ตลอดเวลาที่อยู่ในร้านกาแฟ ผมไม่มองไปทางโต๊ะที่ไอ้ไนท์กับฝรั่งนั่นนั่งอยู่เลย จนแพรสะกิดผม
“นั่นใช่พี่ที่เคยไปกินข้าวที่ร้านหรือเปล่า”
“อืม ใช่” ผมตอบอย่างไม่มีทางเลือก
“แล้วไม่ทักกันเลยเหรอ”
“ทักกันแล้ว”
“หือ” แพรเลิกคิ้วสีหน้าสงสัยว่าพวกผมไปทักกันตอนไหน ก็ตอนสบตากันนั่นล่ะ ผมติต่างเอาว่านั่นคือการทักทาย
“เห็นมากับคนอื่นเลยไม่อยากไปขัดจังหวะ” ผมเอ่ยต่อ แพรพยักหน้าหงึกหงักแต่ก็ยังส่งสายตามองไปทางโต๊ะที่ไอ้ไนท์นั่งอยู่เป็นระยะ
ผมกดดูเวลา ก่อนจะเอ่ยขึ้น “อีกสิบนาทีสิบเอ็ดโมงไปเลยไหม”
“ไปสิ”
ผมกำลังลุกขึ้น ไอ้ไนท์กับฝรั่งนั่นก็ลุกออกจากโต๊ะเหมือนกัน บังเอิญอะไรอย่างนี้วะ
ผมกับแพรเดินออกจากร้านตามหลังสองคนนั่น เว้นระยะห่างกันพอสมควร แต่ทิศทางที่พวกมันมุ่งไปดันเป็นทางเดียวกันกับพวกผมอีก ผมขมวดคิ้ว อย่าบอกนะว่ามันก็มาดูหนังเหมือนกัน
ในแถวซื้อป๊อปคอร์น
“….”
ไอ้ไนท์กับฝรั่งนั่นเข้าคิวรอซื้อป๊อปคอร์นอยู่หน้าพวกผมไม่กี่คิว ให้ตายสิวะ ถ้าเป็นหวยผมก็คงถูกรางวัลไปแล้ว
นี่ถ้าดูเรื่องเดียวกันอีกมีเฮเลยนะ
หลังจากซื้อป๊อปคอร์นเสร็จ ผมตามแพรเข้าไปข้างใน ตอนนี้ไม่เห็นเงาของไอ้ไนท์กับฝรั่งนั่นแล้ว ผมสอดส่ายสายตาไปทั่ว ไม่รู้ว่าสองคนนั้นอยู่โรงไหน
ภายในโรงปิดไฟมืด จอกำลังฉายตัวอย่างหนังเรื่องอื่นอยู่ แต่คนดูเข้ามาจับจองที่กันเยอะแล้ว ผมยังไม่ทันมองหาแถวที่นั่ง แค่เดินลงบันไดมาขั้นเดียวก็สะดุดเข้ากับนาฬิกาของคนที่นั่งเบาะ VIP ริมทางเดิน ผมรู้สึกคุ้นก็เลยหันไปมอง ถึงข้างในจะมืดแต่แสงจากจอหนังก็เพียงพอให้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
“…!!!”
“….”
ต่างคนต่างตกใจกันและกัน แม้แต่มันเองก็คงไม่คิดว่าจะเจอผมในโรงหนังแบบนี้ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับรู้ว่ามันนั่งอยู่ตรงนี้ เดินตามหลังแพรไปยังที่นั่งแถวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดูหนังก็เหมือนไม่ได้ดู ผมกระวนกระวายใจบอกไม่ถูก อยากหันกลับไปดูด้านหลังแต่ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ จะเอาโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหามันก็รู้สึกไม่เหมาะอีก เกือบสองชั่วโมงที่อยู่ในโรงหนังผมจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยสักนิด
ช่วงที่หนังจบผมรีบลุกขึ้นมองไปทางเบาะ VIP เห็นแต่หลังไอ้ไนท์ไวๆ เดินออกประตูไป
ผมเร่งฝีเท้าตามแต่กลับถูกแพรตะโกนเรียกจากด้านหลัง
“อ๊ะ วันรอแพรด้วย”
ผมเพิ่งนึกได้ หันกลับไปหาแพรอย่างรู้สึกผิด “โทษที รีบไปเข้าห้องน้ำน่ะ”
“อ้าวเหรอ อื้อ งั้นแพรรอด้านหน้านะ”
“อืม”
ผมแยกออกมาเข้าห้องน้ำชาย ถึงแม้หนังเพิ่งฉายจบ คนแห่ออกมาพร้อมกันแต่ห้องน้ำกลับไม่ค่อยมีคน ผมชะงักเพราะจำฝรั่งตาน้ำข้าวที่ยืนกอดอกอยู่หน้าห้องน้ำชายได้ ถ้ามันอยู่นี่งั้นก็แปลว่าไอ้ไนท์อยู่ข้างใน?
ผมเดินผ่านฝรั่งตาน้ำข้าวเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกคาดหวังแล้วก็เจอไอ้ไนท์จริงๆ มันล้างมือในอ่างเสร็จหันกลับมาก็ปะทะสายตากับผมเข้าพอดี
บรรยากาศรอบข้างคล้ายหยุดชะงัก
ความรู้สึกดีที่ได้เจอหน้ามันแผดซ่านไปทั้งใจแต่ดันไม่รู้จะพูดอะไรดี
“หนังสนุกไหม” ผมนึกอะไรไม่ออก ถามออกไปเสียงลน
“อืม ก็สนุกดี ไปก่อนนะ” ไอ้ไนท์พูดกับผมปกติ มันเดินผ่านผมออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกในใจผมก็เหี่ยวแฟบลงทันที
“ฝรั่งนั่นใคร” ผมโพล่งถามอย่างไม่คิด ไอ้ไนท์หันกลับมาพลางเลิกคิ้ว มองผมด้วยสายตาคมกริบ
“ทำไม หึงเหรอ”
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่ามันจะย้อนกลับมาแบบนี้
“ใครหึงมึง กูแค่ถามเฉยๆ”
“แล้วไป” ไอ้ไนท์มองผมด้วยสีหน้าและแววตาล้อเลียน “แต่ว่าเรื่องส่วนตัว กูไม่จำเป็นต้องตอบ”
“ส่วนตัวเหี้ย…” ผมเกือบจะตะคอกใส่มันอย่างเคยตัวแต่มีคนเข้ามาซะก่อนทำให้ผมต้องกลืนคำพูดลงคอ ถลึงตาใส่มันอย่างไม่พอใจ ไอ้ไนท์กระตุกยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อ มันยักคิ้วกวนๆ ให้ผมก่อนจะเดินเฉียดผมออกไปทั้งแบบนั้น
บ้าเอ๊ย! ผมมองตามแผ่นหลังของมันอย่างไม่สบอารมณ์
ผมทำธุระเสร็จ ไอ้ไนท์กับฝรั่งตาน้ำข้าวก็ไม่อยู่แล้ว ผมเดินออกมาหาแพรที่รออยู่ด้านหน้า ถึงจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดแต่ที่จริงแล้วกำลังหงุดหงิดสุดๆ
“วันรีบหรือเปล่า เราไปหาร้านกินข้าวก่อนไหม”
แพรเอ่ยขึ้นระหว่างเดินออกจากหน้าโรงหนัง
ผมดูเวลาในโทรศัพท์ บ่ายกว่าแล้ว… ถ้าไม่ใช่เพราะผมเจอไอ้ไนท์ในห้องน้ำผมคงตอบรับคำชวนของแพรไปแล้ว ตอนนี้ผมกำลังอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากให้แพรได้รับผลกระทบไปด้วย ใครจะรู้ผมอาจจะเผลอโมโหหรือทำอะไรไม่ดีใส่แพรก็ได้ เพราะงั้นแยกกันตรงนี้สบายใจกว่า
“ไม่ล่ะแพร เดี๋ยวไปกินทีเดียวที่ร้าน วันนี้ขอบใจนะที่เลี้ยงหนัง” ผมพูดกับแพรอย่างสุภาพ แพรทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ผมไม่รอฟังเดินออกมาทันทีที่พูดจบ
พอขึ้นรถผมก็ทนไม่ไหวไถโทรศัพท์เลื่อนดู Facebook ไอ้ไนท์ แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรของวันนี้เลย ตกลงว่าไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นเป็นใครวะ หรือจะเป็นคู่ขาคนใหม่… เส้นประสาทตรงขมับผมชาหนึบเมื่อนึกถึงว่าตัวเองก็ไม่ต่างกัน บางทีผมคงเป็นหนึ่งในคู่ขาของมันด้วย และมันก็อาจจะเบื่อผมแล้วเหมือนกัน เหี้ยเอ๊ย… แล้วทำไมกูต้องรู้สึกแย่กับเรื่องนี้ด้วยวะ ช่างแม่ง! ไม่สนมึงแล้วโว้ยยยย
เที่ยงคืนเศษ… ร้านไอ้ไนท์
หลังขับรถกลับจากร้านอาหาร ผมลังเลอยู่นานก็ตัดสินใจโทรชวนคนไปกินเหล้า แต่ที่มามีแค่รุ่นพี่ ส่วนเพื่อนผมสามคนนั้นมันปฏิเสธ คนหนึ่งก็บอกอยากนอน อีกสองคนที่เหลือก็ติดเกม ชวนยังไงก็ไม่ยอมมา
“วันนั้นที่พี่ส่งข้อความไปชวนกินเหล้า ตะวันไม่ติดใจใช่ไหม” พี่พิมพ์เอ่ยขึ้นหลังจากนั่งดื่มกันมาได้สักพัก วันนี้ผมจอดรถทิ้งไว้ที่หอพักแล้วนั่งวินมาเพราะงั้นดื่มได้แต่ก็ไม่กล้าดื่มเยอะอยู่ดี พรุ่งนี้ไม่อยากแฮงก์ไปทำงาน เดี๋ยวคนที่ร้านแซว ถ้ามีคนเอาไปฟ้องแม่ผมก็ซวยอีก
แต่ตอนนี้ผมควรหยุดสนใจเรื่องตัวเองแล้วตอบคำถามพี่พิมพ์ก่อน ถ้าจำกันได้ ก็พี่พิมพ์นี่แหละที่ทำให้ผมตาสว่างเรื่องบีบี ถ้าไม่ใช่เพราะแชตชวนกินเหล้าคืนนั้นผมก็คงจะหูหนวกตาบอดต่อไป
“ไม่ติดใจพี่ ขอบคุณนะที่ทำให้ผมตาสว่าง”
“อืม… พี่จะเข้ามาคุยเรื่องนี้กับตะวันหลายรอบแล้วล่ะ แต่อยู่มหาลัยก็ไม่เจอกันสักที จะชวนมาแฮงก์ก็เกรงใจเห็นว่าต้องทำงานร้านอาหารใช่ไหม”
ความจริงผมกับพวกรุ่นพี่ก็สวนกันไปสวนกันมา แค่ไม่มีเวลามานั่งจับกลุ่มคุยกันเท่านั้น
“ครับ”
“แล้วพรุ่งนี้ไม่ทำงานเหรอ ทำไมชวนพวกพี่ออกมาดื่มได้ล่ะ”
“อ่อ… ปะเปล่า ทำปกติ แค่อยากดื่มน่ะ”
“หืม… หรือว่ามีเรื่องกลุ้มอกกลุ้มใจอะไรหรือเปล่า พี่เป็นที่ปรึกษาได้นะ” พี่พิมพ์พูดพลางกรีดสายตาแพรวพราวอย่างออกนอกหน้า ผมหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ พูดคุยเรื่องอื่นกับพวกรุ่นพี่ต่อสักพักก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ
ความจริงผมแอบมาหาไอ้ไนท์ที่ออฟฟิศ แต่พนักงานบอกว่าไอ้ไนท์ไม่อยู่ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเข้ามาที่ร้านไหม
ผมรู้สึกผิดหวังที่อุตส่าห์มาถึงนี่แล้วไม่ได้เจอมัน พอดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอารมณ์ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นในขณะที่ความเป็นเหตุเป็นผลลดลง
หลังจากรู้ว่าไอ้ไนท์ไม่อยู่ร้านผมก็ไม่ได้กลับไปที่โต๊ะ ส่งข้อความไปขอโทษรุ่นพี่ที่กลับก่อนพร้อมกับโอนเงินค่าเหล้าเข้าบัญชีรุ่นพี่ด้วย จะได้ไม่มาโวยวายผมทีหลังว่ากินแล้วชิ่ง
ผมเดินมาโบกวินมอเตอร์ไซค์หน้าถนน บอกพี่วินให้ไปส่งที่คอนโดไอ้ไนท์