Ep2(2) : อานนท์ บูรณกำจร By...kanokrot

4410 Words
เพราะถ้อยคำเชือดเฉือน พูดเหมือนเธอเป็นตัวอะไรสักอย่าง เรียกสติของมุขธิดาให้กลับคืนมาสู่ร่าง เธอปาดน้ำตาทิ้งอย่างลวกๆ สูดน้ำมูกให้ไหลกลับเข้าไปใหม่ ก่อนเงยใบหน้าที่เปื้อนน้ำมูกน้ำตาขึ้นมองเจ้าของรถเฮงซวยคันที่เกือบชนเธอตายเมื่อกี้.. “ฉันไม่ได้แสดงอะไรเพื่อต้องการเรียกร้องเงินจากคุณทั้งนั้น มันเกิดขึ้นจากความประมาทของคุณไม่ใช่หรือไง...” หากแต่พอหญิงสาวพูดจนจบประโยค ดวงตากลมใสประหนึ่งหยดน้ำก็เอาแต่เบิกโพลงขึ้นอย่างตกตะลึง นี่มันนายอานนท์ ไอ้จอมดุพี่ชายของคุณนิ่มนี่นา... “เฮ้!นี่เธอยังกล้าโยนให้เป็นความผิดของฉันอีกเหรอยัยนักต้มตุ๋น หรือคิดว่าหนึ่งหมื่นมันดูน้อยเกินไป” อานนท์ฉุนกึกเมื่อได้ฟังคำพูดประโยคแรกของยัยผู้หญิงจอมเจ้าเล่ห์ที่ริคิดหาเงินด้วยวิธีกลโกง ชายหนุ่มชี้หน้าสาดดวงตาเกรี้ยวกราด มุขธิดารีบกระถดร่างหนีด้วยความหวาดหวั่นกลัวจะถูกเขาทำร้ายเอา  “ฉัน...ฉันไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น” มุขธิดาย้ำเสียงสั่นเครือรีบก้มใบหน้างุดจนค้างชิดหน้าอกไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปทางร่างสูงใหญ่อีก กลัวเขาจะตีเธอซ้ำ คนใจยักษ์ใจมารเห็นคนเป็นเพียงผักปลา คงทำอะไรได้ทั้งนั้น ถ้าเขาไม่พอใจขึ้นมา “ไปพูดหลอกเด็กสามขวบแถวบ้านเธอเถอะไป น้ำหน้าอย่างเธอน่ะเหรออมพระทั้งวัดมาพูดฉันก็ไม่เชื่อหรอก ถ้าเธอไม่มีแผนสูง หวังเรียกเงินจากฉัน ทั้งๆที่เธอก็เห็นว่ามันมีรถขับตรงมาแท้ๆ แต่เธอยังดันทุรังจะข้าม ถ้าไม่เรียกว่าจงใจ จะให้ฉันเรียกว่าอะไรมิทราบ” อานนท์เองถึงกับหรี่ตามองพิจารณาร่างเล็กกระจ้อยร่อย เก็บรายละเอียดบนพื้นผิวใบหน้าขาวๆที่เขาเห็นไม่ค่อยถนัด คลับคล้ายเหมือนเขาเคยเจอแม่คนนี้ที่ไหนมาก่อน หรือว่าจะเป็นหนึ่งในผู้หญิงของไอ้หลานจอมกะล่อนของเขาก็ไม่น่าจะใช่ เพราะแต่ละรายนั้นเขาพอจะจำหน้าได้ทุกคน หรือจะเป็นผู้หญิงของเขา นั่นยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ผู้หญิงระดับต่ำเตี้ยแบบนี้เขาไม่เคยแม้แต่จะเฉียดกายเข้าใกล้ให้กลิ่นเหม็นคละคลุ้งจนแทบอ้วกนั้นติดตัวเขาเด็ดขาด “สรุปเอาไง หมื่นหนึ่งแล้วไสหัวไปให้พ้นหน้าพ้นตา” เสียงเข้มตะคอกถาม ก้มดูเวลาบนข้อมือ ลูกน้องเขาคงใกล้ขับรถมาถึงตรงนี้แล้ว  เขาโทรเข้าเครื่องสันติ สั่งให้มันขับรถมารับเขาตรงนี้ แต่มันยังไม่โผล่หัวมา รอเพียงเวลา และจัดการกับขยะก้อนนี้ให้สะอาดเท่านั้น เขาจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนเสียที วันนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งเพลียเป็นบ้า ทั้งงานทั้งคนเล่นเอาเรี่ยวแรงเขาแทบไม่เหลือ เขาไม่อยากโทรหาพิต้า ใจเริ่มรำคาญเจ้าหล่อนเต็มแก่ ลำพังแค่เจ้าหล่อนทำตัววุ่นวายกับเขาจนเกินขอบเขตความเป็นเพื่อนในวันนี้ เขาก็แทบอยากจะสั่งปิดร้านอาหารกึ่งผับของเจ้าหล่อนมันเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ผู้หญิงพวกนี้สร้างแต่เรื่องน่ารำคาญ ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา ความอยากมีไม่สิ้นสุด เขาเลยไม่เคยพิศวาสผู้หญิงประเภทนี้สักเท่าไหร่ ไม่เคยคิดยกย่องหวังเอามาเป็นแม่ของลูกด้วยซ้ำ ผู้หญิงของเขาทุกคนต้องรู้จักขอบเขต จบแล้วคือจาก และจะไม่มีวันหวนกลับคืนมา ถ้าเขาไม่ต้องการ... มุขธิดาถอนใจให้กับคำถามไร้มนุษยธรรม หาความมีน้ำใจสักนิดยังหาไม่เจอจากน้ำคำต่างๆที่เขาสำรอกออกมา ยิ่งตอกย้ำเรื่องราววันนั้นได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเขาไร้หัวใจขาดความเป็นมนุษย์นี่เอง ถึงได้พรากเอาครอบครัวคนอื่นเขาให้แยกจากกันได้อย่างเลือดเย็น  หญิงสาวก้มมองสำรวจมองตัวเอง ลองขยับแข้งขยับขา พอเห็นไม่มีอะไรบุบสลาย นอกจากใจที่ยังสั่นผวากับสะโพกขัดยอกเล็กน้อย เธอจึงยันตัวเองลุกขึ้นยืนสะบัดเศษดินตรงก้นกางเกงยีนออก มองหากระเป๋าสะพาย เห็นมันตกอยู่ถัดไป ส่วนแกงแสนอร่อยนั้นไม่ต้องพูดถึง เธอเห็นมันตกแตกกระจายอยู่ตรงกลางถนน นึกเสียดายอยู่เหมือนกัน จนต้องแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่... พอมองซ้ายมองขวา คราวนี้เอาให้แน่ใจยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะเดินข้ามไปอีกฝั่ง เดินเลยไปอีกซีก จะเป็นป้ายรถเมล์สายที่ผ่านบ้านของเธอ อานนท์เปลี่ยนจากยืนเท้าสะเอวมายืนกอดอกแทน เขามองดูผู้หญิงตัวเล็กเท่ามด ก้มๆเงยๆกับตัวเองโดยไม่พูดไม่จา จับตาดูการกระทำของเจ้าหล่อนไปเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุดลมหายใจ เมื่อเขาเห็นยัยนั่น เดินข้ามถนนตัวปลิวไปอีกฝั่ง “นี่มันเรื่องบัดซบอะไรอีกวะ” อานนท์พ่นลมหายใจเสียงดังพรืด กัดฟันกรอดจนใบหน้าหล่อเหลาเขียวปั๊ด “ให้มันได้อย่างนี้สิ แม่ตัวดี...โว้ย!”  ทันใดนั้นไอ้ขาเจ้ากรรมมันเสือกทะลึ่งเร่งวิ่งตามร่างบอบบางจนแทบจะปลิวลมได้ ขยับฝีเท้าให้เดินเข้าไปใกล้มากขึ้น ก่อนชายหนุ่มจะยื่นมือแข็งแรงกระชากลำแขนกลมกลึงดึงทีเดียวร่างนั้นกลับลอยหวือปะทะเข้าหาร่างใหญ่ทันที “โอ๊ย!...” มุขธิดาหลุดเสียงร้องอุทาน ใบหน้าขาวนวลของเธอซุกแนบกับหน้าอกของเขาเต็มเปา จนได้กลิ่นกายชายหอมติดปลายจมูกตอนเธอแนบใบหน้าลงกับหน้าอกของเขา “จะรีบไปไหนแม่คุณ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย ไม่ใช่หรือไงหะ...” อานนท์ตะคอกถามเสียงห้วน ปลดมือตัวเองออกจากแขนเรียวเล็ก เขากลัวจะทำแขนเจ้าหล่อนหักคามือเสียก่อนจะพูดกันรู้เรื่อง “จะคุยเรื่องอะไร?ของคุณ” มุขธิดาสะบัดตัวออกจากชายหนุ่ม ย่นหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย “ก็เรื่องค่าเสียหายไง หัวไม่ได้กระแทกพื้นซะหน่อย ทำไมสมองถึงเสื่อมง่าย” “สมองคุณสิเสื่อม...” เธอตอบกลับ พร้อมกลับจะเดินเลี่ยงไปยังป้ายรถเมล์ต่อ ไม่คิดสนใจคนรวยประสานกลับอย่างเขา คิดอะไรไม่เข้าท่า คนอย่างเธอนี่นะหรือจะหากินด้วยการเอาชีวิตทั้งชีวิตมาเสี่ยงตาย เธอจนก็จริงแต่ไม่คิดเอาชีวิตมีค่าของตัวเองมาเสี่ยงให้รถคนรวยๆชนตายหรอก เขาคิดไปได้ยังไงแบบนั้น จิตใจต้องไม่ปรกติจริงๆนั่นแหละถึงจะคิดแบบเขาได้ มุขธิดาส่ายหัวให้คนมีความคิดไม่ปกติก่อนจะหันหลังเดินหนีตรงไปยังป้ายรถเมล์ มันดึกมากแล้วและเธอกลัวว่ารถประจำทางจะหมดเสียก่อน “เฮ้ย! แล้วนั่นเธอจะเดินหนีฉันไปไหนอีกวะ สรุปจะเอากี่บาทก็แหกปากเรียกมาสิโว้ย เดินหนีอยู่แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะคุยกันรู้เรื่อง คิดว่าเธอเป็นใคร ถึงได้กล้าเดินหนีผู้ชายอย่าง นายอานนท์ บูรณกำจรได้หะ! ” อานนท์ชักหัวเสียอยากยกมือขึ้นยีหัวตัวเองเพื่อระบายอารมณ์ ยัยผู้หญิงประสาทเอาแต่เดินหนีเขาลูกเดียว นี่ขนาดแหกปากบอกทั้งชื่อ ทั้งนามสกุลให้เจ้าหล่อนได้สังวรแล้วหยุดเดินหนีเขาเสียที แต่ดูเจ้าหล่อนทำสิ มันน่าจับมาเฉือนเนื้อทำลูกชิ้นโยนให้จระเข้มันกินนัก  ความจริงเขาจะเลิกตอแยไม่สนใจเจ้าหล่อนก็ได้ แต่ไม่รู้ทำไม ใจเขาถึงไม่ยอมปล่อยให้แม่นั่นเดินจากไปง่ายๆ เขาไม่ได้พิศวาสอะไรแม่นี่แน่นอน เรื่องนั้นตัดออกไปได้เลย ยิ่งมองดูสารรูปของเจ้าหล่อน มันไม่ได้มีตรงไหนน่าพิศวาสสักนิด แต่ไอ้ขาเจ้ากรรมมันยังทะลึ่งเดินตามอยู่ได้ นี่สิทำไม?  หรือเพราะเขาเกิดคันไม้คันมือ เกิดอยากใช้เงินฟาดหัวแม่ขยะก้อนกลมนี้สักปึกสองปึกให้หายหมั่นไส้ เอาให้เจ้าหล่อนตาโต เลิกเดินหนีเขาแล้วเปลี่ยนมาพินอบพิเทาเขาแทน เอ่อคงน่าจะเป็นแบบนั้นสินะ จะมีอะไรซะใจนอกเหนือไปกว่านั้นได้อีก คนขี้หงุดหงิดคิดไปเดินตามไป เมื่อระยะเริ่มห่าง อานนท์จึงตัดสินใจเร่งฝีเท้าขยับแซงขึ้นไปดักหน้าแม่ร่างผอมแห้ง แล้วกางมือทั้งสองข้างออก ป้องกันยายขยะก้อนกลมเดินหนีเขาอีก ถึงขาเขาจะยาวกว่าแต่ก็เล่นเอาเขาหอบได้เหมือนกัน ผู้หญิงบ้าอะไร เห็นตัวก็เล็กเท่ามดคันไฟแบบนี้ แต่ดันเดินเร็วชะมัด... มุขธิดาหยุดชะงักเท้ากะทันหัน เมื่อถูกร่างยักษ์ยืนปักหลักขวางหน้าเอาเสียดื้อๆ ดีเท่าไหร่เธอเบรกเท้าไว้ได้ทัน ไม่งั้นมีหวังหัวเธอต้องชนร่างใหญ่เท่าตึกจนเจ็บตัวอีกแน่นอน “ช่วยหลีกทางให้ฉันด้วยค่ะ” หญิงสาวช้อนใบหน้าขาวขึ้นมองคนจิตใจไม่ปรกติพร้อมขอทาง “ก็ถามว่าจะเอาเท่าไหร่ หมื่นหนึ่งพอไหม หรือไม่พอ งั้นฉันเพิ่มให้เป็นสองหมื่นหรือยังไม่พออีก...” ชายหนุ่มต่อรองพร้อมเอียงหน้าเลิกคิ้วเข้มคล้ายจะขอความคิดเห็นกับข้อเสนอของตนเอง มุขธิดาผ่อนลมหายใจหนักหน่วง มองหน้าเขาด้วยสายตารำคาญปนเบื่อหน่ายอยู่ในที เขาจะเอาอะไรกับเธออีกหนักหนา ในเมื่อเธอไม่ได้เรียกร้องให้เขาต้องมารับผิดชอบสักบาทเดียว เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก ไอ้ที่เป็นเล็กๆน้อยมันก็เกิดขึ้นตอนถูกเขาหิ้วปีกลากครูดไปกับพื้นปูนทั้งนั้น ตอนนี่ก็ดึกมาก กลัวรถเมล์คันสุดท้ายจะหมดเสียก่อน เธอไม่อยากโบกแท็กซี่ เพราะราคาคงไม่ใช่น้อยๆกว่าจะถึงบ้านของตัวเอง ถ้าหักออกจากค่าแรงคงเหลือเอาไว้ให้ค่าดอกของป้าได้ไม่กี่วัน เธอเสียดาย เก็บไว้จ่ายหนี้ดีกว่าจะเสียให้กับเรื่องไม่สมควรจะเสีย “ฉันไม่เอาค่ะ ถ้าคุณจะกรุณา ช่วยหลีกทางให้ฉันกลับบ้านน่าจะดีกว่านะคะ และฉันขอยืนยันตรงนี้ด้วยความสัตย์จริง ฉันมีสติดีพอที่จะไม่เอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเพื่อแลกกับเศษเงินของพวกคนรวยๆอย่างที่คุณกล่าวหา ฉันจนก็จริง แต่ฉันมีมือมีเท้ามีสมอง สามารถทำงานดีๆสุจริตอย่างคนปรกติเขาทำกัน หวังว่าคุณจะเลิกยุ่งกับฉันได้สักทีนะคะ สวัสดีและลาก่อน...” พูดจบร่างเล็กขยับขาก้าวหวังเดินเบี่ยงออกข้างให้พ้นจากกำแพงยักษ์ตัวใหญ่ หากทว่าคนขี้หงุดหงิดคว้าหัวไหล่ไว้หมับ ไม่ยอมให้ตัวเองถูกปฏิเสธเหมือนสิ่งไร้ค่าเป็นครั้งที่สาม “อย่ามาทำเป็นเล่นตัว โดยที่ไม่ดูสภาพตัวเองไปหน่อยเลย” อานนท์กัดฟันโน้มใบหน้าหล่อเหล่ากระชากใจสาวเข้าหาใบหน้าขาวลออ มุขธิดาเบี่ยงหน้าตัวเองหลบวูบ ความมอมแมมจากรอยคราบน้ำตายังทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้เห็น ยิ่งได้มองใกล้ใบหน้าเล็กเรียวรูปไข่ขาวจั๊วะ อานนท์ยิ่งหัวใจกระตุก เขาต้องเคยเห็นแม่ขยะก้อนกลมนี้มาก่อนแน่ๆ ทั้งรูปหน้า ดวงตาหรือแม้กระทั่งริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูธรรมชาติแบบนี้ แต่เขาเคยเห็นที่ไหนล่ะ? ชายหนุ่มไล้สายตาคมดั่งราชสีห์สำรวจดวงหน้าละอ่อนไร้เครื่องสำอางประทินโฉม แวบหนึ่งเขานึกถึงบ้านไอ้เสือ ไอ้น้องเขยผู้น่าสงสารของเขานั่นเอง ตอนนี้น้องนิ่มของเขายังใจแข็งไม่ยอมยกโทษให้มันง่ายๆ เขาได้แต่แอบสมน้ำหน้ากับความโง่บรมเห็นกงจักรเป็นดอกบัวของมัน แม้ในส่วนลึกของใจยังแอบมีสงสารมันบ้างเล็กๆน้อยๆในฐานะเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กก็ตาม  แต่ก็นึกสมน้ำหน้ามันมากกว่า อยากหูเบาไปเชื่อผู้หญิงอย่างลูกหว้าดีนัก น้องสาวนอกสายเลือดผู้อื้อฉาวของมัน หญิงสาวที่ใช้ชีวิตเหลวแหลกจนบรรดาเพื่อนนักเรียนที่นั่นเขารู้กันไปทั่วถึงกิติศักดิ์ลูกหว้ามีพฤติกรรมอย่างไร เห็นจะมียกเว้นไว้คนเดียวเท่านั้นที่โง่แล้วยังอวดฉลาด ก็คือไอ้พี่ชายตัวดีของเจ้าหล่อนนั่นแหละ ยกย่องเชิดชูน้องสาวของมันไม่ต่างจากคนตาบอดหูหนวก แล้วเอาความแค้นบ้าบอมาลงกับน้องสาวสุดที่รักของเขาแทน สมแล้วที่มันเจอคนจริงแถมใจเด็ดอย่างน้องนิ่ม มันจะได้เข็ดไม่กล้าทำอะไรไร้สติอีก  เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างปวีณกับนาทยสุรีเขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีก หลังจากถูกบิดามารดาขอร้องปนสั่งห้ามไว้ ท่านทั้งสองอยากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นบทเรียนของคนทั้งคู่ ถ้าทั้งคู่ผ่านมรสุมชีวิตช่วงนี้ไปได้ ในอนาคตไม่ว่าจะเจอปัญหาหนักหนามากสักแค่ไหนเข้ามาเป็นบททดสอบอีกสักกี่ครั้ง เชื่อว่าบทเรียนในครั้งนี้จะช่วยสอนให้คนทั้งคู่ยิ่งรักและมั่นคงดั่งหินผากันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีสติและคอยจับมือกันเดินเพื่อฝ่าฟันปัญหาที่จะเข้ามาอีกเรื่อยๆได้อย่างสบาย... อานนท์เอียงคอกะพริบตาเพื่อมองใบหน้ามอมแมมนั้นอย่างพิจารณามากยิ่งขึ้น “ปล่อยนะ...” คนถูกบีบหัวไหล่ร้องประท้วง เพราะรู้สึกเจ็บ พยายามแกะมือเขาออกแต่ไม่เป็นผล “เธอ...ยัยหนูหริ่ง!...” พอนึกถึงน้องเขยใบหน้าของแม่ผู้หญิงตัวเท่าหนูหริ่ง ผู้อาจหาญยอมกล้ากางปีกปกป้องเจ้านายในวันนั้นสาดเข้ามาในส่วนของความทรงจำเขาทันที อานนท์เบิกตาสีนิลขึ้น ไม่คิดว่าโลกจะเล่นตลก เขาสู้อุตส่าห์ส่งคนเข้าไปตามหาตัวแม่นี่ถัดจากวันเกิดเรื่องประมาณอาทิตย์กว่า แต่ทว่าเจ้าหล่อนไม่ได้อยู่ที่บ้านสวนของไอ้ปวีณนั้นอีกแล้ว ไม่มีใครรู้เจ้าหล่อนไปทำงานต่อที่ไหน รู้ว่าเป็นเพียงผู้ช่วยพยาบาลที่น้องสาวเขาเป็นคนจ้างมาพิเศษเท่านั้น ช่วงนั้นเขาก็กำลังยุ่งๆกับหลายเรื่องที่ต่างประดังประเดกันเข้ามาให้เขาจัดการสะสางเลยไม่ได้ติดตาม พอลูกน้องมารายงานว่าไม่เจอเจ้าหล่อนที่นั่น เขาจึงลืมๆเรื่องนี้ไปเสียสนิท พอยิ่งนานวันเข้าความสนใจในตัวของหญิงสาวกลับถูกลบเลือนจางหายไปจากความสนใจเขาในที่สุดนั่นเอง คนถูกจำได้เอาแต่หลบสายตาวูบ รู้สึกตกใจไม่น้อย “ใช่เธอจริงๆด้วย...” อานนท์คลี่ยิ้มมุมปากอย่างลืมตัว ตอนหาดันไม่เจอพอไม่หาแม่หนูหริ่งตัวหอมกลับเดินเข้าหากรงดักของเขาเสียเอง  “นั้นถ้าฉันให้เธอห้าหมื่น เธอจะยอมไปกับฉันคืนนี้ไหม” อานนท์มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา เขาอยากทำบางอย่างให้ตัวเองหายสงสัยเสียที มุขธิดาฟังข้อเสนอของเขาได้แต่เม้มปากแน่น คิดจะเอาเงินมาฟาดหัวเพื่อซื้อศักดิ์ศรีของเธออย่างนั้นเหรอ เหอะ!ฝันไปเถอะไอ้ผู้ชายจิตไม่ปกติ “ฉันไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น ปล่อยมือของคุณเถอะ ฉันจะกลับบ้านของฉัน และฉันก็ไม่ใช่หนูหริ่งอะไรนั่นของคุณด้วย คุณคงจำคนผิดแล้วละค่ะ” มุขธิดาส่ายหน้าหวือ รีบแกะมือหนาออกจากหัวไหล่ตัวเองพัลวัน  “ฉันจะกลับบ้าน ปล่อยฉันเถอะ เดี๋ยวรถเมล์มันจะหมดเสียก่อน ฉันไม่เอาเงินของคุณหลอกนะ ฉันเดินซุ่มซ่ามเอง ฉันขอโทษคุณก็ได้แต่อย่ามายุ่งกับฉันเลย”  “ไอ้เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว เธอผิดไม่ใช่ฉัน แต่ฉันยังไม่ให้เธอกลับ ฉันอยากให้เธอไปต่อกับฉันคืนนี้...”  “ทำไมฉันต้องไปกับคุณด้วย ฉันไม่ไป ฉันจะกลับบ้านของฉัน” มุขธิดายืนยันเสียงเข้มพร้อมกับสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุม อยู่ดีๆจะให้เธอไปไหนกับเขา ถึงเธอจะรู้ว่าเขาเป็นใครและมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเจ้านายเก่าแสนสวยแถมใจดีมากๆอย่างคุณนิ่มก็ตาม แต่การที่จู่ๆมาบังคับให้ไปไหนด้วยแล้วคิดเอาเงินมาฟาดกันแบบนี้ อย่าหวังว่าเธอจะตาโตรีบตะครุบรับมันไว้จนตัวสั่น แล้ววิ่งแจ้นกระโดดขึ้นรถตามเขาไปทันทีที่ได้ยินราคา “ฉันจะซื้อเวลาเธอคืนนี้ ไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อย...น่ะ” ท้ายประโยคคำสั่งคลับคล้ายเหมือนจะอ้อนวอนเสียมากกว่า เจ้าของเสียงเองยังมึนงงกับตัวเอง แต่ไหนๆก็ดันหลุดปากพูดดีๆออกไปแล้ว นัยน์ตาสีสนิมดั่งราชสีห์เลยทอดมองใบหน้าขาวอย่างรอคอยคำตอบอ่อนแสงลงกว่าที่เป็น มุขธิดาส่ายหัวแรง เธอไม่ไปกับเขาเด็ดขาด... “แค่ไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนเองน่า ไปนั่งเฉยๆไม่ต้องทำอะไร ฉันให้เธอตั้งห้าหมื่นเลยนะ เธอไม่ต้องเสียเหงื่อทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่นั่งเฉยๆแค่นั้น”  คนเสนอหรี่ตารอคอยคำตอบ เขายอมให้ถึงขนาดนี้ถ้าเจ้าหล่อนยังคิดปฏิเสธอีกก็โง่ตาย แต่จะได้นั่งเฉยๆหรือเปล่านั้น เรื่องนี้เขาไม่รับประกัน ถึงแม้เจ้าหล่อนจะดูห่างไกลกับคำว่าสเปคสาวบนเตียงของเขาอยู่มากโข ไม่ได้มีความสวยสะดุดตา ทรวดทรงองเอวนั้นผอมแห้งจนแทบปลิวลมได้ แถมการแต่งตัวยังดูมอมแมมซอมซ่อ ถ้าไม่ใช่แม่หนูหริ่งตัวหอม หางตาเขาไม่เคยคิดจะแลเลยด้วยซ้ำไป แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจมันเลย ทำไมเขาถึงได้อยากใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนี้ด้วยนักก็ไม่รู้ มันดึงเขาให้เข้าใกล้นับจากวินาทีแรกที่ได้เจอกับเจ้าหล่อนที่บ้านสวนของปวีณนู่นแล้วก็ว่าได้ เขาอยากคลุกวงในเจ้าหล่อน ความต้องการมันเร่งเร้าเขา และเขาต้องได้... “แต่ถ้าฉันอยากไปต่อกับเธอ ฉันจะเพิ่มเงินให้อีก” ยิ่งฟังข้อเสนอของชายหนุ่ม มุขธิดายิ่งนึกรังเกียจผู้ชายคนนี้จนแทบอยากอาเจียนใส่หน้า แต่เมื่อรู้ตัวเองดีว่าเธอไม่อาจสู้รบกับเขาได้ มุขธิดาจึงเลือกจะยืนฟังนิ่งสงบ ปล่อยให้ชายหนุ่มพล่ามข้อเสนอน่าขยะแขยงต่อไปเพียงคนเดียว “เงินไม่ใช่น้อยๆ ทำงานทั้งชาติเธอจะหาได้เท่าที่ฉันเสนอให้หรือเปล่าก็ไม่รู้” มุขธิดาไม่คิดสนใจ เธอเหลือบมองเห็นแสงไฟจากหัวรถเมล์สายที่ตัวเองนั่งประจำ มันวิ่งมาแต่ไกล หัวใจดวงน้อยเริ่มชื้นขึ้นมาได้หน่อย ถ้าเธอออกแรงสะบัดตัวแล้วผลักเขาตอนเผลอ เธอคงหลุดรอดเงื้อมมือเขาได้ ถึงเขาจะตัวโตกว่าหลายเท่า แต่ถ้าทำตอนเขาเผลอ เขาคงไม่ทันระวังตัวนัก พอวาดแผนการไว้ในหัว หญิงสาวจึงเริ่มต้นปฏิบัติการทันที ขืนรอช้ากว่านี้ มีหวังเธอคงถูกเขาหิ้วปีก บังคับให้ไปตกนรกกับเขาเป็นแน่... “ปล่อยฉันเถอะ! ฉันจะกลับบ้าน” หญิงเอ่ยคำพูดเพื่อถ่วงเวลา “ก็บอกว่าไม่ปล่อย จะซื้อตัวไปกินข้าวด้วยไง” คนขี้หงุดหงิดย้ำขึ้นเสียงเข้ม ดึงร่างเล็กเข้ามาชิดกายกำยำมากขึ้น มุขธิดารีบขืนตัวออกห่างอย่างอัตโนมัติก่อนจะเผลอตัวตวาดแว๊ดใส่ชายหนุ่ม “ เอ๊ะ!ก็บอกว่าฉันไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้นไง นี่คุณฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรือฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องกันแน่คะ” อานนท์เริ่มดวงตาลุกเป็นดวงไฟเล็กๆ บีบรัดร่างเล็กเข้าหารำกายแน่นหนาขึ้นอีกก่อนจะผ่อนแรงเมื่อเห็นสีหน้าของยัยหนูหริ่งเหยเก เจ้าหล่อนคงรู้สึกเจ็บสินะ “แล้วอีกอย่างฉันก็เป็นคนเหมือนกับคุณไม่ใช่ผักปลาที่จะมาหาซื้อกันง่ายๆ ด้วย” “แล้วไงอีกหึ!...” อานนท์ถามเสียงยัวะโน้มใบหน้าลงประสานสายตากลมโตที่ดูจะเอาเรื่องขึ้นมาเล็กน้อย ชายหนุ่มผ่อนลำแขนข้างหนึ่งลงไปเกาะกุมสะโพกกลมกลึงเล่นพร้อมกับลูบไล้ไปมาอย่างนึกสนุก แล้วแอบคอยดูปฏิกิริยาของหญิงสาว เขาอยากทำสอบ ไอ้ที่ทำเป็นไม่สนใจจำนวนเงินนั้นเรื่องจริงหรือเป็นการแสดงของสาวเจ้ากันแน่ แต่การกระทำดังกล่าวมันไม่ใช่ผลดีสำหรับตัวเขานัก เพราะคนที่ทรมานดันเป็นเขาไม่ใช่ยัยหนูหริ่ง เมื่อความคับตึงตรงเป้ากางเกงมันเริ่มขยายพองตัวออกด้วยสัญชาตญาณตามธรรมชาติใฝ่ต่ำของบุรุษเพศเช่นเขา  อานนท์กดฝ่ามือซุกซนลงน้ำหนักบนสะโพกกลมกลึงเมื่อความต้องการก่อตัวอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนดันมันเข้าหากึ่งกลางลำตัวเมื่ออารมณ์เริ่มแตกกระเจิง  ส่วนมุขธิดาผวาดิ้นหนีสัมผัสจาบจ้วง มองเขาตาเขียวปัด อานนท์หัวเราะอย่างนึกสนุก แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมรามือยืนอยู่นิ่งๆไม่ขยับฝ่ามือลูบไล้ความนุ่มนิ่มนั้นอีก เขาไม่อยากทำให้หนูหริ่งเตลิดหนีไปไกลก่อนเจ้าตัวจะยอมตกปากรับเขาเพื่อไปกับเขาในค่ำคืนนี้  “ฉันไม่ได้ขายตัว คุณไปหาซื้อคนอื่นเถอะ อย่ามายุ่งกับฉันเลยนะ” เธอส่งสายตาเว้าวอน ปัดอารมณ์โกรธทิ้งเมื่อไตร่ตรองดูแล้วมันคงไม่เป็นการดีแน่ถ้าหากเธอจะเอาไม้ซีกไปงัดกับไม้ซุงอย่างผู้ชายที่ชื่อ อานนท์ เพราะใจนั้นนึกกลัวจะถูกเขาบังคับฉุดเธอไปทำเรื่องอย่างว่าจับใจ ผู้ชายคนนี้ใจร้าย ใจดำ เขาคงทำได้ทุกอย่าง เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง “แล้ว...” อานนท์เลิกคิ้วเข้มทำสีหน้านิ่งเรียบเพื่อหยุดรอฟังเจ้าหล่อนจะพรรณนาโวหารอะไรเรื่อยเปื่อยออกมาอีก ถึงจะรำคาญหูเพราะไม่เคยต้องทนฟังใครพูดเรื่องไร้สาระได้นานๆสักที ทว่าตอนนี้เขากลับทนฟังเจ้าหล่อนพูดได้เป็นวรรคเป็นเวร หงุดหงิดแต่ก็อยากฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าหล่อนต่อ อาจเป็นเพราะกลิ่นตัวหอมๆที่ลอยฟุ้งออกมาจากข้างในตัวของแม่หนูหริ่ง มันสะกดเขาเอาไว้หรือเปล่าข้อนี้เขาเองไม่รู้ตัวเหมือนกัน ร่างสูงโน้มใบหน้าเข้าหาความอ่อนละมุนจากกลิ่นกายสาวมากขึ้นกว่าเดิม ความหอมที่ไม่ได้เกิดจากน้ำหอมยี่ห้อดังที่เขามักคุ้นชินจากบรรดาสาวๆรอบกาย กลิ่นหอมเฉพาะตัวของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกถูกใจ ดมเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเบื่อ “ก็ไม่แล้วไงหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะกลับบ้านเท่านั้น” “เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะให้คนของฉันส่งเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย” อานนท์พูดแล้วกวาดสายตามองร่างบอบบางตั้งแต่หัวจรดเท้า “ฉันกลับเองก็ปลอดภัย เพียงแต่แค่คุณยอมถอยห่างแล้วปล่อยมือออกจากตัวฉันแค่นั้นพอ” ตอบเขาด้วยน้ำเสียงเครียดเครือ เมื่อหญิงสาวมีความรู้สึกโกรธกับสายตาดูแคลนยามเมื่อเขามองสำรวจเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อสักครู่ สายตาที่เธอมักเห็นจนชินชาจากคนรอบข้างที่มีกินและร่ำรวยกว่า มุขธิดาไม่อยากเห็นมันอีก เธอจึงเลื่อนสายตาตัวเอง มองเลยใบหน้าหล่อเหลาของคนจิตใจไม่ปรกติไปทางเป้าหมายแทน พอเห็นแสงไฟจากไกลๆเริ่มใกล้เข้ามาทุกที มุขธิดาเตรียมกะจังหวะตอนเขาเผลอ ไม่ใช่เธอไม่กลัวเขา ใจเธอยังกลัวแสนกลัวอยู่เต็มอก แต่รอบตัวเธอนั้นไร้ผู้คนเดินผ่าน ไม่รู้จะเรียกหาให้ใครช่วยเหลือ นอกจากตนเป็นที่พึ่งเห็นตนเท่านั้นในเวลานี้ “อย่าทำเป็นคนหัวดื้อพูดจาไม่รู้เรื่องนักเลย เพราะฉันไม่ชอบและไม่อยากได้ยินคำว่า ไม่...จากผู้หญิงอย่างเธออีก หนเดียวก็ไม่อยากฟัง ”  อานนท์กัดฟันแน่นเมื่อมุขธิดายังยืนยันที่จะไม่ยอมไปกับเขา ไอ้มือที่เกาะกุมหัวไหล่มนไว้ขยุ้มเข้าเนื้อนิ่มจนเขาเห็นใบหน้าเล็กบิดเบี้ยว ทว่าเจ้าหล่อนไม่ร้องขอความเห็นใจจากเขาสักคำ ดี...อยากมาทำปากเก่งกับเขาก่อน ทำให้เจ็บเสียบ้างจะได้หัดจำ อย่าบังอาจทำตัวเป็นปรปักษ์ กับนายอานนท์คนนี้เป็นอันขาด ถ้ายังไม่อยากตายแบบศพไม่สวย... “หรือว่าเงินห้าหมื่นยังน้อยเกินไป ก็ได้...นั้นฉันจะเพิ่มเงินให้เธออีกก้อนเป็นหนึ่งแสน คิดว่าเธอคงไม่คิดโก่งค่าตัวเพิ่มเกินกว่านี้อีกหรอกนะ” อานนท์รีบพูดดักทางเมื่อเขาคิดว่ามุขธิดากำลังโก่งค่าตัวกับเขาอยู่ ถึงได้เอาแต่ปฏิเสธเขาตลอดเวลา “ว่าไง...หนึ่งแสนสำหรับนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนฉันคืนนี้ แต่ถ้ามีอะไรต่อจากนั้น ฉันจะเพิ่มให้เธออีก เป็นค่าเสียเวลา ขอให้เธอสบายใจได้เลย เพราะผู้ชายอย่างนายอานนท์ถ้าเกิดถูกใจอะไรขึ้นมาสักอย่าง มันจะทุ่มให้ไม่อั้นและก็ไม่คิดจะเอาเปรียบเพื่อต้องการกดราคาสักบาทด้วยนะ” ชายหนุ่มโอ้อวด ทว่ามุขธิดาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงเพราะเธอกำลังรอคอยเวลา ดวงตาดำกระจ่างใสวาววับมุ่งมั่นกับสิ่งที่รอคอย จนอานนท์ชักเริ่มเอะใจ เขาหรี่ตามองหญิงสาวเพื่อจับพิรุธ ยัยนี่กำลังคิดจะทำอะไร?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD