“ครับ ค้างสักคืนคุณคงไม่ว่า ผมเห็นคุณถ่ายรูปเยอะแยะ แต่ไม่มีรูปคุณสักใบ เอากล้องมาผมจะถ่ายให้”
“อย่าดีกว่าค่ะ ฉันว่าเรารีบไปสมทบกับคุณลุงดีกว่า”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฟาติกเดินเป็นเพื่อนมิสเตอร์ไพรัชอยู่แล้ว รับรองเราไม่ปล่อยให้ลุงของคุณหลงไปไหนแน่ๆ ส่งกล้องมาเถอะผมจะถ่ายรูปให้ ไม่บ่อยนักหรอกนะที่คุณจะได้มาเยือนเมืองทะเลทรายแบบนี้”
เดนิมเลี่ยงที่จะไม่บอกว่า ความจริงแล้วยังมีอีกเส้นทางที่สามารถไปถึงโรงงานของเขาโดยไม่ต้องผ่านทะเลทราย และเขาเลือกเส้นทางนั้นก็ได้ นั่นก็คือใช้เครื่องบินส่วนตัว
หญิงสาวจำต้องส่งกล้องถ่ายรูปให้ รติรสเกร็งจะแย่เพราะไม่เคยให้คนแปลกหน้าถ่ายรูปให้เลยสักครั้ง
“ยิ้มสวยๆ สิครับ”
หญิงสาวเผลอค้อน จะให้เธอยิ้มสวยได้ยังไง แค่นี้ก็อายไปหมดแล้ว พวงแก้มสาวแดงก่ำร้อนวูบวาบไปหมด แสงแดดที่ว่าร้อนและร้าย แต่สายตาของเขาร้ายแรงกว่าอีก
เดนิมถ่ายรูปไปหลายครั้ง ก่อนจะเดินมาหาร่างบาง รติรสสวยและเขาชักอยากจะเห็นเธอสวมใส่ชุดพื้นเมืองแบบนั้นบ้าง
“นี่ครับ ผมถ่ายรูปสวยนะ รับรอง”
ดวงตาคมพราว เขาหลิ่วตาให้เธอครั้งหนึ่ง แต่พอจะยื่นกล้องให้ก็เปลี่ยนเป็นรวบร่างบางอรชรเข้ามากอดจนเต็มอ้อมแขน
รติรสหวีดร้องด้วยความตกใจ ร่างทั้งร่างถูกหมุนเข้าไปหลบข้างทาง เธอกำลังจะเงยหน้าต่อว่าการกระทำอุกอาจของชายหนุ่ม เสียงแตกตื่นของผู้คนทำให้เธอชะงัก
“ขอโทษครับ พวกคุณไม่เป็นอะไรนะ ม้าของผมมันตื่นเสียงแตรรถน่ะ” ชายคนหนึ่งวิ่งมาหยุดตรงหน้าพวกเขาละล่ำละลักพูดปนหอบ ขณะที่เพื่อนของเขาอีกสองคนวิ่งตามม้าตัวใหญ่ไป
เดนิมคลายอ้อมแขนออก ลำแขนกำยำยังคงโอบเอวบางเอาไว้
“ไม่เป็นไรครับ”
“ต้องขออภัยจริงๆ คุณผู้หญิงไม่เป็นอะไรนะครับ”
“ไม่ เธอปลอดภัยดี อินชา อัลลาห์...”
ชายหนุ่มจัดการยืนยันจนชายคนนั้นวางใจแล้ววิ่งไปตามม้าของตนต่อ
“คุณไม่เป็นไรนะ ต้องขอโทษด้วยเมื่อกี้ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก”
รติรสหน้าร้อนวูบวาบมากขึ้น รีบผละห่างกายแกร่ง ความอบอุ่นและลมหายใจอุ่นๆ ที่ราดรดพวงแก้มยามที่เขาก้มลงมาถามทำให้ใจเธอเต้นแรง
“คุณปลอดภัยผมก็สบายใจ ไปกันเถอะ เราต้องเดินทางกันต่ออีกหน่อยจะถึงโอเอซิส ที่นั่นตอนกลางคืนสวย ผมอยากให้คุณได้เห็น”
เดนิมยิ้มบางๆ พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม เมื่อครู่ปฏิกิริยาของเขาเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เมื่อมองเห็นม้าที่พุ่งมาทางเธอ
หญิงสาวพยักหน้า พยายามซ่อนความประหม่าเอาไว้ พวงแก้มสาวก็ยังแดงก่ำให้ตาคมได้มองเพลินๆ เรือนกายบุรุษยังกรุ่นในความทรงจำ เฉกเช่นความหอมอ่อนๆ จากเรือนกายสาวเร้ารึงความรู้สึกของชายหนุ่มให้อุ่นร้อนขึ้น
เดินกันมาสักพักก็ถึงรถ ไพรัชรออยู่ก่อนแล้ว
“สนุกไหมรส อากาศร้อนมากจนลุงจะเป็นลมเลยให้ผู้ช่วยของคุณเดนิมพากลับมาที่รถก่อน”
“เป็นอะไรมากไหมคะคุณลุง” หญิงสาวรีบเข้าไปประคองผู้เป็นลุงอย่างเป็นห่วง สีหน้ากังวลใจ
“ไม่หรอก ได้แอร์รถเย็นๆ ดีขึ้นแล้วล่ะ ที่เมืองไทยว่าร้อนมาเจอแดดที่บันดัรทำเอาเมืองไทยธรรมดาไปเลยนะครับคุณเดนิม”
“ครับ แต่ถ้าไม่ไหวหรือยังไงรีบบอกผมนะครับ ฟาติกจัดยาเตรียมพร้อมมาด้วยเผื่อกรณีฉุกเฉินอยู่แล้ว”
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จบลงพร้อมกับภาพโอเอซิสขนาดใหญ่ที่รายรอบบริเวณด้วยชั้นหินและต้นไม้หนาทึบ เต็นท์สามหลังถูกกางอย่างรวดเร็ว พอๆ กับบรรยากาศที่เริ่มค่ำลงรวดเร็วมาก ขณะเดียวกันรติรสก็สังเกตว่าอากาศลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบหลังจากอาทิตย์ลับเวิ้งทรายไปแล้ว
“อากาศตอนกลางคืนจะหนาว แต่ไม่ต้องห่วงผมให้ฟาติกเตรียมผ้าหนาๆ ไว้ที่เต็นท์แล้ว”
“ที่นี่สวยมากนะครับ ดูสิดาวดวงใหญ่ อยู่ใกล้มากๆ เต็มท้องฟ้าเลย”
หลังจัดการธุระส่วนตัวของแต่ละคนเสร็จเรียบร้อย กองไฟขนาดใหญ่ถูกจุดขึ้น อาหารมื้อแรกกลางผืนทรายกว้างก็เริ่มต้น
ไพรัชมองท้องฟ้าเบื้องหน้าอย่างนึกทึ่ง กรุงเทพฯ มองไม่เห็นดาวเลยสักดวง หากอยากจะชื่นชมธรรมชาติอันงดงามของท้องฟ้ายามราตรีจะต้องออกไปต่างจังหวัด
“คืนนี้จันทร์วันเพ็ญ ทะเลทรายที่นี่ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่กว่าปกติ ฟลูมูนน่ะครับ”
รติรสอดมองไปที่ท้องฟ้าและพระจันทร์ไม่ได้ มันดวงใหญ่จริงๆ เหมือนที่ชายหนุ่มบอก ความเหลืองนวลงดงามรายล้อมด้วยหมู่ดาวที่ดารดาษเต็มผืนฟ้าตัดกับความมืดมิดของราตรีกาล มองแล้วงดงามและมีมนตร์ขลัง
“เขาว่ากันว่าทะเลทรายมีมนตร์ขลังทำให้คนหลงทิศหลงทางกันได้ง่ายๆ” ฟาติกพูดยิ้มๆ
“แล้วแบบนี้พวกคุณทำยังไงล่ะครับ เวลาออกทะเลทราย” ไพรัชถามอย่างแปลกใจ
รติรสหันมามองชายหนุ่มอย่างสนใจเช่นกัน
“ถ้าเป็นผมในเวลานี้ก็จะพกโทรศัพท์มือถือ” มือหนาใหญ่หยิบโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ดังขึ้นมาโชว์ ก่อนจะได้รับเสียงโห่จากเพื่อนอีกสองคน
หญิงสาวยิ้มขำในความเป็นคนอารมณ์ดี สนุกสนานของฟาติก โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มสดใสนั้นทำให้ใครบางคนมองเพลินตา
“อย่าอวดความขายหน้าสิฟาติก” เดนิมทำเสียงขรึมใส่คนสนิท “ชาวทะเลทรายในสมัยก่อนจะจำทิศทางโดยการดูดวงดาว แต่เดี๋ยวนี้ก็อย่างที่ฟาติกบอกเรามีจีพีเอส”
“ใช่แล้วครับ พกเจ้านี่ไว้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง”
ไพรัชยิ้มขำกับท่าทางทะเล้นทะลึ่งของฟาติก
“นั่นสินะครับ ทุกวันนี้ไปที่ไหนเทคโนโลยีก็เข้าถึงหมด เอ... แล้วกลางทะเลทรายแบบนี้มีสัญญาณไหมครับคุณเดนิม”
“มีครับ บันดัรมีดาวเทียมสื่อสารเป็นของตัวเอง สัญญาณพวกนี้ยิงตรงมาจากดาวเทียมครับ รับรองว่าไม่มีคลื่นดับแน่นอน”
รติรสมองหน้ามาดมั่นของคนพูดแล้วก็แอบเบ้หน้าอย่างหมั่นไส้ เธอละเลียดอาหารช้าๆ เพราะไม่นึกหิวแต่พอใจกับบรรยากาศมากกว่า ที่นี่สวยอย่างที่เดนิมพูดเอาไว้จริงๆ กระนั้นเมื่อได้ยินคำพูดอย่างมั่นอกมั่นใจของชายหนุ่มเธอจึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“แล้วถ้าแบตหมดล่ะคะ หรือว่าโทรศัพท์ของบันดัรใช้วัสดุแบบแผงโซลาร์เซลล์ไม่ต้องต่อไฟฟ้า แค่วางไว้กลางแสงแดดก็ชาร์ตได้แล้ว”
คำพูดของหญิงสาวทำให้หนุ่มๆ ทั้งหมดหัวเราะขำ
“อืม เป็นแนวคิดที่น่าสนใจ ผมว่ามันน่าจะเป็นธุรกิจตัวใหม่ที่ถ้าทำสำเร็จต้องขายดีแน่ๆ” เดนิมพูดยิ้มๆ สานสบตากลมโตด้วยตาคมกล้าแพรวพราว