“พี่ไนท์”
ผมละสายตาจากตะวันกำลังจะเดินออกไป เสียงเรียกจากอีกคนที่ยังอยู่ที่เดิมก็รั้งเอาไว้ซะก่อน ผมชำเลืองมองเจ้าของเสียงเงียบๆ
“ผม... ขอเบอร์พี่ได้หรือเปล่า”
ปายถามก่อนหลุบตาลงด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็เผลอโปรยยิ้มพยักหน้าตอบไปว่า “ได้”
หลังจากนั้นปายก็รีบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรผมอย่างกระตือรือร้น ไม่นานโทรศัพท์ที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืด~
ผมเอาออกมาดู เห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยโทรเข้ามา
“นั่นเบอร์ผม” มันบอก
“อืม”
“หลังจากนี้พี่ไปไหนต่อหรือเปล่า”
“....” ผมส่ายหน้า พลางบันทึกเบอร์มันไปด้วย
“งั้นพอมีเวลาไปนั่งรถเล่นกับผมไหม”
“หืม” ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วมองหน้ามันก่อนหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่สงสัยสายตาผมจะเฉียบคมเกินไปปายถึงได้หลุบตาหลบอย่างลุกลี้ลุกลน ผมแค่สงสัยเจตนาของมันเฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจทำให้มันรู้สึกกดดันแต่อย่างใด
“ผมแค่อยากคุยกับพี่เฉยๆ เห็นว่าเราไม่ได้เจอกันนาน”
ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ปายยิ่งพูดก็ยิ่งตัวเล็กลง ดูขี้ขลาดกว่าเมื่อก่อนหรือไม่มันก็ยังรู้สึกผิดต่อผมอยู่ ระหว่างที่ผมกำลังตัดสินใจก็มีคนเดินกลับมาจากทางห้องน้ำพอดี
เป็นใครไปไม่ได้นอกจากตะวัน มันชักสีหน้าตึงกว่ารอบแรกเมื่อเห็นผมสองคนยังยืนขวางทางเดินอยู่ที่เดิม แต่คราวนี้มันแค่เดินผ่านผมไปเฉยๆ ไม่ได้พูดแขวะผมเหมือนตอนแรก
“อืม ได้ ไปสิ” ผมตอบรับปายอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ใช่ว่าผมใจง่าย ใครชวนก็ไปหมด แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนเลยไม่อยากทำร้ายน้ำใจอีกฝ่าย
“งั้นพี่รอผมแป๊บ ผมบอกรุ่นพี่ก่อน”
“อืม”
แยกย้ายกันไม่นานปายก็เดินกลับมาหาผม ผมกำลังยืนคุยกับพนักงานอยู่สังเกตเห็นมันแล้วส่งสายตาบอกให้มันรอก่อนจนผมคุยธุระเสร็จก็เดินไปหามันที่ยืนห่างออกไปหลายก้าว
“มึงคุยกับคนที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วเหรอ” ผมถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ครับ”
ปายยิ้มตอบ ผมพยักหน้ากำลังจะเดินนำออกไปก็พลันนึกได้หันกลับไปถาม “เอารถมาหรือเปล่า”
“....” ปายพยักหน้า
“แยกกันไป ส่งพิกัดร้านมา”
ผมพูดโดยคำนึงถึงความสะดวกของแต่ละฝ่าย ปายขยับปากหมุบหมิบเหมือนอยากพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา พยักหน้าเห็นตาม “ได้ครับ เดี๋ยวผมส่งพิกัดร้านให้”
ผมให้ปายล่วงหน้าไปก่อน ส่วนผมขอจัดการสั่งความกับลูกจ้างในร้านอีกครู่หนึ่งแล้วจะตามไป
“พี่จะไปข้างนอก ถึงเวลาแล้วปิดร้านได้เลย ถ้ามีอะไรก็โทรมา”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ผมกำชับผู้จัดการอีกสองสามคำก่อนเดินออกมา มุ่งหน้าไปทางที่จอดรถ พิกัดร้านส่งมาแล้ว ผมเพิ่งจะเดินถึงรถยังไม่ทันเข้าไปข้างในด้วยซ้ำ ส่งมาไวขนาดนี้แสดงว่าร้านอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
หืม... ตอนแรกคิดว่าไม่ไกล แต่พอกดเข้าไปดูจุดหมายกลับอยู่ไกลออกไปเกือบสามสิบกิโลเมตร ไม่ใกล้เลยว่ะ
ปายไปถึงแล้วเหรอ ผมครุ่นคิดอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมาก ขับรถไปตามจีพีเอสจนมาถึงร้านเล็กๆ ร้านหนึ่ง มองจากภายนอกเหมือนเป็นร้านกาแฟขนาดเล็กที่เปิด 24 ชั่วโมง แต่พอเข้ามาข้างในกลับพบว่าไม่ได้มีแค่กาแฟแต่มีอาหารกับเครื่องดื่มอย่างอื่นให้สั่งด้วย บรรยากาศภายในร้านเงียบสงบ ลูกค้าไม่เยอะแทบนับโต๊ะได้ พอกวาดตามองรอบหนึ่งก็สะดุดสายตาเข้ากับกลุ่มคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะติดผนังด้านในสุด หนึ่งในนั้นกำลังโบกมือไหวๆ ให้เป็นสัญญาณ
ผมเดินผ่านเคาน์เตอร์ที่ติดกับประตูทางเข้า ตรงเข้าไปหาเป้าหมาย
ร้านไม่ใหญ่มาก เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงโต๊ะ เพราะแบบนั้นผมถึงเห็นหน้าทุกคนที่อยู่บนโต๊ะชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว
ผมเก็บสีหน้า ทักทายคนบนโต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไง ไม่รู้ว่ามึงก็อยู่ด้วย” ผมดึงเก้าอี้ออกนั่งฝั่งเดียวกับปาย ชำเลืองมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าที่คล้ายผมอยู่หลายส่วนมองตอบตรงๆ
“เป็นยังไงบ้าง” ถึงหน้าตาจะมีส่วนคล้ายแต่สุ้มเสียงกลับแข็งทุ้มกว่ามาก หนำซ้ำยังแฝงแววเย็นเยียบแปลกๆ อีก ผมจ้องหน้าน้องชายครู่หนึ่งแล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจตอบอย่างเนือยๆ
“สบายดี” ก่อนลากสายตาไปทางปาย อดไม่ได้ที่จะแหย่มันเล่น “ไม่รู้ว่าเพื่อนปายก็อยู่ด้วย” ผมกวาดสายตามองชายหญิงสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าคนหนึ่งคือน้องชายผม ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงหน้าตาพอดูได้ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก
“สวัสดีค่ะ” ผู้หญิงที่นั่งข้างไลท์ยกมือขึ้นไหว้ผมทันทีที่สบสายตากัน
“พี่ นี่บี... น้องผม” ไลท์แนะนำคนข้างตัวให้ผมรู้จัก ตอนที่บอกสถานะของอีกฝ่ายมันดูลังเลครู่หนึ่ง
ผมพยักหน้า ยิ้มน้อยๆ เป็นเชิงเข้าใจ พูดกับคนที่น้องชายเรียกว่า ‘น้อง’ สองสามประโยคก็ดึงสายตากลับมาหยุดอยู่ที่ปาย มันเลิ่กลั่กอย่างคนมีชนักปักหลัง
“ผมกับไลท์บังเอิญเจอกันที่นี่ พี่คงไม่ว่าอะไร...” ปายลนลาน ช้อนสายตามองผมเหมือนแมวน้อยกำลังขอความสงสาร
ผมอดคิดไม่ได้ว่ามันน่ารัก จนนึกอยากยกมือขึ้นลูบหัวแต่ก็แค่นึกเท่านั้น ผมมองหน้ามันก็รู้แล้วว่าโกหก
ปายจงใจล่อผมออกมาเจอกับไลท์ชัดๆ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
ไลท์เป็นน้องชายที่คลานตามกันมาของผม แม้จะมีกลิ่นอายลูกครึ่งอยู่บ้างแต่หน้าตาก็ไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้น พูดให้ชัดก็คือผมเหมือนแม่ ขณะที่ไลท์เหมือนพ่อมากกว่า
ผมไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวนานมากแล้ว ตั้งแต่พ่อรู้เรื่องรสนิยมทางเพศของผมเขาก็อับอายรับความจริงไม่ได้ไล่ตะเพิดผมออกจากบ้าน ตัดขาดความเป็นพ่อลูก แล้วยังสั่งให้ไลท์ตัดขาดความเป็นพี่น้องกับผมด้วย ผมเตรียมใจเอาไว้นานแล้วพอเจอสถานการณ์จริงจึงไม่ถึงกับช็อกเท่าไหร่ แค่เสียขวัญทำอะไรไม่ถูกอยู่สองสามวัน จากนั้นก็อาศัยญาติฝั่งแม่ที่ค่อนข้างจะเปิดกว้างมากกว่าค่อยๆ ตั้งตัวทีละก้าวจนมีทุกวันนี้ พูดเหมือนลำบากแต่ความจริงแล้วไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ถูกไล่ออกจากบ้านก็ยังมีที่ไป แต่... ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมานานแล้วคิดไปก็ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาหรอก
ผมชำเลืองมองคนทั้งสาม ก่อนหน้านี้ปายชวนผมไปนั่งรถเล่น นึกถึงตรงนี้ก็เพิ่งตระหนักได้ถึงสีหน้าท่าทางผิดหวังของปายตอนที่ผมบอกว่าให้แยกกันไป บางทีมันอาจจะอยากนั่งรถคันเดียวกับผมก็ได้ แต่พอดูสถานการณ์ตรงหน้าก็รีบสลัดความคิดสงสารเล็กน้อยนั่นทิ้ง ต่อให้ผมใจอ่อนนั่งรถคันเดียวกันมาก็คงเป็นรถมันไม่ใช่รถผม หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าจะล่อหลอกอะไรผมอีก แต่ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของผม ปายคิดอะไรอยู่ผมจะไปรู้ได้ยังไง
“นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันพี่จะว่าอะไรได้ล่ะ” ผมไม่เจาะจงว่าใคร เผยรอยยิ้มนุ่มนวล สีหน้าของปายพลันฉายแววหวั่นไหวออกมาวูบหนึ่งก่อนที่มันจะกลบเกลื่อนด้วยการพูดเอาใจผม
“พี่อยากกินอะไรเดี๋ยวผมไปสั่งให้”
“มีอะไรแนะนำ” ผมถามอย่างไม่ใส่ใจ
“เดี๋ยวผมไปขอเมนูมาให้”
พูดเสร็จปายก็ลุกขึ้นเดินไปหาพนักงานที่เคาน์เตอร์อย่างคล่องแคล่ว พริบตาเดียวก็เดินกลับมาพร้อมแผ่นเมนูในมือ
“ขอบใจ” ผมรับมาดูตามมารยาท ตอนแรกคิดว่าแค่ดูเฉยๆ อย่างมากก็แค่สั่งเบียร์สักกระป๋อง แต่คิดไปคิดมาตัดสินใจสั่งของว่างมาแกล้มเบียร์ด้วย อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไง เผื่อนำไปปรับปรุงกับร้านตัวเอง หลังตัดสินใจได้แล้วว่าจะสั่งอะไร ผมหันไปถามคนที่เหลืออย่างใจกว้าง
“เอาอะไรหรือเปล่า”
“ผมขอเบียร์” ปายเอ่ย ข้างๆ มันยังมีเบียร์อยู่หนึ่งกระป๋องแต่คงใกล้หมดแล้ว
“เบียร์ด้วย” ไลท์บอกเสียงเนือยๆ
ผมมองไปยังสาวน้อยเพียงคนเดียวบนโต๊ะ เธอปฏิเสธพลางจับแก้วชามะนาวที่อยู่ด้านข้างเป็นเชิงบอก “บีไม่เอาค่ะ อิ่มแล้ว”
ผมพยักหน้า หันไปบอกรายการอาหารกับปาย
“ครับ เดี๋ยวผมจัดการให้” ปายลุกขึ้นเดินถือแผ่นเมนูกลับไปยังเคาน์เตอร์ ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มทิ้งตัวกลับลงนั่งข้างผม
เบียร์สามกระป๋องถูกนำมาเสิร์ฟก่อน เหลือแค่ของว่างที่ต้องใช้เวลาเตรียมนานหน่อย ระหว่างรอของกินบรรยากาศบนโต๊ะตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะหนึ่ง เสียงทุ้มต่ำของไลท์ก็ดังขึ้น
“พี่สบายดี”
“ก็ไม่มีอะไรแย่ ทางนั้นล่ะ”
คำว่าทางนั้นของผมย่อมหมายถึงคนที่บ้านด้วย ไลท์กระตุกมุมปากมองผ่านๆ เหมือนกำลังเยาะหยันและถากถางผมอยู่ แต่หากมองดีๆ ก็แทบไม่มีอะไรผิดปกติ อาจเป็นแค่สีหน้าเปลี่ยนแปลงขณะจะเอ่ยปากพูดเท่านั้น
“อืม ไม่มีอะไรเปลี่ยน... ไม่สิ เปลี่ยนนิดหน่อย” ไลท์พูดออกมาแล้วก็ชะงัก กระตุ้นให้ผมรู้สึกสงสัยขึ้นมา
“เปลี่ยนนิดหน่อย?”
อะไรคือเปลี่ยนนิดหน่อย ผมหรี่ตาลงครุ่นคิดไปต่างๆ นานา แถมไลท์ยังไม่คิดจะขยายความ มันเปลี่ยนเรื่องคุยราวกับคำพูดก่อนหน้าไม่มีความหมาย
“พี่เปิดร้านเหล้าเหรอ” ไลท์ถาม ผมรู้ว่ามันรู้อยู่แล้ว ที่ถามก็แค่ต้องการยืนยันเท่านั้น
“อืม ปายไปมาแล้ว” ผมตวัดมองคนที่ชักนำให้ผมมาเจอกับน้องชายในคืนนี้ คิดว่าระหว่างทางที่ผมมาที่นี่พวกมันสองคนน่าจะบอกเล่ากันแล้ว
“บรรยากาศดีมาก อยู่ใกล้มหาลัย นักศึกษาเยอะ” ปายพูดอย่างไม่ติดขัด ท่อนท้ายเน้นเสียงเป็นพิเศษ
“บีเรียนที่นั่นน่าจะเคยไป” ไลท์หันไปมองแม่สาวข้างกาย
บียิ้มแล้วพยักหน้า “เคยไปสิ แต่ไม่รู้ว่าพี่ของพี่ไลท์เป็นเจ้าของ”
พอได้ยินว่าแม่สาวของไลท์เรียนที่มหาลัยใกล้ๆ ผมมองเธออีกครั้ง อดประหลาดใจไม่ได้
“ถึงว่าล่ะ ทำไมรู้สึกคุ้นหน้า” ผมพูดเอาใจอีกฝ่าย ไม่ได้คิดอะไรมาก เคยบอกแล้วว่าเธอไม่ได้โดดเด่น มีใบหน้าแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป ถ้าบอกว่าเคยไปเที่ยวร้านผม ดังนั้นจะเคยผ่านตาผมบ้างก็คงไม่แปลก