“ถึงขนาดนี้แล้วยังจะโกหกได้หน้าด้านๆ ผู้หญิงเลือดเย็นอย่างคุณไม่รู้จักความเจ็บปวดหรอก ถึงฆ่าให้ตายคามือคุณก็จะไม่รู้สึกรู้สาถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด ขนาดคนคนหนึ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับความร่านความปลิ้นปล้อนของคุณ คุณก็ไม่ได้คิดถึงมันเลยอย่างนั้นใช่มั้ย!”
“หยุดที! เมมฟิส...หยุด!”
นุชนาถกรีดร้องก่อนที่เมมฟิสจะดึงสติของเขาคืนกลับจากความบ้าบิ่นมุทะลุที่ทำให้เขาเหมือนคนบ้าคลั่ง ชายหนุ่มหยุดตัวเองก่อนที่จะทำให้หญิงสาวเจ็บตัวไปมากกว่านี้ทั้งที่อยากฉีกเนื้อของดาราสาวออกเป็นล้านชิ้น เขาขบกรามเสียงดังและจ้องใบหน้างามที่ตอนนี้เมคอัพบนดวงตาและแก้มสีสวยละลายจากน้ำตาที่ถั่งล้นออกมาจนเกือบหมด
ผมย้อมสีเทาหม่นที่มุ่นมวยประดับดอกไม้ไว้อย่างดีหลุดลุ่ยกระจายเต็มแผ่นหลัง ร่างน้อยอ่อนเปลี้ยเพราะไม่สามารถตอบโต้คนตัวใหญ่ได้เลย ทว่าเสียงสะอื้นไห้นั้นกลับไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสะทกสะท้านหรือเห็นใจแม้แต่น้อย เมมฟิสเหยียดปากและนัยน์ตาฉายความดุดันหยาบร้าย
“คุณมีทางเลือกเดียวเท่านั้นรีส คือต้องไปฝรั่งเศสกับผมเดี๋ยวนี้”
นุชนาถส่ายหน้าและนัยน์ตาคู่งามยังกล้าแข็ง “แล้วถ้าฉันไม่ไปคุณจะทำยังกับฉัน”
“คุณไม่มีทางเลือกอื่นหรอกรีส เพราะถ้าคุณคิดจะขัดขืนผมจะให้คนของผมพาคุณยายของคุณไปอยู่บ้านพักคนชราและบอกท่านว่า...หลานสาวของท่านต้องการให้ท่านไปอยู่ที่นั่น”
“อย่านะคะ!” นุชนาถเสียงสูง เมมฟิสหยัดยิ้มและบีบไหล่มนแน่นขึ้นไปอีก
“แต่ถ้าคุณไม่ดื้อและยอมไปกับผมโดยดีผมก็จะให้คุณยายของคุณอยู่ในที่ที่เหมาะสมโดยที่ท่านจะรับรู้แค่ว่าหลานสาวคนเดียวที่เป็นดาราจรัสแสงต้องไปอยู่ที่ฝรั่งเศสเป็นเวลา...หนึ่งปี”
“หนึ่งปี! นี่คุณพูดเรื่องอะไร คุณบ้าไปแล้ว”
“โทรไปบอกคุณยายของคุณ!...บอกท่านว่าคุณต้องเดินทางไปฝรั่งเศสคืนนี้และต้องอยู่ที่นั่นหนึ่งปี”
เมมฟิสหยิบสมาร์ทโฟบนโต๊ะยื่นให้หญิงสาวที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของเขา นุชนาถเม้มปากแน่นและนิ่งเงียบทั้งที่ยังจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง นึกไม่ถึงเลยว่าพี่ชายของไมลี่จะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ ความคิดของเธอแล่นพล่านด้วยความเป็นกังวลและหวาดกลัว
เธอไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไร แต่ที่รู้คือตอนนี้คือเวลางานเลี้ยงที่เธอกำลังจะไปได้เริ่มขึ้นแล้วและเธอไม่สามารถไปที่นั่นได้อีก ไม่อาจไปเดินบนพรมแดงได้ในฐานะดาราดาวรุ่งดวงใหม่ แต่กลับต้องมาเผชิญหน้ากับคนบ้าบิ่นอย่างเมมฟิส แคเมอรอน เขากำลังบังคับให้เธอทำสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้อย่างใหญ่หลวง เธออยากยื้อเวลาไว้ให้นานที่สุดหากแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เมื่อเสียงดิบห้าวดังขึ้น
“หรือจะให้ผมเป็นคนโทรไปบอกคุณยายคุณว่า...”
“ฉันพูดกับท่านเอง!”
ร่างแน่งน้อยฉวยโทรศัพท์ในมือชายหนุ่มและรีบต่อสายไปหาคุณยายของเธอ นุชนาถแนบโทรศัพท์ไว้กับหูขณะเหลือบมองคนที่กำลังกอดรัดตัวเอไว้แน่นด้วยความคับแค้น แล้วเสียงอีกฝั่งก็ดังกลับมา
บทที่ 3 ทางเลือกที่ไม่อาจเลือก
“ฮัลโหล...”
“คุณยาย...คุณยายคะ นี่หนูเองนะคะ”
“หนู?”
“นูจังไงคะ...นุชนาถไงคะคุณยาย”
“อ้าว...นี่ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์ของหนูนี่นา”
“เอ้อ...หนูพึ่งเปลี่ยนเครื่องใหม่น่ะค่ะ เครื่องเก่าของหนูมันเสีย”
“นั่นสิ...ถึงว่า...เพราะเมื่อเช้ายายพยายามโทรหาหนูก็ไม่มีใครรับสายเพราะหนูไม่ได้ใช้เครื่องเก่านี่เอง”
นุชนาถเจ็บจี๊ดในอกเมื่อได้ยินเสียงยายของเธอ เธอยอมรับว่าผิดเองที่เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเพราะต้องรีบมาเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงสำคัญโดยลืมไปสนิทว่าคุณยายของเธออาจติดต่อมาหา นี่ถ้าเธอได้รับโทรศัพท์จากอาเคมิตั้งแต่เมื่อเช้าก็คงไม่ต้อง...
“นูจัง...”
“คะ...เอ้อ...คุณยายเป็นไงบ้างคะ?”
“ก็...แปลก ๆ นิดหน่อย เมื่อเช้านี้ยายตกใจมากรู้มั้ยที่จู่ ๆ ก็มีคนมาที่บ้านตั้งสี่ห้าคน ตอนแรกยายนึกว่าเป็นคนจากกองถ่ายแต่พอเขาบอกว่าหนูให้มารับไปอยู่ที่ไหม่ใครก็ไม่รู้ทำไมหนูจะให้ยายย้ายมาอยู่ที่อยู่ใหม่ไม่เห็นบอกล่วงหน้ากันเลย”
คำถามนั้นทำให้นุชนาถน้ำตาไหล หากแต่เธอก็ต้องบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติเพราะกลัวว่าอาเคมิจะไม่สบายใจ
“หนูขอโทษนะคะที่ต้องให้คุณยายย้ายที่อยู่กะทันหัน คือว่า...หนูอยากให้คุณยายได้อยู่ในที่ที่...สบายน่ะค่ะเพราะว่าหนูจะต้อง...”
“มีอะไรเหรอนูจัง บอกยายมาสิลูก”
“หนูต้องเดินทางไปฝรั่งเศสคืนนี้ค่ะและต้องไปอยู่ที่นั่นหนึ่งปี”
เสียงอีกฝั่งเงียบไปชั่วอึดใจแต่เป็นห้วงเวลาที่นุชนาถรอคอยราวกับชั่วชีวิต แต่แล้วก็มีเสียงแหบแห้งตอบกลับมา
“หนูกำลังจะเดินทางไปฝรั่งเศส โอ...แล้วนี่หนูจะไม่กลับมาหายายก่อนหรอกหรือ”
“มันเป็นเรื่องด่วนมากค่ะ หนูปฏิเสธงานที่รับปากเขาเอาไว้ไม่ได้จริงๆ”
“แย่จัง...อืม...แต่ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะลูกเพราะตอนนี้หนูก็เป็นดาราดังแล้วนะ ยายอยู่คนเดียวได้ แค่หนึ่งปีถ้ามันจะดีต่ออนาคตของหนู”
“คุณยายขา...หนูจะ...โทรหาคุณยายทุกวันนะคะ”
“ได้ซีลูก...นูจังไปอยู่ไกลต้องรักษาตัวเองนะ”