“ใครเหรอพี่”
เมื่อเห็นไอ้ไนท์พาคนมาที่โต๊ะ ไอ้ตี๋นั่นก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ แถมยังมองผมสองคนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์เป็นพิเศษโดยเฉพาะกับไอ้เอิร์ธ ไอ้ตี๋นั่นจ้องเพื่อนผมอย่างกับจะสิงร่างอยู่แล้ว
“น้องที่รู้จักน่ะ นี่เอิร์ธ นั่นตะวัน ส่วนนี่ปายเป็นเพื่อนน้องชายพี่”
ไอ้ไนท์แนะนำทุกคนให้รู้จัก มันบอกว่าไอ้ตี๋ที่นั่งอยู่นั่นเป็นเพื่อนน้องชายมัน ผมเพิ่งรู้นี่แหละว่ามันก็มีน้องชายด้วย แต่ทำไมถึงมากินหมูกระทะกับเพื่อนของน้องชาย... เรื่องนั้นผมไม่อยากเปลืองสมองคิด มีแต่ไอ้เอิร์ธที่ดูสนอกสนใจ
“พี่ไนท์มีน้องชายด้วยเหรอ ผมเพิ่งรู้”
“อืม มีน้องชายอยู่คนนึง” ไอ้ไนท์พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจก่อนบอกให้พวกเรานั่งลง
ตำแหน่งที่นั่งในตอนแรกคือไอ้ไนท์กับไอ้ตี๋นั่งตรงข้ามกัน แต่พอมีพวกผมมานั่งด้วย ไอ้ไนท์เลยต้องย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกับไอ้ตี๋ ให้ผมกับเอิร์ธนั่งข้างกัน แต่...แต่...ทำไมต้องเป็นผมที่นั่งตรงข้ามกับไอ้ไนท์ด้วยวะ เอิร์ธมึงสลับที่กับกูดิ ผมลอบมองไอ้เอิร์ธด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ไม่คิดว่ามันจะสังเกตเห็นสายตาของผมหรอก
“หืม มีอะไร”
“กูจะชวนมึงไปตักของกิน” ผมพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกก่อนหน้านี้พลางลุกขึ้น
“อืม ไปสิ พี่ไนท์เอาอะไรหรือเปล่า”
เชี่ยเอิร์ธยังอุตส่าห์มีน้ำใจไปถามคนอื่นอีก ผมที่กำลังจะถกขาออกจากเก้าอี้จำต้องชะงักไปด้วย ชำเลืองมองไปทางคนที่ถูกถาม
ไอ้ไนท์ยังคงมีรอยยิ้มบางตรงมุมปาก มันส่ายหน้า จากนั้นก็มองผมแล้วเอ่ยปาก “ไม่เอา”
สัส แล้วจะมองกูหาอะไรวะ ที่แย่กว่าคือผมดันไปสบตากับมันด้วยเนี่ยสิ ทำเอาขนลุกวาบขึ้นมาเลย
“ครับ” ไอ้เอิร์ธผงกหัวรับรู้ แล้วถึงค่อยยุรยาตรออกจากโต๊ะ
เฮ้อ... ผมลอบถอนหายใจยาว พอออกห่างจากโต๊ะก็รู้สึกเครียดน้อยลงหน่อย แต่ว่าพอคิดว่าอีกเดี๋ยวต้องกลับไปนั่งร่วมโต๊ะกับไอ้ไนท์อีก ผมก็อดที่จะรู้สึกอึดอัดล่วงหน้าไม่ได้
ผมกับไอ้เอิร์ธแยกกันตักของที่ชอบจนพอใจ เงยหน้าขึ้นมองอีกทีก็เห็นไอ้เอิร์ธยืนคอยืดคอยาวอยู่ตรงบ่อกุ้ง ผมเดินไปหามันอย่างไม่รีรอ
“อะไรวะ จะกินกุ้งเหรอ”
“อืม” มันตอบพลางตักกุ้งในบ่อมาน็อคในน้ำเย็นหลายรอบ ท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ไม่นานกุ้งสดๆ ก็กองพะเนินเต็มจาน
เหตุผลที่ผมไม่เหลียวแลกุ้งก็เพราะมันต้องน็อคเอาเองเนี่ยแหละ ต้องฆ่ามันกับมือผมสลดใจ ทำไม่ลง อีกอย่างย่างสุกแล้วยังต้องมาแกะเปลือกวุ่นวายอีก ปกติถ้ามาคนเดียวผมจะไม่ค่อยกินกุ้ง แต่ถ้ามากับแฟนแล้วแฟนอยากกินผมก็ไม่ติดขัดพร้อมเซอร์วิสเต็มที่
“ไอ้คนอำมหิต” ผมอดไม่ได้ที่จะเหน็บไอ้เอิร์ธแล้วมันก็หันมาถลึงตาใส่ผม
“งั้นมึงก็ไม่ต้องกิน”
“กูล้อเล่น เอาจานเปล่าอีกไหมกูหยิบให้” ผมเสียงอ่อนลงทันควัน สำนึกผิดแทบไม่ทันเพราะไม่แน่ว่าอาจจะได้รับความเมตตาจากมันแกะกุ้งให้ผมกินก็ได้
มันชำเลืองมองจานใบแรกที่มีกุ้งเบียดกันอยู่ พยักหน้า “ก็ดี จะได้เอาไปทีเดียว”
“มึงกินหมดแน่นะ”
ผมถามเพื่อความแน่ใจ เพราะร้านนี้ถ้ากินไม่หมดจะโดนปรับ
“มึงจะกินไหม ถ้ากินก็ไปเอามา”
“....” ผมยังไม่ทันหันหน้าเพื่อจะไปหยิบจานเปล่ามาเพิ่ม ไอ้ไนท์ที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ดันชะโงกหน้าเข้ามาพอดี ผมชะงักกึก มองแก้มที่เฉียดผ่านหางตาไปไม่ถึงนิ้วของไอ้ไนท์ กล้ามเนื้อหัวใจเกร็งวาบ เป็นเหี้ยอะไรต้องโผล่มาทางนี้วะ ทำไมไม่ไปโผล่ฝั่งไอ้เอิร์ธโน่น ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ รู้สึกว่ามันกำลังหาเรื่องผมอยู่ยังไงก็ไม่รู้
“โห เอิร์ธจับกุ้งเก่งว่ะ”
มันส่งเสียงชื่นชมไอ้เอิร์ธเหมือนไม่เห็นผมอยู่ในสายตา ถึงผมจะโมโหแต่ก็ได้แต่ระงับอารมณ์เอาไว้ ไอ้ไนท์มองผมแวบหนึ่ง ในแวบนั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ ที่เหมือนกำลังหยอกเย้าแฝงอยู่ ผมได้แต่กระฟัดกระเฟียดอยู่ในใจ เดินมาหยิบจานเปล่าส่งให้เอิร์ธ
“กูไปรอที่โต๊ะ” ผมบอกก่อนหยิบจานกุ้งกลับไปโต๊ะโดยไม่ชายตามองไอ้ไนท์ให้เสียอารมณ์
บนโต๊ะมีแค่ไอ้ตี๋นั่งอยู่ เมื่อเห็นผมกลับมาก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่เหลือบมองทักทายเท่านั้น ผมวางจานกุ้งกับจานเนื้อไว้ตรงกลางระหว่างที่นั่งของผมกับไอ้เอิร์ธ คีบเนื้อคีบกุ้งขึ้นย่าง ไม่นานไอ้เอิร์ธก็กลับมาพร้อมกับจานกุ้งอีกสองใบ ไอ้ไนท์เดินตามมาด้านหลัง สองมือถือจานอาหารสดมาด้วยใบหน้าที่เคลือบรอยยิ้มจางๆ
“อ้าวไหนว่าจะไปเอาปู” ไอ้ตี๋มองจานในมือไอ้ไนท์ที่มีแต่เนื้อกับไส้กรอกด้วยสายตาสงสัย
ไส้กรอก... ผมขมวดคิ้ว ไม่อยากคิดอะไรมาก
“เปลี่ยนใจแล้ว พอดีเห็นไส้กรอกวันนี้ทั้งใหญ่ทั้งยาวน่ากินกว่า”
ผมขนลุกซู่... แม่งเอ๊ยทำไมตอนพูดต้องชำเลืองมองมาทางกูด้วยวะ
“หืม ผมว่าก็ปกตินะ” ไอ้ตี๋เหลือบมองไส้กรอกในจานแล้วเปรียบเทียบกับไส้กรอกที่มันเคยพบเห็น เอาตามตรงมันก็ขนาดปกติ ไม่ได้ใหญ่ยาวเป็นพิเศษ ก็แค่หาเรื่องก่อกวนผมเท่านั้น คิดว่านะ เพราะถ้าไม่ใช่แล้วมันจะมองหน้าผมตอนที่พูดแบบนั้นทำไม
ผมทำเป็นไม่ได้ยิน ยื่นตะเกียบไปพลิกเนื้อบนเตา นอกจากพื้นที่ตรงหน้าตัวเองแล้วก็ไม่รู้หรอกว่าชิ้นไหนเป็นใครคีบขึ้นมา พอพลิกหน้าเนื้อทีก็ทำอย่างทั่วถึง กระทั่งไอ้ไนท์ส่งเสียงลอดลำคอออกมาพลางมองเนื้อที่ผมกำลังพลิกด้วยสายตาเฉียบคม ผมรู้ทันทีว่าเนื้อชิ้นนี้เป็นของมัน ยกตะเกียบออกทันที
“เอาไปสิ”
ไอ้ไนท์พูดเมื่อผมผละตะเกียบจากเนื้อชิ้นนั้น หันไปคีบชิ้นอื่นแทน มันก็เลยคีบเนื้อชิ้นนั้นมาใส่จานผมอย่างถือวิสาสะ ผมชักสีหน้าไม่พอใจ ระหว่างที่ผมกับไอ้ไนท์ทำสงครามประสาทกันเบาๆ เสียงไอ้ตี๋ก็ดังขึ้นเหมือนเพิ่งนึกออก
“เราเคยเจอกันหรือเปล่า”
ผมละความสนใจจากไอ้ไนท์หันไปทางไอ้ตี๋ เห็นมันใช้สายตามองสำรวจผมอย่างเปิดเผยแบบนั้นก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา ผมยังไม่ทันทบทวนคำพูดของมัน ไอ้ตี๋ก็ยกตะเกียบขึ้นชี้หน้าผม ที่ปลายตะเกียบมีคราบเนื้อเปื่อยติดอยู่
“หน้าห้องน้ำ” ไอ้ตี๋พูด
หน้าห้องน้ำไหนวะ ผมขมวดคิ้วขบคิด มองไอ้ตี๋กับไอ้ไนท์สลับกันไปมา ก่อนจะเบิกตากว้างหรือว่ามันคือคนเดียวกับที่ยืนคุยกับไอ้ไนท์ที่หน้าทางเดินห้องน้ำในตอนนั้น คืนนั้นเป็นวันเกิดรุ่นพี่ ผมแวะไปแป๊บเดียวพอให้รุ่นพี่เห็นหน้าแล้วก็รีบกลับ ก่อนกลับดันปวดเบาขึ้นมา เพราะไม่อยากอั้นก็เลยแวบไปเข้าห้องน้ำคิดไม่ถึงว่าจะเจอคนเข้าจริงๆ รู้งี้อั้นเอาไว้ยังดีกว่า ผมไม่อยากข้องเกี่ยวกับไอ้ไนท์อยู่แล้วจึงไม่ได้เก็บเรื่องที่เจอกันวันนั้นมาใส่ใจ
“มึงเคยเจอพี่เค้ามาก่อนเหรอ” เป็นไอ้เอิร์ธที่ถามแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะได้เอ่ยอะไร
ผมพยักหน้า “เจอครั้งเดียว แบบผ่านๆ”
แต่เหมือนไอ้ตี๋จะไม่ยอมผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ มันยังคงหมกมุ่นอยู่กับประเด็นนี้เหมือนคิดหัวข้อสนทนาอื่นไม่ออก
“ทำไมวันนั้นไม่เห็นพี่พูดอะไรเกี่ยวกับตะวันเลย” ไอ้ตี๋หันไปท้วงไอ้ไนท์ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างสองคนนั้นดูแปลกๆ
“พวกกูรู้จักกันแค่ผิวเผิน พูดแล้วก็ไม่มีอะไรอยู่ดี” ไอ้ไนท์กล่าวเนือยๆ พลางคีบเนื้อใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ทำให้น้ำเสียงฟังดูเกียจคร้านเข้าไปอีก ตอกย้ำให้รู้ว่าผมไม่มีค่าให้มันพูดถึง ไม่จำเป็นเลยที่ไอ้ตี๋ต้องรู้เรื่องผม
ต่อให้ผมไม่สนใจ แต่คนเราพอรู้ตัวว่าไร้ค่าในสายตาคนอื่นมันก็ต้องมีอาการคันยุบยิบที่ใจกันบ้างล่ะ
“รู้จักผิวเผิน” ไอ้ตี๋ดูคลางแคลงใจกับคำพูดของไอ้ไนท์ ขณะที่ผมยังไม่พูดอะไรสักคำ แต่กลับเป็นไอ้เอิร์ธที่ช่วยขยายความ
“จะว่าผิวเผินก็ได้ ผมเองก็รู้จักพี่ไนท์เพราะเป็นเพื่อนกับพี่ผม ส่วนตะวันเพราะเป็นเพื่อนกับผมเลยพลอยรู้จักพี่ไนท์ไปด้วย”
สัสเอิร์ธพูดซะเหมือนกูเป็นของแถม
“เอิร์ธทำไมพูดเหมือนพี่เป็นคนอื่นล่ะ พี่เสียใจนะเฮ้ย” ไนท์แสร้งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“….” ผมไม่มีคำพูด คีบเนื้อใส่ปาก
“พี่อย่าแกล้งผมสิ”
เอิร์ธเอ่ยด้วยท่าทางน่าสงสาร ที่มันรู้จักกับไอ้เหี้ยไนท์ก็เพราะพี่กันต์เป็นตัวเชื่อม เมื่อนึกถึงพี่กันต์แววตากับสีหน้าไอ้เอิร์ธก็เซื่องซึมลงทันที
ไอ้ไนท์กระแอมไอหลังรู้ตัวว่าไปสะกิดแผลในใจไอ้เอิร์ธเข้า แล้วพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า “เมื่อกี้พี่ล้อเล่น แต่พี่ก็คิดว่าเอิร์ธเป็นน้องคนหนึ่ง ถ้ามีเรื่องที่พี่พอจะช่วยได้ก็ไม่ต้องเกรงใจ”
“....” ไอ้เอิร์ธสบตาไอ้ไนท์นิ่ง ก่อนพยักหน้าเข้าใจ แล้วหันไปแกะกุ้งในจานต่อ
เรื่องที่พอจะช่วยได้เหรอ ผมครุ่นคิด คงไม่พ้นเรื่องพี่กันต์นั่นแหละ ระหว่างที่พวกเราสามคนต่างจมอยู่ในความคิดตัวเอง เสียงไอ้ตี๋ก็ดังขึ้น
“ทำไมผมรู้สึกว่า มีผมไม่รู้เรื่องอยู่คนเดียว”
“คิดอะไรมาก กินๆ เนื้อไหม้หมดแล้ว เฮ้ยเอิร์ธขอกุ้งพี่บ้างสิ”
“....” ไอ้ตี๋โดนบอกปัดซึ่งๆ หน้าก็จนคำพูด ยิ้มเนือยๆ จิ้มตะเกียบพลิกเนื้อคีบผักคีบปลาอย่างสงบเสงี่ยม
ส่วนไอ้ไนท์ก็กำลังระรื่นกับกุ้งสุกสดใหม่ซึ่งแกะเรียบร้อยที่ไอ้เอิร์ธประเคนให้ ผมเห็นแล้วก็อดอิจฉาตาร้อนไม่ได้ หันไปขอไอ้เอิร์ธบ้าง แต่เพื่อนผมกลับผลักจานกุ้งสุกที่ยังไม่แกะเปลือกมาให้ ไอ้เวร กูกับมึงเป็นเพื่อนกันมาก่อนจะรู้จักไอ้ไนท์อีก ทำไมมึงใจดีกับมันแต่ใจร้ายกับจังกูวะ