1

1395 Words
กระเป๋าเดินทางหลายใบถูกลำเลียงมาไว้หน้าบ้านไม้สองชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่หนึ่งร้อยตารางวา ก่อนที่เจ้าของกระเป๋าจะเดินออกมายืนรอรถตู้ที่จะรับไปสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา ไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน้นกับสามีใหม่ของธนวรรณ ที่หอบหิ้วบุตรสาวและน้องสาวไปอยู่ด้วย เด็กหญิงธนัสสรณ์หรือน้ำหวานวัยสิบสองปีหนึ่งในสมาชิกของบ้านหลังนี้ ชะเง้อคอมองไปยังประตูรั้วบ้านไม่วางตา ราวกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่ “มองหาพี่ใหญ่เหรอจ้ะน้ำหวาน” ธนพรน้าสาวเอ่ยถามหลานสาวอย่างรู้ใจ “ใช่ค่ะ พี่ใหญ่สัญญาว่าจะมาส่งน้ำหวาน” ปากเด็กหญิงพูด ทว่าสายตายังคงมองไปยังมองไปยังจุดเดิม “เดี๋ยวพี่ใหญ่คงมา พี่ใหญ่เป็นคนรักษาสัญญา รับปากอะไรไว้ก็ต้องทำตามนั้น” ธนพรปลอบหลานรักพร้อมกับฉีกยิ้มเมื่อเห็นร่างของคนที่ธนัสสรณ์รอคอย เดินเข้ามาในบ้าน “นั่นไง พี่ใหญ่มาแล้ว” ธนัสสรณ์มองคนที่ตนเองรอคอยด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าในใจจะหมองเศร้าที่ต้องจากพี่ชายข้างบ้านที่แสนดีไปอยู่คนละซีกโลก แต่อย่างน้อยก่อนจากลาเธอก็ได้พบหน้าเขา “สวัสดีครับคุณอา” จอมทัพ รุจิเวโรจน์วัยสิบเจ็ดปีพนมมือไหว้เจ้าของบ้าน รวมทั้งธนพร “สวัสดีจ้ะ” ธนวรรณมารดาธนัสสรณ์รับไหว้ “ใหญ่รู้ไหมว่า น้ำหวานชะเง้อคอรอใหญ่จนคอจะยาวเหมือนยีราฟแล้ว” “พี่ต้องขอโทษน้ำหวานด้วยนะที่มาช้า พี่ไปเอาของชิ้นนี้มาให้น้ำหวาน” จอมทัพส่งกล่องของขวัญที่ตั้งใจมอบให้สาวน้อยตรงหน้าที่มีความสวยโดดเด่นตั้งแต่เยาว์วัย เด็กสาวที่มัดใจเขาเสียอยู่หมัด “ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่” เด็กหญิงนำกล่องของขวัญนั้นกอดไว้แนบอก “จะไม่เปิดดูหน่อยเหรอว่าเป็นอะไร” จอมทัพพูดราวกับจะบอกเธอว่า ให้เปิดดูของที่ตนตั้งใจมอบให้ “พี่อยากรู้ว่าน้ำหวานชอบของที่พี่ให้หรือเปล่า” “ค่ะพี่ใหญ่ น้ำหวานจะแกะดูค่ะ” พูดจบสาวน้อยแสนสวยได้แกะห่อของขวัญที่บรรจงห่ออย่างสวยงาม พอเห็นของขวัญในกล่อง เธอยิ้มกว้างกอดสิ่งนั้นไว้แนบอก “น่ารักที่สุดเลยค่ะ น้ำหวานจะเก็บมันไว้ข้างกาย ทะนุถนอมมันด้วยชีวิตค่ะ” ของขวัญที่จอมทัพมอบให้เธอก่อนลาจากคือ ตุ๊กตาคิตตี้ที่เขาเคยสัญญาไว้กับธนัสสรณ์ว่า จะซื้อให้ในวันเกิดปีนี้ แต่ในวันนั้นเขาต้องเดินทางไปหาคุณปู่ในจังหวัดเชียงราย จอมทัพจึงซื้อมาให้เธอในวันนี้แทน “พี่ทำตามสัญญาแล้วนะ” จอมทัพบอกสาวน้อยตรงหน้า “พี่ยังมีของอีกชิ้นมอบให้น้ำหวานด้วย” “อะไรคะพี่ใหญ่” จอมทัพล้วงหยิบของชิ้นหนึ่งในกระเป๋าออกมา แล้วส่งให้ธนัสสรณ์ต่อหน้าบุพการีของเธอ ธนัสสรณ์มองแหวนทองคำขาวที่มีเพชรเม็ดงามอยู่ตรงกลางอย่างตื่นเต้น รอยยิ้มกระจ่างเต็มดวงหน้านวลที่สวยงามราวกับเทพธิดา ใจเธอเต้นระส่ำไปหมด ค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบแหวนวงนั้น ธนวรรณกับธนพรพากันยิ้ม เพราะรู้ความหมายของจอมทัพ “อาว่า ใหญ่สวมให้น้องดีกว่านะ” ธนวรรณที่อยากได้จอมทัพเป็นลูกเขยทุกลมหายใจ รีบบอกให้จอมทัพสวมแหวนให้บุตรสาว จะได้คล้ายกับว่า จอมทัพกับธนัสสรณ์หมั้นหมายกัน จอมทัพไม่ปฏิเสธคำบอกของธนวรรณ เขาหยิบแหวนในมือของสาวน้อยแล้วบรรจงสวมนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ “น้ำหวานจะไม่ถอดมันออกค่ะ จะสวมมันตลอดเพราะเท่ากับว่า พี่ใหญ่อยู่ใกล้ๆ น้ำหวาน” เด็กหญิงไร้เดียงสาเอ่ยบอกตามความรู้สึกของตนเอง “น้ำหวานอยู่ในใจของพี่เสมอ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนพี่ไม่มีวันลืมน้ำหวาน เมื่อถึงเวลาพี่จะไปหาน้ำหวานที่โน่นนะ” จอมทัพบอกความจริงจากใจให้เธอรับรู้ “พี่รักน้ำหวานนะ” เด็กสาวแก้มแดงระเรื่อ หัวใจยิ่งเต้นแรงมากกว่าเดิมกับคำบอกรักที่เอ่ยต่อหน้ามารดาและน้าสาว เป็นคำพูดที่เธอไม่มีวันลืม “น้ำหวานรักพี่ใหญ่ค่ะ น้ำหวานจะรอพี่ใหญ่มาหาน้ำหวานนะคะ” ทั้งคู่ต่างยิ้มให้กัน มองสบสายตากันนิ่ง ราวกับว่าไม่มีใครอื่นอย่างรอบข้าง ระหว่างนั้นรถตู้ได้แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน “ได้เวลาไปกันแล้วน้ำหวาน” ธนพรบอกหลานสาว ธนัสสรณ์ล้วงหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง ก่อนจะมอบให้เขา “พี่ใหญ่อย่าลืมน้ำหวาน อย่าลืมคำสัญญานะคะ” “พี่สัญญาว่า พี่ไม่มีวันลืมน้ำหวาน ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน เวลาจะผ่านไปนานเท่าใดพี่ก็จะไม่ลืม ความรักของพี่จะเป็นนิรันดร์” จอมทัพนำภาพถ่ายใบเล็กที่เธอมอบให้มาแนบไว้กับอก พร้อมกับย้ำคำมั่นสัญญาที่เขาจะยึดมั่นไว้ในใจ ธนวรรณ ธนพรและธนัสสรณ์ก้าวขึ้นรถตู้ หลังจากที่คนรับใช้นำกระเป๋าใส่ไว้ท้ายรถ ครั้นประตูรถปิดลง จอมทัพรู้สึกเหมือนกับว่า หัวใจหลุดหาย มองสาวน้อยที่กุมหัวใจเขาไว้ด้วยความอาลัย ธนัสสรณ์เองก็เช่นกัน มองเขาด้วยสายตาไม่ต่างกัน มีน้ำตาไหลรินเป็นทาง มองจอมทัพที่ยืนโบกมือให้เธอจนลับสายตา “พี่สัญญาว่า จะรักและเก็บหัวใจให้หวานคนเดียว” เป็นคำมั่นสัญญาที่เขาย้ำบอกกับตัวเอง แล้วจะยึดมั่นไว้จนกว่าเขาและเธอจะได้พบกันอีกครั้ง และวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่ทั้งคู่ห่างกัน 15 ปีผ่านไป สมาชิกในตระกูลรุจิเวโรจน์มารวมตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นกันอย่างพร้อมหน้า เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก หรือจะพูดได้ว่าในรอบปีจะมีสักครั้ง การที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ได้เป็นเพราะ ลิขิต รุจิเวโรจน์ประมุขของบ้านเรียกทุกคนมาเพื่อบอกกล่าวบางอย่างให้ทุกคนรับรู้ ที่ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักเป็นเพราะ ลิขิตได้แยกตัวไปอยู่บ้านอีกหลังที่อยู่บนเนื้อที่เดียวกันกับบ้านหลังใหญ่ เขาอาศัยอยู่กับนภาพรภรรยาน้อยมาร่วมยี่สิบปี ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างลิขิตกับสกาวใจ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ในสถานะต่างคนต่างอยู่ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า และไม่ถูกกันไปโดยปริยาย เจอหน้ากันทีไรต้องมีปากเสียง สกาวใจมักพูดจาเหน็บแนมลิขิตและภรรยาน้อยทุกครั้ง ซึ่งนภาพรเองก็ไม่เคยโต้เถียง เจียมตัว สยบปากสยบคำเพราะรู้ตัวว่าตนเองผิดที่แย่งสามีสกาวใจ การที่สมาชิกในตระกูลจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าแทบจะนับครั้งได้ “คุณแม่ทราบหรือเปล่าครับว่า คุณพ่อมีเรื่องอะไรจะบอกพวกเรา” วิมุตลูกชายเพียงคนเดียวของลิขิตเอ่ยถามมารดา “แม่จะไปรู้ได้ยังไง แม่ก็อยากรู้พอๆ กับเสกนั่นแหละ” สกาวใจแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆ สามีก็เรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันในห้องนั่งเล่นของบ้านใหญ่ ครั้นนางจะไม่มาก็ไม่ได้ เนื่องจากอยากรู้ว่าเรื่องที่ว่านี้คืออะไร หากไม่สำคัญลิขิตคงไม่ทำเช่นนี้ ความอยากรู้จึงมีมากกว่า “หรือว่าคุณปู่จะบอกเรื่องพินัยกรรมค่ะ” รุ่งอัมพรบุตรสาวคนโตของวิมุตคาดเดา “หน่อยว่าไม่ใช่หรอกค่ะ เรื่องพินัยกรรมไม่ได้สำคัญอะไร อีกอย่างคุณปู่ก็เคยบอกไว้แล้วว่า ใครได้อะไรบ้าง” รุ่งทิวาบุตรสาวคนเล็กของวิมุตไม่คิดเช่นเดียวกับพี่สาว เป็นเพราะลิขิตเคยบอกกับทุกคนไว้แล้วว่า ใครได้อะไรบ้างในทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลที่มีไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้าน และแบ่งให้ลูกหลานแต่ละคนดูแลกิจการที่แต่ละคนจะได้ครอบครอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD