เจ้าของร้านกวาดตามองแล้วยิ้มกว้าง สีหน้าพึงพอใจ
“ไม่ยากเลยค่ะ สวยๆ แบบนี้ จัดให้ไม่ยาก ไม่ต้องห่วงนะคะ สวยสมใจคุณแน่นอนค่ะ” เจ้าของร้านรับปากแน่นหนัก ไคล์พยักหน้า ลักนาราถูกรั้งข้อมือลากเข้าด้านในห้องทันที
คนสวยถูกดันให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนใบหน้าจะถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางโทรสีพีช ผ่านไปราวชั่วโมงทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าของร้านยืนมองแล้วอมยิ้มกับผลงานทางร้าน เมื่อแต่งหน้าเรียบร้อย ถึงคราวต้องเปลี่ยนชุด แค่ปราดเดียวเจ้าของก็รู้ทันทีว่าชุดไหนเหมาะกับผู้หญิงสายหวานละมุน
เธอเลือก ชุดราตรีสั้น สีโกลด์แชมเปญ ดีไซน์เปิดไหล่ ปิดต้นแขน กระโปรงหน้าสั้นหลังยาว ตัวชุดผ้าโปร่งเนื้อละเอียดสีเนื้อ เดินเส้นผ้าริบบิ้นสีเนื้อโค้งหยักตามแบบ ซับในด้วยผ้าซาตินสีโกล์แชมเปญเย็บเก็บตะเข็บอย่างดีทั้งชุด ด้านบนตรงด้านหลังลำตัว เป็นผ้าผูกให้เข้ารูปกระชับพอดีตัว มีซิบที่กระโปรง มีฟองน้ำบางๆ ซับในช่วงหน้าอก ตัดเย็บให้ชุดดูเป็นทรง แล้วยื่นให้กับหญิงสาว ลักนาราจ้องมองอดชื่นชมไม่ได้ เพราะชุดนี้ไม่ได้โป๊เปลือยเลย มันดูดีเสียจนเธออยากลองใส่
“ลองก่อนนะคะว่าใส่ได้ไหม”
“เอ่อ... ค่ะ” เธอรับคำแล้วหยิบมา
หญิงสาวสวมชุดราตรีสั้น แล้วมองตนเองในกระจก แทบจำไม่ได้ว่านี่คือเธอจริงๆ มันเหมือนความฝันไม่ใช่ความจริง คนอย่างลักนาราไม่เคยต้องใส่ชุดแบบนี้ออกงานที่ไหนมาก่อน อย่างมากก็แค่ร่วมประชุมสัมมนาต่างจังหวัดเท่านั้น แต่นี่กลับต้องไปงานสังคมหรูหรา ชีวิตเธอกับไคล์ราวกับฟ้าและเหว
ร่างในชุดราตรีก้าวออกมานอกห้องลอง เจ้าของร้านตาโตสีหน้ายินดี เมื่อชุดที่เธอยื่นให้นั้นพอเหมาะพอดี
“สวยมากเลยค่ะ” เจ้าของร้านบอกสีหน้าภูมิใจ “เราออกไปกันเลยดีกว่านะคะ”
คนตัวเล็กก้าวตามอย่างว่าง่าย เจ้าของร้านโชว์ผลงานตนเองต่อหน้าผู้ว่าจ้าง ไคล์ขมวดคิ้วจ้องมองใบหน้าสวยหวานของเลขา เมื่อถูกเนรมิตให้สวมชุดมีราคาแต่งหน้าแต่งตายิ่งทำให้เธอดูงดงามขี้นอีก เขากลืนน้ำลายลงคอกระแอมก่อนลุกยืน
“เรียบร้อยนะครับ” เขาถามเจ้าของร้าน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เขาเหลือบมองมาทางเลขา “ไปกันเถอะครับคุณเลขา”
คนถูกเชิญก้มศีรษะแล้วก้าวตามเจ้านาย เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนกับชุดจนแทบอยากยกท่อนแขนกอดตัวเอง แต่เมื่อคิดจะทำก็ถูกสายตาเชิงตำหนิมองมา รถเคลื่อนออกจากบริเวณร้าน แล้วเดินทางไปยังจุดหมาย เกือบทุ่มตรงแสงไฟในงานส่องสว่าง ผู้คนเริ่มทยอยกันลงจากรถเฉกเช่นเดียวกับเธอ ไคล์ก้าวลงแล้วยืนรอ
ลักนาราไม่รอให้อีกฝ่ายคอยบอก ลงจากรถมายืนเคียงข้างเขาทันที ไคล์ยกท่อนแขนเพื่อให้เธอเกาะแต่ดูเหมือนเลขาคงไม่เข้าใจ ยืนมองสีหน้าสับสน
“อะไรคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ควงแขนผมสิ เคยเห็นในหนังในละครบ้างไหม”
คนฟังชะงักก่อนยอมทำตามความต้องการ ควงแขนเจ้านายเข้าสู่งาน สายตาหลายคู่จับจ้องมา ด้วยชื่อเสียงของไคล์มีคนสนใจมากอยู่แล้ว พอมีสาวสวยควงคู่ยิ่งน่าจับตามองเข้าไปใหญ่
พอเข้ามาในงาน นักธุรกิจเริ่มมารายล้อม ลักนาราอยากหลบไปทางอื่น แต่กลับต้องฝืนยิ้มออกมาแทนที่ เธอคงไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้ ไม่เช่นนั้นเจ้านายคงขายหน้ากลางงาน
“สวัสดีครับคุณไคล์ ผมนทีนะครับ”
ไคล์ยกมือจับ แล้วยิ้มบางๆ เมื่อเห็นสายตาของชายคนนี้มองไปยังเลขา แล้วหันมาสบตาเขาอีกที
“สวัสดีครับ”
“คุณคงไม่รู้จักผม ผมเพิ่งเริ่มธุรกิจ แต่ผมรู้จักคุณมานานแล้ว คุณเป็นต้นแบบของผมเลย”
“ขอบคุณนะครับที่ให้เกียรติผมขนาดนี้” สำหรับเขา แววตาของชายคนนี้ดูมีไฟ หากร่วมธุรกิจกันคงดี เขาไม่ได้ต้องการมหาเศรษฐี แค่ต้องการคนที่พร้อมก้าวไปด้วยกัน
ไคล์หยิบนามบัตรแล้วยื่นให้ “ไว้ติดต่อผมมาก็แล้วกันนะครับ”
“ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน” ไคล์บอกแล้วเดินเลี่ยงออกมาพร้อมกับเลขาคนสวย
ลักนาราอดชื่นชมชายคนนี้ในใจไม่ได้ แต่เธอไม่อาจแสดงออกทางสีหน้า นอกจากปั้นยิ้มให้กับนักธุรกิจมากมายที่เดินเข้ามาทำความรู้จักกับเจ้านายใหม่ ไม่นานเท่าใดนัก เขาพาเธอมานั่งเก้าอี้ เพื่อรอชมการเดินแฟชั่นโชว์ของเครื่องเพชร ซึ่งใช้ในการประมูลค่ำคืนนี้
นางแบบเริ่มเดินวาดลวดลายบนเวที แสงไฟสาดส่องช่วยเสริมให้เพชรประดับคอส่องประกาย ลักนาราจ้องมองภาพนั้นสายตาชื่นชม ก่อนหยุดที่นางแบบซึ่งกำลังเดินมาตรงหน้าเธอ พร้อมสบตา สีหน้าตระหนก ลักนาราเม้มริมฝีปากชักสีหน้าทันที
ทำไม... เพื่อนทรยศอย่างโยธิกาถึงโผล่มาให้เจอหน้ากันอีกแล้ว
ลักนารากัดฟันดูจนจบ เพราะไม่อยากให้ศัตรูตราหน้าว่าเธอกลัว แต่ทว่าภายในใจนั้นกลับยังคงกังวล ไม่อยากพบ ไม่อยากเจอหน้ากันอยู่ดี
“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ลักนาราบอกเจ้านาย
“ได้” ไคล์ตอบ ลอบมองสีหน้าเลขาด้วยความสงสัย เมื่อดูจากใบหน้าของเธอแล้ว ค่อนข้างเครียดกว่าปกติ
ลักนาราพาตัวเองออกมายืนสนามด้านนอกงาน แล้วระบายลมหายใจด้วยความหงุดหงิด เธอไม่ต้องการอยู่ในงานการกุศลบ้าๆ นี่แล้ว
“ลัก! นั่นคุณใช่ไหม!” เสียงเรียกเบื้องหลัง ทำให้เจ้าของชื่อหันมาสบตากับคนเรียก
ลักนารามองแฟนเก่าแววตาเรียบนิ่ง ไม่ต้องการแสดงอาการอะไรออกมา
“ถ้าใช่ แล้วจะทำไม” เธอตอกกลับเสียงแข็ง