมองผมนิ่ง สายตามีความขัดแย้งเจือปนอยู่ มันคงไม่อยากติดหนี้ผม ขนาดค่าเหล้ามันก็ยังยืนกรานว่าจะคืนให้ได้ …แต่ยังไม่คืน หลังจากผ่านการคิดคำนวณมาแปดสิบตลบ อันนี้ผมเดาจากการที่เห็นมันทำหน้านิ่งเครียดอยู่นาน ตะวันก็เออออกับคำพูดของผมแบบไม่ค่อยเต็มใจ “งั้นมึงก็จ่ายแล้วกัน ไม่มีอะไรแล้วกูกลับก่อน” “รีบกลับเลยเหรอ มึงกลัวที่จะอยู่กับกูขนาดนั้นเลย” ผมแหย่มันเล่น ไม่ได้คิดอะไรมาก ตะวันที่กำลังจะผละออกไปชะงักเหลียวกลับมามองผมด้วยสายตาอวดดี “ใครบอกว่ากูกลัวมึง กูแค่…” “หืม?” จู่ๆ มันก็เงียบไป ผมเอียงคอรอฟัง ตอนแรกก็ไม่อะไรหรอกแต่เห็นมันอึกๆ อักๆ แล้วก็เกิดอยากรู้ตงิดๆ ขึ้นมา “แค่...” “..??” “แค่รังเกียจที่จะอยู่ใกล้มึง” คำพูดไม่ชวนฟังแต่ท่าทางประดักประเดิดกลับชวนมอง ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาตะวัน อยากรู้ว่าจริงๆ แล้วมันคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่คิดอีกทีพิสูจน์ด้วยร่างกายน่าจะได้คำตอบไวกว่า “รังเกียจเหรอ” ผมก้าวเข้าไปประชิดตัวตะวัน มันขมวดคิ้วถอยหนีตามระเบียบ แต่ถอยทางไหนไม่ถอยดันถอยไปชนผนังห้อง มันคิดไม่ทันจริงๆ หรือตั้งใจทำให้ตัวเองจนมุมก็ไม่รู้ ผมยันฝ่ามือกับผนังปิดทางมันเอาไว้ข้างหนึ่ง “มึงจะทำอะไร ถอยออกไปห่างๆ กูเดี๋ยวนี้” ตะวันตัวเกร็ง มองผมด้วยสายตาประหม่า ปากไล่ก็จริงแต่ร่างกายกลับไม่ตอบโต้ ผมไม่ได้มัดมือมัดเท้ามันเอาไว้สักหน่อย ถ้ารังเกียจจริงคงไม่ปล่อยให้ผมพ่นลมหายใจรดใบหน้าอยู่แบบนี้หรอก “มึงรังเกียจกูจริงเหรอ” “จะจริง... กูโคตรจะรังเกียจมึงเลย รู้เอาไว้ซะ” ผมเลิกคิ้วฟังคำพูดเกรี้ยวกราดของตะวัน เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ความสนใจของผมตกอยู่ที่ผิวแก้มแดงก่ำของมันก่อนจะงับเข้าไปหนึ่งทีด้วยอาการมันเขี้ยว “อึก” เสียงครางตกตะลึงดังขึ้น ตะวันสะดุ้งยกมือขึ้นดันไหล่ผมทันควัน แต่ผมกดน้ำหนักตัวเอาไว้ไม่ยอมให้มันผลักออกง่ายๆ “เจ็บเหรอ” ผมงับเสร็จก็เลียเล็มรอยฟันจางๆ บนโหนกแก้มแดงจัดของตะวันอย่างปลอบโยนและกลั่นแกล้งมันอยู่ในที “ไอ้ไนท์ ไอ้… มึงหยุด! ปล่อยกู…” ตะวันต่อต้านการคุกคามของผม มันบ่ายหน้าหนีอย่างโกรธเคืองที่ผมล้อเล่นกับร่างกายของมัน ผมที่อารมณ์เริ่มติด เห็นแววตาหดหู่ของตะวันแล้วก็ไม่อยากฝืนใจมันอีก ในเมื่อมันไม่ชอบผมก็ไม่ควรบังคับ บางทีมันอาจจะรังเกียจผมจริงๆ ก็ได้ใครจะรู้ ที่ผ่านมาเป็นผมทั้งนั้นที่รุกเร้ามันอย่างเอาแต่ใจ และยังคิดเอาเองว่ามันมีแต่ได้ไม่มีอะไรเสียเพราะผมเป็นฝ่ายรับ ไม่ทำให้มันเสียความมั่นใจแน่นอน ผมยอมรับว่าคิดน้อยเกินไป เมื่อก่อนผมก็ไม่คิดหรอก เพิ่งจะมาคิดได้เมื่อเร็วๆ นี้นี่แหละ ผมถอยห่างจากตะวันครึ่งก้าว สารภาพออกไปตรงๆ “โทษที กูแค่รู้สึกว่ามึงน่ารัก ก็เลยควบคุมตัวเองไม่ได้” “มึงว่าไงนะ” ตะวันตัวแข็งทื่อ ใบหูแดงจัด มองผมด้วยสายตาแตกตื่น ท่าทางมันเหมือนรับคำพูดของผมไม่ได้สลับกับกระดากอายจนไม่รู้จะวางหน้ายังไง เห็นแล้วแปลกตาพิลึก “มึงแน่ใจเหรอว่าอยากให้กูพูดซ้ำ” “ไม่… ไม่ต้อง ไม่ต้องพูดแล้ว” “นี่ก็ดึกแล้ว มึงกลับไปเถอะ” ผมบอก ตะวันมองผมด้วยแววตาสับสน แปลกใจที่จู่ๆ ผมก็ปล่อยมันกลับไปง่ายๆ “กูไม่เข้าใจ” มันเอ่ยขึ้นหลังจ้องหน้าผมเป็นปลากัดอยู่นาน “มึงต้องการอะไรกันแน่” “เปล่า กูไม่ได้ต้องการอะไร” “แล้วที่มึงทำหมายความว่ายังไง” “ไม่มีอะไร” “มึง!” ตะวันขึ้นเสียงคล้ายเหลืออดกับท่าทางเรียบเฉยของผม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมแทบจะจุดไฟอารมณ์ในตัวมันให้ลุกโชนอยู่แล้ว มันจ้องหน้าผมกระทั่งความเดือดดาลในแววตาค่อยๆ เบาลงแล้วข่มเสียงพูดต่อ “มึงเป็นพวกขาดความอบอุ่นเหรอ ถึงได้ชอบยั่วคนอื่นเล่นแบบนี้ ถึงกูจะเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่ได้ใจกว้างพอให้มึงมาล้อเล่นกับความรู้สึกกูนะโว้ย! คราวหลังถ้ามึงหิวก็ไปหาคนอื่น ไม่ต้องมายุ่งกับกู มึงนอนกับใครก็ได้อยู่แล้วนี่ ไม่ซีเรียสไม่ใช่เหรอ ไอ้ปายนั่นไงคนหนึ่งท่าทางมันจะชอบมึงมาก หรือไม่ก็พวกเด็กเสิร์ฟผู้ชายในร้านมึง กินไปกี่คน…” ผลั๊วะ! เสียงพูดตะวันถูกแทนที่ด้วยเสียงกระแทกหนักๆ ผมซัดหน้ามันไปหนึ่งหมัดอย่างทนฟังต่อไปไม่ไหว เอ่ยกับมันอย่างเหลืออด “ดูถูกคนอื่นให้มันน้อยๆ หน่อย” “ดูถูก?” ตะวันเบือนหน้ากลับมาจ้องผมตรงๆ มุมปากมีเลือดซิบออกมา แต่ท่าทางมันไม่ได้สนใจความเจ็บปวดของตัวเองเลยสักนิด มันยิ้มเยาะ พูดออกมาอย่างคนที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ “ถุ้ย! มึงต่อยกูเพราะกูดูถูกมึงหรือเพราะกูพูดถึงไอ้ปายกันแน่วะ” “นี่ไม่เกี่ยวกับปาย อย่าดึงคนอื่นเข้ามายุ่ง” “หึ! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กูดูถูกมึง ยังไม่เห็นมึงจะของขึ้นแบบนี้เลย” “….” ผมมองตอบสายตาเดือดพล่านของตะวันนิ่ง กำมือข้างที่ต่อยมันเอาไว้หลวมๆ พูดไม่ออกว่าที่หัวร้อนสติหลุดเป็นเพราะว่าผมอ่อนไหวกับคำว่า ‘ขาดความอบอุ่น’ เป็นพิเศษเหมือนเป็นปมในใจ แล้วตะวันดันพูดจี้ใจดำพอดี ผมกำลังนึกคำพูดเพื่อจะตอบแต่เสียงตะวันก็ดังขึ้นซะก่อน “ถ้ามันสำคัญกับมึงมากนัก ทำไมไม่ให้มันมาส่ง เสือกมาเป็นภาระกูทำไม!” ความเงียบของผม ไม่รู้ทำให้ตะวันคิดไปไกลขนาดไหน มันถึงพูดประโยคนั้นออกมาแล้วเดินออกประตูไป จะเรียกไว้ก็ไม่ทัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD