ภาพจำ

1822 Words
ผมมองตะวัน ในใจผุดคำถามหลายข้อ ข้อแรกตะวันมาได้ยังไง ข้อสองตะวันได้ยินอะไรไปบ้าง ข้อสามผมกำลังถูกปายปั่นหัวอยู่รึเปล่า “ตะวัน...” ผมมองตะวันแววตาสั่นไหวโดยไม่รู้สึกตัว “กูไม่รู้ว่ามึงมีแขก” ตะวันเหลือบมองไปที่ปาย ท่าทางมันสงบนิ่งผิดปกติ ผมยังนึกว่าจะถูกมันโมโหแล้วตะคอกใส่เหมือนทุกทีซะอีก “มึงจะมาทำไมไม่บอกก่อน” ผมสะกดความร้อนรนที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างในเอาไว้ พยายามทำตัวเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น ตะวันทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่แล้วมันก็ส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจ อาการเหมือนคนปลงตก ท่าทางแบบนั้นทำผมฉงนไม่น้อย “กูแค่มาหาที่ดื่มฆ่าเวลา เห็นพนักงานบอกว่ามึงอยู่ร้านก็เลยจะเข้ามาทักทายเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก มึงต่อเถอะ ไม่ต้องห่วงกู” พูดจบตะวันก็เดินออกไปดื้อๆ ผมกำลังลังเลว่าจะตามมันออกไปดีหรือเปล่าแต่กลับรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว ถ้าผมตามมันไปเท่ากับผมยอมรับว่าผมแคร์มันจริงๆ ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจิบหวังคลายความตึงแน่นในอก แต่ฤทธิ์แอลกอฮอล์กลับยิ่งเหมือนเติมเชื้อไฟลงในใจให้ปั่นป่วนหนักกว่าเดิม “พอใจหรือยัง” ผมเอ่ยขึ้น “พี่หมายความว่ายังไง” ปายมองผมด้วยสายตามึนงง ผมแค่นยิ้ม ไม่พูดอะไรต่อ พยายามปล่อยวางความรู้สึกในใจให้ได้มากที่สุด “พี่คงไม่คิดว่าผมตั้งใจใช่ไหม?” คิด... แต่ไม่พูด ผมยกแก้วเหล้าขึ้นจ่อริมฝีปากเงียบๆ “ใครจะไปรู้ว่ามันจะมา ผมแค่พูดในสิ่งที่ผมสงสัย... ตลกดีเหมือนกันแค่มันปรากฏตัวผมก็กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาพี่ไปแล้ว” “....” ผมมองปายแล้วคิดอย่างถี่ถ้วนอีกรอบ ที่มันพูดมาก็ใช่ว่าจะฟังไม่ขึ้น ไม่มีใครอยากถูกมองในแง่ร้ายโดยเฉพาะกับคนที่เราพยายามพิสูจน์ความจริงใจด้วย ตะวันก็แค่บังเอิญมาถูกที่ถูกเวลา... ผมไตร่ตรองสถานการณ์อย่างใจเย็น ทว่าสายตาที่เหมือนตัดพ้ออยู่ลึกๆ ของตะวันก่อนที่มันจะเดินออกไปยังติดตาผมอยู่ ทำให้ผมกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก การปรากฏตัวของตะวันทำผมผิดคาดจริง ไม่คิดว่ามันจะมาหลังจากที่เราเพิ่งทำเรื่องแบบนั้นกันเสร็จ ทุกทีมันจะเงียบหายไปเลย ครั้งนี้ผมก็คิดว่ามันจะเป็นเหมือนเดิม ถึงแม้มันจะพาผมไปเลี้ยงข้าวเที่ยงมาก็ตามแต่ผมก็ยังเชื่อสนิทใจว่ามันจะไม่โผล่หน้ามาเจอผมอีกสักพักใหญ่ๆ อยู่ดี “พี่เห็นไอจีไลท์ยัง” ผมจมอยู่ในภวังค์นานเท่าไหร่ไม่รู้ จู่ๆ เสียงปายก็ดังแทรกความเงียบขึ้นมา ผมเลื่อนสายตามองมันนิ่ง แทนคำตอบปายเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไอจีไลท์แล้วยื่นให้ผมดูภาพถ่ายภาพหนึ่ง เป็นภาพพ่อผมที่ดูแก่ตัวลงมากนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่กำลังอ่านข่าวในนิตยสารฉบับหนึ่งดูผิวเผินก็ไม่มีอะไรแต่ที่ข้อมือเขาสวมนาฬิกาเรือนหนึ่ง... นาฬิกาที่ผมซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดก่อนหน้านี้ที่ตะวันเป็นคนเลือกนั่นแหละครับ ผมฝากปายไปให้ไลท์อีกทีเพราะไม่อยากเจอไลท์ตรงๆ ขี้เกียจฟังมันโอดครวญเรื่องงานที่บริษัท ไม่คิดว่าพ่อผมจะสวมมันจริงๆ ตามที่ผมจินตนาการไว้ตอนแรก นาฬิกาเรือนนี้ไม่น่าจะมีโอกาสได้ออกจากกล่องหรือไม่ก็ถูกโยนลงถังขยะทันทีที่เขารู้ว่าใครให้มา “ไม่รู้หรือเปล่าว่ากูเป็นคนซื้อ” “ต้องรู้สิ เวลาได้ของขวัญอะไรมาก็ต้องถามอยู่แล้วว่าใครให้” “หึ...” ผมยิ้มเยาะ ไม่ขอออกความคิดเห็น “ผมว่าพ่อพี่ก็คงไม่คิดอะไรแล้วล่ะ” “เรื่องของเขา กูไม่สนใจ” ปายสีหน้าสลดลงทันที เหมือนมันกำลังโทษตัวเอง (อีกแล้ว) ผมถอนหายใจ ไม่อยากคุยกับมันเรื่องนี้แล้ว ผมส่งโทรศัพท์คืนให้ปาย “อย่าดื่มหนักล่ะ กูขอไปสูดอากาศข้างนอกก่อน” “....” ผมทิ้งปายเอาไว้ในออฟฟิศ แล้วเดินออกมาที่ลานนั่งชิลล์ กวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยความคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของไอ้เด็กนั่น... หรือว่ามันกลับไปแล้ว ผมเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดหาชื่อตะวันในหน้าแชต จดๆ จ้องๆ อยู่ครู่หนึ่งก็ผ่อนลมหายใจแล้วลดมือลงเพราะไม่รู้จะทักอะไรมันไปดี หลายวันต่อมา เมื่อไม่มีสิ่งเร้าทางใจมากระทบ อารมณ์ที่กวัดแกว่งของผมก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง จิตใจสงบเยือกเหมือนเดิม หลังจากคืนนั้นตะวันก็หายหัวไปตามคาด ไม่รู้มันคิดมากที่ผมพูด หรือมันแค่หายไปเฉยๆ อย่างทุกที มีแค่เรื่องนี้ที่ผมยังคิดไม่ตก แต่ไม่ว่าใครจะเข้ามาหรือว่าหายไปจากชีวิต ผมยังคงใช้ชีวิตไปตามปกติ บริหารร้านเหล้า หาดีลใหม่ๆ สังสรรค์กับเพื่อนฝูงและก็ควงผู้ชายเข้าโรงแรมบ้างนานๆ ครั้งพอให้ชีวิตไม่ขาด ส่วนเรื่องครอบครัว... ไอ้ไลท์น้องชายผมมันแวะมาที่ร้านอยู่สองสามครั้ง ครั้งแรกมันมาขอโทษผมที่คืนนั้นมันถึงโรงพยาบาลช้า จนอาต้องโทรหาผมให้ไปที่โรงพยาบาลด่วนทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ต้องอยู่กับอาหน้าห้องฉุกเฉินคืนนั้นควรเป็นไลท์ ผมไม่ถามว่ามันทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่อยู่บ้านตอนที่พ่ออาการแย่เพราะเข้าใจว่ามันก็คงมีธุระของมันเหมือนกัน และไม่เห็นความจำเป็นที่มันจะต้องถ่อมาขอโทษผมถึงร้านเหล้า โทรมาหาผมก็ได้ ไม่ก็ส่งข้อความมาทางแชต ยังไงผมก็ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว แต่เข้าใจว่ามันคงอยากมาเจอผม พูดคุยกับผมตามประสาพี่น้อง แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังพยายามโน้มน้าวผมให้กลับบ้าน แค่คิดว่าต้องกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อที่รังเกียจเดียดฉันท์ผมขนาดนั้นแล้วผมก็แทบเบือนหน้าหนีไม่อยากคุยกับมันต่อ เหตุผลหลักที่ไลท์มันอยากให้ผมกลับเข้าบ้านน่าจะเป็นเรื่องงานที่บริษัท มันคงอยากหาใครสักคนมาช่วยแบกเพราะมันดูแลทั้งหมดไม่ไหว ญาติฝั่งพ่อก็แสดงท่าทีว่าอยากจะเข้าเทคโอเวอร์กิจการตั้งแต่ที่พ่อล้มป่วย แต่พ่อไม่อยากให้บริษัทที่ตัวเองสร้างมาตกอยู่ในมือคนอื่น ไลท์ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่เลยต้องรับภาระไปเต็มๆ อย่างที่รู้ว่าผมเป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวต่างชาติ ไม่ได้มีรกรากอยู่ที่ไทยแถมแม่ผมยังเป็นบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยว ไม่เคยอยู่ติดที่ แทบไม่มีบทบาทอะไรในครอบครัวเลยยกเว้นเรื่องค่าเลี้ยงดูที่ส่งเข้าบัญชีผมกับน้องตลอดทุกปีไม่เคยขาด ตอนที่ผมทะเลาะกับพ่อจนบ้านแตก แม่บินกลับมาช่วยไกล่เกลี่ยแต่ก็ไม่ได้ผล นอกจากพ่อจะไม่ยอมรับในตัวผมแล้ว ยังพาลใส่แม่ โทษว่าที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าแม่มัวแต่เที่ยวตะลอนรอบโลกไม่สนใจลูกผัว ผมรู้ว่าวันนั้นแม่โกรธพ่อที่ไร้เหตุผลและดูถูกความฝันของแม่แต่แม่ก็ไม่ได้โต้เถียงรุนแรง แค่บอกว่าจะดูแลผมเองแล้วพาผมออกจากบ้าน หาที่ทางให้ผมอยู่เสร็จแม่ก็บินต่อ หลังจากนั้นไม่กี่วันน้องสาวแม่ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าก็บินมาอยู่เป็นเพื่อนผมช่วงหนึ่ง เมื่อเห็นว่าผมอยู่คนเดียวได้น้าก็กลับประเทศไป เพราะงั้นไม่ต้องหวังเลยว่าจะมีญาติฝั่งแม่มาคอยอุ้มชูงานที่บริษัท อย่างมากก็ช่วยได้แค่เรื่องเงินทุนนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น …ดังนั้นช่วงนี้นอกจากร้านเหล้าที่ผมต้องดูแลแล้วยังมีเรื่องให้คิดเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเรื่อง แปลกดีเหมือนกัน หืม… เอิร์ธไม่ใช่เหรอ? ผมเห็นร่างบางที่กำลังเดินอยู่ริมฟุตปาธมาแต่ไกลระหว่างขับรถผ่านรั้วมหาวิทยาลัยหลังกลับจากไปคุยงานกับคนที่นำเข้าเหล้าจากนอกมา ปี้น! ผมชะลอรถแล้วบีบแตรเรียกหลังแน่ใจว่ามองคนไม่ผิด เอิร์ธหันมา ผมลดกระจกลงพอดี ทำให้น้องรู้ว่าเป็นผม “พี่ไนท์” “ไปไหนให้พี่ไปส่งไหม” “ผมออกมาซื้อของ กำลังจะกลับเข้ามอ” ผมมองประตูรั้วที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร ก่อนจะผุดความคิดบางอย่างขึ้นในหัว เรียกเอิร์ธขึ้นรถ “ไหนๆ ก็เจอแล้ว ถ้าเอิร์ธไม่รีบ ไปหาอะไรดื่มเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ” “ครับ!?” เอิร์ธทำหน้างุนงงตั้งตัวไม่ทัน แต่เพราะทนสายตารบเร้าของผมไม่ไหว พยักหน้าเดินมาขึ้นรถโดยที่ผมไม่ต้องเปลืองแรงพูด “ผมไปได้แค่ร้านแถวนี้นะครับ มีเรียนต่อ” เอิร์ธบอก “มีเรียนกี่โมง” “บ่ายสาม” “เรียนคนเดียวเหรอ พี่หมายถึงเห็นเดินคนเดียวไม่มีเพื่อนมาด้วย” “เปล่าครับ พวกตะวันเก้าแต้มก็เรียนด้วยกัน ตอนแรกตะวันมันจะมากับผม แต่ผมไม่ให้มันมาเอง” “ทำไมล่ะ” “มันยังทำงานที่ต้องส่งอาจารย์ไม่เสร็จเลยพี่ ให้มันทำงานเถอะ” “ฮ่าๆ” ผมพาเอิร์ธมานั่งร้านกาแฟใกล้ๆ มหาวิทยาลัย โดยเลือกร้านที่จอดรถง่ายเอาสะดวกไว้ก่อน ส่วนเรื่องรสชาติกับบรรยากาศไม่ได้ใส่ใจมาก ถ้าดีก็ถือว่ากำไรแล้ว “อยากกินอะไรตามสบายเลยพี่เลี้ยงเอง” “ครับ” เอิร์ธพยักหน้าอย่างไม่เกรงใจ “พี่จะเอาอะไรเดี๋ยวผมสั่งให้” “ชา...น้ำผึ้งมะนาว” ผมลังเลก่อนจะพูดออกไป ใบหน้าตะวันผุดขึ้นในหัว ภาพตอนมันเลื่อนแก้วชาน้ำผึ้งมะนาวมาให้ที่ร้านกาแฟในโรงพยาบาลยังจับใจผมอยู่ รวมถึงแก้วน้ำผึ้งมะนาวที่หกอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัวคอนโดก็ทำเอารู้สึกร้อนวูบวาบทุกครั้งที่นึกถึง “ชาน้ำผึ้งมะนาวนะครับ” เอิร์ธทวน “อืม” ผมพยักหน้าก่อนจะโพล่งตามหลังเอิร์ธไปอย่างเพิ่งนึกได้ “สองแก้วนะเอิร์ธ” “ครับ?” “ชาน้ำผึ้งมะนาวสองแก้ว” “สองแก้วเหรอครับ” “ใช่ สองแก้ว”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD