หลังจากพูดคุยเล่นกันพอหอมปากหอมคอพวกเพื่อนตะวันก็ขอตัวกลับ เหลือแค่ตะวันที่ยังยืนจ้องตาผมเป็นปลากัดอยู่ที่เดิม
“คืนกุญแจรถกูได้ยัง” มันทวงถามเสียงนิ่งหลังจากรอให้ทุกคนออกไปหมด
ผมยักไหล่ มองตอบสายตาแข็งกร้าวของตะวันอย่างไม่ยี่หระ “พูดดีๆ ไม่เป็น?”
คิ้วตะวันขมวดเข้าหากันเป็นปม เอ่ยด้วยน้ำเสียงขัดๆ “ขอกุญแจรถคืนด้วย”
“หืม?” ผมไม่แน่ใจว่านั่นคือการพูดดีๆ แล้วหรือเปล่าจึงถามซ้ำ
ตะวันหนังหน้ากระตุก ภายในเสี้ยววินาทีสีหน้ามันเปลี่ยนกลับไปกลับมาเดี๋ยวเดือดเดี๋ยวเยือกเย็น เห็นแล้วก็ลุ้นตามว่ามันจะปะทุใส่ผมหรือเปล่า แต่สุดท้ายมันก็ระงับอารมณ์เอาไว้ได้ เอ่ยเสียงเหนื่อยอ่อน
“คืนกุญแจรถกูมาเถอะ ขอร้อง”
มาไม้ไหนวะเนี่ย ผมมองท่าทางอ่อนลงกะทันหันของตะวันแล้วรู้สึกรับมือไม่ถูกชั่วขณะ ก่อนถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ล้วงกุญแจในกระเป๋ากางเกงส่งให้มัน
“พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้ว” ผมไม่วายเก๊กหน้าขรึมพูดสำทับมันไปหนึ่งประโยค ตะวันรับกุญแจรถไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ขนาดหน้าผมมันยังไม่มอง ผมมองตามร่างสูงโปร่งของมันอย่างไม่ใส่ใจตอนที่มันกำลังจะก้าวออกประตูก็มีคนเดินสวนเข้ามา
ปาย... ผมรู้สึกแปลกใจที่เห็นมันโผล่มาตอนนี้
ตะวันหยุดเดินอย่างไม่มีสาเหตุ ปายเองก็ชะงักแล้วมองตอบตะวันประกายตาคมกริบ
“มึงอีกแล้วเหรอ” น้ำเสียงไม่เป็นมิตรหลุดออกจากปากปาย ทำเอาตะวันที่กำลังจะเดินหนีหันกลับมาจ้องปายเขม็ง
“กูทำไม!?”
“....” ปายมองตะวันนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศระหว่างสองคนนั้นกลับตึงเครียดอย่างแปลกประหลาด
“ปาย มาได้ยังไงเนี่ย” ผมเอ่ยทักเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่ดูอึดอัดของสองคนนั้น ซึ่งก็ได้ผล ปายเลิกสนใจตะวันแล้วสาวเท้ายาวๆ เข้ามาหาผมพร้อมกับยิ้มตาเป็นน้ำเชื่อม
ท่าทางแบบนี้ดื่มมาแน่... พอมันเข้ามาใกล้ก็มีกลิ่นเหล้าจางๆ โชยออกมาแตะจมูก ผมขมวดคิ้ว รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแต่ก็ยังรักษาท่าทีสงบเอาไว้ได้
“ผมแค่อยากมาเจอพี่”
“มึงเมา?”
“ไม่ได้เมา”
“แต่ดื่มมา”
“ก็นิดหน่อย” ปายพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างคนคุ้นเคย ตั้งแต่มันย้อนกลับเข้ามาในชีวิตผมก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วทำให้ความเกรงใจที่เคยมีในตอนแรกค่อยๆ ลดลงไปด้วย แต่ถึงผมจะทำตัวปกติและใจดีกับมันยังไงก็มีขีดจำกัดอยู่
“กลับไปนอนดีกว่าไหม”
“ผมไม่ง่วง แต่ถ้าพี่อยากให้ผมกลับไปนอน ไปส่งผมสิ” ปายส่งสายตาเชิญชวนมาให้ ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแค่มองปายแล้วเอ่ยปัดไปเบาๆ
“เรื่องอะไรต้องไปส่ง”
“ฮ่าๆ งั้นพี่ก็อย่าไล่ผมสิ”
“ไล่ตอนไหน”
“เมื่อกี้ ไล่กันชัดๆ”
ผมหมดคำจะกล่าว ขี้เกียจเถียงกับปายแล้วกำลังจะหันไปเรียกเด็กเสิร์ฟให้หาของกินมารับรองแขกสายตาก็เหลือบไปเห็นตะวันที่ยังยืนอยู่ตรงทางเข้าออฟฟิศ
ผมชะงัก... ความรู้สึกประหลาดใจวูบผ่านนัยน์ตา ยังอยู่เหรอเนี่ยนึกว่ากลับไปแล้วซะอีก
“....” ตะวันมองผมกับปายคุยกันพอเห็นผมมองกลับมันก็ชักสีหน้าใส่ผมก่อนหันหลังเดินออกไป ท่าทางแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ ผมเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วหันไปเรียกเด็กเสิร์ฟให้หาอะไรมาให้ปายดื่มตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก
“นั่งเล่นไปก่อน เดี๋ยวกูมา” ผมบอกปายหลังคุยกับเด็กเสิร์ฟเสร็จ
“พี่จะไปไหน”
“เดินดูร้านสักหน่อย”
“ผมไปด้วย”
ปายทำท่าจะลุกผมรีบห้ามมันทันที “ไม่ต้อง กูเดินคนเดียวสะดวกกว่า”
“ผมไม่เกะกะพี่หรอกน่า ผมไปด้วยดีกว่านะ เผื่อมีอะไรที่ผมช่วยได้”
“ไม่มีหรอก มึงอยู่นี่ล่ะดีแล้ว”
ผมตัดบทปายแล้วเดินออกมาดื้อๆ ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับมันมากไปกว่านี้
ได้ยินเสียงร้องเรียกอย่างเสียดายดังตามหลังมา แต่ผมไม่ได้สนใจ เดินออกจากออฟฟิศตัวแทบลอยได้ สายตากวาดมองหาตะวันโดยไม่รู้ตัว แต่ป่านนี้แล้วมันคงไม่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้หรอก ผมทอดถอนใจอย่างรู้สึกผิดหวัง ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกร้อนใจกับท่าทางตอนเดินออกจากออฟฟิศไปของตะวัน มันเหมือนมีอะไรทิ่มตำใจผมอย่างบอกไม่ถูก
ช่างเถอะ... ผมตัดสินใจปล่อยผ่านความรู้สึกคลุมเครือนั่นไป แล้วเดินตรวจความเรียบร้อยของร้านตามปกติ ตอนที่คิดว่าตะวันน่าจะกลับไปแล้วดันเหลือบไปเห็นมันกำลังคุยอยู่กับผู้หญิงตรงด้านนอกของผับเข้าพอดี ทีแรกนึกว่ามองผิดเพราะไฟตรงนั้นค่อนข้างสลัวแต่พอมองดูดีๆ ดันเป็นตะวันจริงๆ รู้ตัวอีกทีใจก็พองโตขึ้นมาแล้ว ผมกระแอมไอเรียกสติตัวเองที่เหมือนจะหลุดลอยไปชั่วขณะให้กลับเข้าที่เข้าทาง ก่อนสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหาเป้าหมาย
ตะวันสังเกตเห็นผมที่เดินมา มันเหลือบมองผมแวบหนึ่งแต่ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงสนทนากับคนตรงหน้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนถูกเมินอย่างผมก็จะรู้สึกคันที่หน้านิดๆ ผมอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจผู้หญิงที่มันกำลังคุยด้วย อยากรู้ว่าคนที่ทำให้ตะวันสนใจมากกว่าผมเป็นคนแบบไหน สวยเซ็กซี่หุ่นดีมีครบ แต่ดูมีอายุกว่าตะวัน และหน้าไม่คุ้นไม่น่าเป็นคนแถวนี้
ผมเดินเข้ามาจนเกือบจะถึงตัวมันอยู่แล้ว กำลังจะอ้าปากพูดเสียงเรียกมาจากด้านหลังก็ดังขึ้น
“เฮีย!”
“เพชร มีอะไร” ผมหันกลับไปมองก็เห็นเจ้าเด็กเพชรหนึ่งในเด็กเสิร์ฟพาร์ทไทม์เดินเร็วๆ เข้ามาหาอย่างกับมีเรื่องเร่งด่วน
“นักดนตรีมีเรื่องกับแขกอยู่ข้างเวที”
“หืม? ลานนั่งชิลล์เหรอ” ผมเดาตามทิศที่เพชรเดินมา อีกอย่างตอนนี้ผมอยู่ข้างผับ ถ้าในผับมีปัญหาต้องมีคนรุดมาแจ้งผมแล้ว
“ครับ” เพชรพยักหน้า “ตอนนี้พี่โบวี่กำลังเคลียร์อยู่ แล้วก็ให้ผมมาตามพี่เผื่อมีอะไรเกิดขึ้น”
“แล้วมีเรื่องอะไรกัน”
“เรื่องผู้หญิงครับ”
“....” ผมไม่แปลกใจเลย เหตุผลยอดฮิตที่คนมีเรื่องกันในสถานบันเทิงคือชู้สาว
ผมไม่ได้ชำเลืองมองไปทางตะวันเลยตั้งแต่ที่เพชรปรากฏตัว แต่คิดว่ามันน่าจะได้ยินเรื่องที่ผมกับเพชรคุยกันเพราะเราไม่ได้ตั้งใจเก็บเป็นความลับแต่แรกจึงไม่ได้เบาเสียงพูด ถึงผมจะอยากเล่นกับตะวันแต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องภายในร้านก่อน
“เฮีย?” เพชรเรียกผมหลังจากที่เห็นผมเงียบไป
“อืม ไปกันเถอะ”
ผมมองหน้าเพชรก่อนเดินนำมันออกมา ตรงไปทางเวทีกลางแจ้ง
ผับกับลานนั่งชิลล์ถูกคั่นด้วยทางเดินกว้างไม่ถึงสองเมตร เดินไม่กี่ก้าวก็เข้ามาในบริเวณของลานนั่งชิลล์แล้ว มองเห็นคนเกาะกลุ่มกันเล็กๆ ที่ข้างเวที จากสายตาคนนอกคงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะเท่าที่ดูไม่ได้มีการทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก น่าจะแค่มีปากเสียงกันเฉยๆ ผมแอบโล่งใจที่ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น เดินนำไอ้เพชรเข้าไปหากลุ่มคนข้างเวที
ปึ้ก!
ระหว่างที่กำลังวางใจอะไรไม่รู้ก็ลอยมากระแทกหัวเต็มแรงพร้อมกับเสียงร้องตกใจของคนรอบข้างดังขึ้นตามมาด้วยเสียงซ่าส์เหมือนกระป๋องน้ำอัดลมแตก ผมเอามือกุมขมับ นอกจากเจ็บจนน้ำตาแทบไหลแล้วยังรู้สึกถึงเลือดที่ไหลออกมาเป็นทางพร้อมกับกลิ่นคาวคลุ้ง
“เฮีย!?” ไอ้เพชรร้องลั่น รีบเข้ามาประคองผมด้วยท่าทางร้อนรน “เฮีย... เฮียเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เจ้านาย...” โบวี่ผู้จัดการก็ปรี่เข้ามาด้วยหน้าตาแตกตื่น เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์ทั้งใกล้และไกลต่างลุกฮือขึ้นมองอย่างอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมส่งสัญญาณให้เพชรปล่อยมือที่กำลังประคองผมออกหลังจากที่ผมตั้งสติได้และกลับมายืนได้อย่างมั่นคงแล้ว จากนั้นก็มองเห็นกระป๋องน้ำอัดลมเจ้ากรรมสาดกระจายบนพื้น
กูควรดีใจที่เป็นแค่กระป๋องน้ำอัดลมไม่ใช่ขวดเบียร์หรือแก้วเหล้าดีไหมวะ ตอนนี้หัวทั้งปวดทั้งชาสมองสั่นไม่หยุด
ผมชำเลืองมองไปทางคู่กรณีที่ยืนอึ้งกำลังหันรีหันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะสบตากับผมแล้วรีบร้อนยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“ขอโทษค่ะ... ขอโทษจริงๆ หนูไม่ได้ตั้งใจให้โดนพี่”
“ผมขอโทษแทนน้องเขาด้วยนะครับพี่” นักดนตรีที่เป็นต้นเหตุรุดเข้ามาด้วยสีหน้ารู้สึกผิด ส่วนผู้ชายอีกคนที่เป็นคู่กรณีแค่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาเยือกเย็นไม่มีท่าทางสำนึกผิดหรือแสดงออกถึงความรับผิดชอบแม้แต่น้อย
“นี่มันเรื่องอะไรกัน มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆ” ผมพูดกับนักดนตรี ในฐานะที่ผมเป็นคนจ้าง ก็เท่ากับมันเป็นคนของผมด้วย ส่วนสองคนที่เหลือผมไม่อยากยุ่งด้วยเท่าไหร่
“หนูขอโทษ” ผู้หญิงคนนั้นยังยกมือไหว้ผมไม่หยุด “หนูไม่ได้ตั้งใจ”
“เอาล่ะๆ พี่รู้แล้วว่าน้องไม่ได้ตั้งใจ” ผมยกมือขึ้นหยุดผู้หญิงเอาไว้ แล้วหันไปมองนักดนตรีที่ยังไม่ตอบคำถามผม แถมยังหลบสายตาผมอีก
“มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย” มันพูดเสียงเบาโหวง
“นิดหน่อยงั้นเหรอ ทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบ เรียกว่านิดหน่อยเหรอ” ฝั่งน้องผู้หญิงตะโกนอย่างของขึ้น นักดนตรีหน้าแห้งแล้วแห้งอีก ท่าทางอยากแก้ตัวแต่ก็ถูกสายตาดุดันของฝั่งหญิงไล่ต้อนจนพูดอะไรไม่ออก
ผมลอบถอนหายใจ... คิดอย่างเหนื่อยอ่อน ทำไมไม่ไปทะเลาะกันที่อื่นวะ
“จริงเหรอ” ผมถามนักดนตรี
มันทำหน้าอึดอัด น้ำท่วมปากก่อนพูดออกมาอย่างจนใจ “ผมไม่รู้ แต่ผมป้องกันทุกครั้งนะ อีกอย่างผมจำหน้าผู้หญิงไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เข้าใจแล้วว่าทำไมกระป๋องน้ำอัดลมถึงบิน