มุขธิดาล้วงเอาอุปกรณ์จดออเดอร์ออกจากกระเป๋ากระโปรง พร้อมกับเดินเข้าไปดูแลลูกค้าโต๊ะด้านในสุด ไฟตรงนั้นสว่างจ้าเนื่องจากบนเพดานประดับโคมไฟทรงกลมไว้หลายอัน ระดับความสูงก็ลดหลั่นกันไป ส่วนดีไซน์โต๊ะอาหารโซนนี้ก็สุดเก๋ไก๋ พนักพิงหุ้มหนังสีดำ สูงระดับหน้าอกของเธอเท่านั้น หากทว่าพื้นนั่งกลับเตี้ยเกือบติดพื้น ดูแปลกตาดีเหลือเกิน
ตอนนี้มีหนุ่มนักศึกษาอายุประมาณยี่สิบต้นๆนั่งจับจองล้อมโต๊ะกันถึงสี่คน แต่ละคนยังสวมชุดนักศึกษาติดเข้มสถาบันชัดเจนตรงหน้าอก พกพาเอาใบหน้าละอ่อนหล่อเหล่า ดูเป็นจุดน่าสนใจให้บรรดาสาวๆรอบข้างจับจ้องตาเป็นประกาย
ในตอนแรกพี่พลอยขยับจะเข้ามารับเอง แต่ติดลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าตัว ลูกค้าโต๊ะนั้นเดินเข้ามาสะกิดเพื่อขอความช่วยเหลือบางอย่าง มุขธิดาซึ่งเพิ่งเดินกลับมาถึงเคาน์เตอร์บาร์พอดี หลังจากนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ลูกค้าเสร็จพอเห็นพี่พลอยพยักพเยิดส่งสัญญาณให้เธอเข้าไปรับลูกค้าโต๊ะนั้นแทน เธอจึงไม่คิดอิดออด รีบสาวเท้าขยับเดินเข้าไปต้อนรับลูกค้าต่อในทันทีด้วยความเต็มใจ
ใบหน้าขาวใสดูอ่อนกว่าอายุจริงอยู่มากโขนั้น เลือกแต่งแต้ม เพิ่มสีสันให้ใบหน้าของตนดูโดดเด่นขึ้น ด้วยเครื่องสำอางเพียงน้อยชิ้น เธอเลือกทาเพียงลิปสติกสีชมพูอ่อนกับบรัชออนปัดแก้มสีพีช แค่นี้ก็ทำให้ใบหน้าจืดชืดเหมือนเต้าหู้ ดูน่ามองขึ้นมาทันตา
ความโชคดีของเธอ หรืออาจเรียกเป็นความภูมิใจที่พ่อแม่ให้เธอมาตั้งแต่เกิดก็ได้ นั่นคือการเกิดมามีผิวที่ขาวอมชมพูเนื้อผิวนั้นละเอียดจนเห็นเส้นเลือดฝอย ยิ่งใบหน้าของเธอนั้นยิ่งแล้วใหญ่ มันเนียนใสยิ่งกว่าก้นเด็กทารกเสียอีก ทั้งชีวิตตั้งแต่จำความได้จวบจนกระทั่งเข้าสู่วัยสาวเต็มตัว เธอแทบไม่ต้องเปลืองเงิน ซื้อครีมบำรุงเพื่อมาประทินผิวเหมือนกับบรรดาสาวๆโดยๆทั่วไป
มุขธิดาระบายยิ้มสดใสนำทางไปให้ลูกค้าวัยละอ่อน พอถึงโต๊ะดังกล่าว ร่างระหงโน้มคำนับลงต่ำ ด้วยกิริยานอบน้อม พร้อมกับเตรียมอุปกรณ์จดรายการอาหารถือไว้ในมือ ปากอิ่มเอื้อนเอ่ยถามเสียงใสไม่ต่างจากใบหน้าตัวเองสักนิด
“จะรับออเดอร์อะไรดีคะ”
เธอถามเสียงนุ่มนวลแต่หากทว่ามือที่กำลังเตรียมจดรายการอยู่นั้น มีอันต้องชะงักไปเล็กน้อย เพราะแทนที่ลูกค้าจะสั่งอาหารตามปรกติ เขากลับเอ่ยปากชวนเธอคุยเรื่องส่วนตัวอย่างคนนิสัยเจ้าชู้ที่เธอมักเจอะเจออยู่บ่อยครั้ง มุขธิดาทำเพียงส่งยิ้มอ่อนบางเพื่อรักษามารยาทและไม่ทำให้ลูกค้าเกิดความไม่พอใจถ้าหากเธอจะแสดงสีหน้าไม่ชอบใจตามความรู้สึกอันแท้จริง
“เป็นพนักงานใหม่หรือครับ” หนุ่มนักศึกษานั่งริมสุดเป็นผู้ส่งเสียงทักทายเธอก่อน ใบหน้าขาวตี๋กระเดียดไปทางหนุ่มเกาหลีที่สาวๆส่วนใหญ่ตามกรี๊ดกร๊าดยักยิ้มละไมเสริมคำพูดของตนเองอย่างน่ารัก
“ค่ะ...จะรับอะไรดีคะ” พอตอบเสร็จเธอจึงทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ไม่อยากสนทนาอะไรให้มากความ
“ถึงว่าสิ มานั่งกินร้านนี้ก็บ่อย ถึงไม่เคยเห็นหน้าสวยๆของน้องเลยสักที”
มือที่กำลังจะจดรายการอาหารมีอันต้องหยุดชะงักอีกครั้ง มุขธิดาเงยหน้าขึ้นจากอุปกรณ์ในมือ ระบายยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับเด็กหนุ่มที่เอ่ยปากชมเธอ แถมเด็กหนุ่มคนนี้ยังตาดี คิดว่าเธออายุอ่อนกว่าเขาเสียอีกด้วย ทั้งที่ความจริงอายุของเธอคงเป็นพี่สาวของเด็กหนุ่มโต๊ะนี้มากกว่าจะเป็นน้องสาว
“ไอ้ปลา กูหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว มึงจะชวนน้องเขาคุยอีกนานไหมหะ กูจะได้สั่งอาหารกับน้องเขาสักที” เด็กหนุ่มที่นั่งติดกับเธอส่งเสียงประท้วง ใบหน้าเริ่มงอแง
มุขธดาอมยิ้มในบทสนทนาของเพื่อนนักศึกษากลุ่มนี้ ถึงจะฟังดูหยาบคายไปบ้างตามภาษาวัยรุ่น แต่มันบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เป็นอย่างดีคงจะมีความสนิทแนบแน่นกันมากมิใช่น้อยเลยทีเดียว...
“นั่นสิไอ้ห่านี่ มึงหัดนั่งอย่างคนสงบปากสงบคำแบบพวกกูดูเสียบ้างสิ ไม่ใช่พอเห็นคนสวยหน้าตาดีเข้าหน่อยหางกระดิกหูนี่ก็เริ่มชี้ตลอดเลยนะมึง สอนไม่เคยจำ เดี๋ยวเหอะ กูจะโทรไปฟ้องพี่นนท์พ่อคนที่สองของมึงให้มาด่ามึงเสียให้เข็ด...”
มนต์สกรที่นั่งถัดจากหนุ่มน้อยที่ชื่อปลา เอี้ยวตัวไปขึงตาใส่พร้อมต่อว่าเพื่อนจอมกะล่อน พร้อมชี้นิ้วขู่จะฟ้องไปถึงลูกพี่ลูกน้องจอมโหดของมันอีกด้วย
“หุบปากหมาๆของมึงไปเลยไอ้ม่อน อย่าเอ่ยถึงพี่นนท์ให้เสียบรรยากาศ เดี๋ยวพลอยทำให้กูแดกข้าวเย็นไม่ลงเสียเปล่าๆ มึงก็รู้ กูยังถูกคาดโทษเรื่องวันก่อนนั้นอยู่เลย ขืนไอ้พี่นนท์แม่งรู้ว่ากูยังไม่สำนึกคงได้มาฟาดหัวกูแตกยับเป็นแน่” คนถูกขู่แยกเขี้ยวเก๋จนเห็นซี่ฟันเล็กๆตรงมุมปาก แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีหญิงสาวที่ตนเองหมายตายืนอยู่ด้วย จึงรีบปรับเปลี่ยนท่าที จากไอ้ที่แยกเขี้ยวเหมือนยักษ์อยู่นั้นกลับกลายร่างเป็นกระต่ายน้อยส่งยิ้มหวานหยดไปให้นางในดวงใจ
“กูว่ามันไม่สำนึก” มานัสสะกิดบอกมนต์สกรณ์พร้อมบุ้ยปากไปหา
“อืม! กูก็เห็นด้วยกับมึงไอ้หรั่ง”
“ก็น้องเขาน่ารักนี่มึง กูชมเขามันผิดตรงไหนวะ พวกมึงก็ห่วงแต่จะแดกกันท่าเดียว ปล่อยกูขายขนมจีบน้องเขาหน่อย เผื่อกูจะดวงดี ได้เนื้อคู่กลับออกไปจากร้านนี้สักคน” ประภาวิธ หัวเราะร่วนสวนคำพูดเพื่อนกลับทันควัน ไม่สนใจเพื่อนทั้งสามจะหิวโหย ใบหน้าเขียวเข้มใส่ตนมากขนาดไหน ก็คนมันชอบอยากจะสานสัมพันธ์ มันผิดตรงไหนวะ
“กูอยากจะถีบแม่งให้สักที เนื้อคู่บ้านป๋ามันนะสิ เดือนนึงกูเห็นมันเล่นมีเป็นสิบคน ไม่แคล้วพ่อคนที่สองมันต้องมาช่วยเคลียร์ให้อีก...”
มานัสส่ายหน้านึกระอาใจกับพฤติกรรมตกหลุมรักสาวไม่เลือกหน้าของเพื่อนสนิทตนเอง มันรูปหล่อบ้านรวยมหาศาล จึงชอบทำตัวหว่านเสน่ห์ใส่พวกสาวๆเขาไปทั่ว แต่คนอย่างไอ้ประภาวิธมันไม่เคยคิดจริงจังกับสาวคนไหนหรอก ฟันแล้วก็ทิ้ง ทิ้งแล้วก็หาฟันใหม่ไปเรื่อยๆ มีเงินมีชื่อเสียงของวงตระกูลเป็นตัวล่อซะอย่าง สาวคนไหนบ้างเห็นนามสกุลมันแล้วจะไม่ยอมถวายให้หมดทั้งตัว จะว่าไปแล้วจะโทษไอ้ปลาฝ่ายเดียวมันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะสาวๆบางคนนั้นก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ตาโตเนื้อเต้นระยับรีบกระโจนเข้าใส่ไอ้ปลาเพียงแค่ได้เห็นนามสกุลของมันโดยไม่คิดจะสนใจมองส่วนอื่นเป็นองค์ประกอบเลยด้วยซ้ำ
นี่เมื่อเดือนก่อน เรื่องที่มันไปก่อคดีไว้ ก็เพิ่งจะสงบลงได้ไม่นาน วันนี้มันยังมีหน้าจะสร้างวีรกรรมบันลือโลกให้พี่นนท์พ่อคนที่สองของมันคอยตามเช็ดตามเก็บอีกแล้วหรือไง มองหน้ามันทีไรก็ไม่ต่างจากมองหน้าตัวปัญหาของครอบครัวเลยให้ตาย
“กูจะฟ้องพี่นนท์” ภาวินที่นิ่งเงียบที่สุดในกลุ่มพูดเสริมมานัสอีกคนอย่างอดไม่ได้ นึกเอือมกับนิสัยเสียของไอ้เพื่อนรูปหล่อพ่อรวยคนนี้เหลือเกิน คดีเก่าล่าสุดเขายังปวดหัวกับมันไม่หาย นี่เขาจะต้องปวดหัวไปกับมันอีกแล้วว่างั้น...
ภาวินถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าให้กับความสม่ำเสมอในเรื่องทำนองนี้ของประภาวิธ ก็จะเรื่องอะไรเสียอีกล่ะถ้าไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง
ดูเหมือนรายล่าสุดนี้มันดันไปให้ความหวังกับเขาไว้เสียเป็นตุเป็นตะ ถึงขั้นจะส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอเลยทีเดียว เพียงเพื่อหวังหลอกจะฟันเขานั่นแหละจะมีอะไรเสียอีก พอได้เขาสมใจอยากของมัน ไอ้เพื่อนตัวดีก็ทำตีมึนเฉดหัวเขาทิ้งไปตามระเบียบ หากทว่าสาวสวยรายนี้กับกินยาฆ่าตัวตาย หวังประชดไอ้ปลาให้ได้สำนึก เลยต้องเดือดร้อนถึงพี่นนท์ ยื่นมือเข้าไปไกล่เกลี่ยชดใช้ค่าเสียหาย ให้เงินค่าทำขวัญครอบครัวสาวเจ้าเพื่อให้เรื่องมันจบ มีเงินมันก็ดีเสียอย่างนี้คิดจะทำอะไรมันก็สะดวกรวดเร็วเสียหมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเลวระยำยังทำให้กลายเป็นเรื่องถูกต้องได้เลย...
“กูไม่กลัว...” ประภาวิธเบือนหน้าทะเล้นหยักคิ้วให้เพื่อนอย่างไม่แคร์ปาก คนจะทำเสียอย่างต่อให้มีสิบพี่นนท์ตอนนี้เขาก็ไม่คิดกลัว...
“พี่ชื่อปลานะครับ แล้วน้องคนสวยชื่อว่าอะไรเอ่ย พอจะช่วยสงเคราะห์บอกกับพี่ให้หายสงสัยได้มั้ยเอ่ย...” นอกจากจะไม่สนใจไอ้พวกมารพจญทั้งสามตัว ประภาวิธยังคงมุ่งมั่นหยอดขายขนมจีบเด็กเสิร์ฟคนงามต่ออย่างคะนอง
มุขธิดาเริ่มอึดอัดใจแต่ยังฝืนยิ้มอ่อนส่งให้คนถาม...
“เอ่อ...” ครั้นจะบอกชื่อตัวเองไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม เพราะเธอไม่คิดจะบอกชื่อกับลูกค้าคนไหน แต่ใจหนึ่งก็กลัวจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังเหมือนเมื่อครั้งก่อนนั้นอีก
“ว่ายังไงครับ...หรือว่าเป็นความลับ บอกใครไม่ได้” ประภาวิธแกล้งตีหน้าเศร้า ขยิบตาเจ้าเล่ห์ หวังเรียกคะแนนสงสาร
โครม! เลยได้ลูกถีบจากมานัสไปหนึ่งที ข้อหาหมั่นไส้จนทำให้เท้ากระดิก...
“ไอ้ห่าม่อน มึงถีบกูทำไม กูแค่อยากรู้จักชื่อน้องเขา มึงอย่าเพิ่งเสือกได้ปะ”
เขาเห็นใบหน้าละอ่อนของสาวเจ้าตั้งแต่หน้าประตูร้าน ก่อนจะเดินเลี่ยงมาด้านใน เพื่อนั่งโต๊ะประจำของกลุ่มตัวเอง ใจนั้นได้แต่แอบคอยลุ้น ขอให้น้องสาวคนนั้นเดินมาจดออเดอร์โต๊ะตัวเองด้วยเถิด และคำภาวนาของเขาดันเป็นผลขึ้นมาซะงั้น เมื่อเธอคนนั้นเดินส่งยิ้มมาทางเขา แล้วทีนี้จะไม่ให้เขาระริกระรี้หน้าระรื่นขึ้นมาได้อย่างไร
แบบนี้สินะ ที่เขาเรียกกันว่า พรหมลิขิตนำพา...
“อย่าถือสาเพื่อนพี่เลยนะครับน้อง พี่เอา...” มานัสก้มศีรษะให้พนักงานเสิร์ฟเพื่อขอโทษขอโพยแทนไอ้เพื่อจอมกะล่อน หลังจากเขาสังเกตเห็นสีหน้าของพนักงานคนนี้ดูอึดอัด ไม่ชอบใจเมื่อถูกถามชื่อ
ก่อนหนุ่มทั้งสามจะทยอยสั่งอาหารที่ตัวเองชอบทาน คนละสองสามอย่างจนพอใจ ขาดแต่พ่อหนุ่มที่ชื่อปลา เอาแต่เท้าค้างบนโต๊ะ นั่งมองหน้าเด็กเสิร์ฟสาวตาหยาดเยิ้ม รอคอยว่าเมื่อไหร่หญิงสาวจะบอกชื่อกับเขาสักที...
“ไอ้ปลา มึงจะแดกอะไร สั่งน้องเขาไปสิวะ ยึกยักท่ามากไปได้ เขาไม่บอกชื่อมึงหรอก ยังเสือกจะเซ้าซี้เขาอยู่ได้” มนต์สกรณ์หรือหรั่งหนุ่มลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น ที่นั่งใกล้ประภาวิธสุดกระทุ้งข้อศอกเตือน
“มันคงไม่แดกหรอกวันนี้ มึงปล่อยมันเถอะไอ้หรั่ง กูระอากับมันเหลือเกิน” ภาวินที่นั่งฝั่งเดียวกับมานัสส่ายหัวไปมา
“พี่เอาแค่นี้แหละครับน้อง แต่ขอไวหน่อยก็แล้วกันนะครับ ไม่ไหว วันนี้หิวจนตาลายหมดแล้ว” มานัสเป็นคนสรุปรายการอาหาร โดยไม่ลืมเร่งให้เร็วขึ้น ตอนนี้เขาสามารถกินช้างได้ทั้งตัว เหตุเพราะวันนี้อาจารย์สั่งทำโปรเจคงานชิ้นใหญ่ คะแนนสำคัญอีกภาควิชา กว่าจะสรุปหัวข้อกันได้ เล่นเอาเขาเกือบสลบคากลุ่ม
มุขธิดาทวนชื่ออาหาร ก่อนจะขอตัวเอาออเดอร์ไปส่งยังห้องครัว ประภาวิธมองตามตาละห้อย ไอ้อาการหิ้วจนไส้ขาดก่อนเข้าร้าน มันอันตรธานหายไปจนสิ้น เพียงแค่ได้เห็นอาหารตา มันก็อิ่มไปจนถึงหัวใจ...
“กูจะฟ้องพี่นนท์...” ภาวินขู่เสียงเข้มอีกรอบ ชี้หน้าไอ้เพื่อนจอมกะล่อน หวังให้มันหยุดพฤติกรรมเจ้าชู้ลงบ้าง
“คิดว่ากูกลัวนักเหรอ” คนบอกไม่กลัวเบ้ปาก เมื่อนึกถึงใบหน้าถมึงทึงของไอ้พี่ชายจอมโหดเมื่อครั้งพบกันล่าสุด ตอนนั้นพี่นนท์คาดโทษเขาเอาไว้รุนแรง แต่เขาไม่คิดหวั่นกับคำขู่ของไอ้พี่จอมวางอำนาจ พี่นนท์จะทำอะไรเขาได้ เขาแค่โทรไปแต่งเรื่องบอกพ่อนิดๆหน่อยๆ เดี๋ยวพ่อของเขาก็จัดการพี่นนท์ให้เองนั่นแหละ
“มึงไม่กลัวแต่กูกลัว ถ้าพี่เขาเกิดมาถามกูเกี่ยวกับเรื่องของมึงอีก กูก็จะตอบตามความจริงกับพี่เขาทุกอย่าง มึงอย่ามาด่ากูก็แล้วกันนะไอ้ปลา” มนต์สกรณ์สารภาพเสียงสั่น จำภาพความโหดร้ายตอนเห็นบอดีการ์ดพี่นนท์ จัดการกับพวกนักเลงหัวไม้ได้ไม่เคยลืม เสียงร้องโหยหวน กับกองเลือด มันยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ทุกวันนี้เลย
“เออ...กูเข้าใจพวกมึงหลอกน่า ไอ้พวกปอดแหกตาขาว แต่มึงก็รู้นี่หว่า ถ้ากูอยากได้อะไร กูก็ต้องได้ พวกมึงคอยดูนะ รายนี้กูให้เวลาไม่เกินสองวัน กูต้องได้ยินเสียงร้องครางจากเจ้าหล่อนให้ได้” ประภาวิธส่งสายตามุ่งมั่นตามแผ่นหลังบอบบางไปตลอดทางที่เจ้าตัวเดินกลับเข้าไปหลังร้าน คิดมุ่งมั่นเอาไว้ในใจดิบดี คิดวางแผนไว้ในหัวเพื่อรอเวลา เขาจะต้องนอนกับผู้หญิงหน้าใสราวก้นเด็กคนนี้ให้ได้
ร้อยทั้งร้อยถ้าได้ยินเพียงนามสกุลของเขาขึ้นมาเท่านั้นแหละ เป็นต้องเปลี่ยนท่าทีเล่นตัว รีบคลานเข่าเข้ามาสยบแทบเท้าเขาทุกราย ยิ่งพวกมีอาชีพต่ำต้อยเป็นแค่เด็กเสิร์ฟจนๆแบบเจ้าหล่อนคนนี้น่ะเหรอ
โธ่!คงไม่พ้นคืนนี้ด้วยซ้ำ เจ้าหล่อนต้องยอมนอนแบบนเตียงนุ่มๆปนเปรอความสุขให้กับเขาจนตัวสั่นระริก ประภาวิธยิ้มย่องในใจ เมื่อเขานึกถึงเนื้อนุ่มลิ้น ขาวอวบอิ่มไปทั้งตัวของหญิงสาว...
“ไอ้เลว!”
สามเสียงห้าวประสานด่าขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่เพราะคบกันมานาน รู้จักนิสัยใจคอของกันและกันดีเป็นอย่างดี ถึงประภาวิธจะเลวร้ายในเรื่องนิสัยเจ้าชู้ เป็นตัวอันตรายสำหรับหญิงสาว แต่เรื่องน้ำใจระหว่างเพื่อน ไอ้นี่มันทุ่มให้เกินร้อยแบบสุดตัวเลยก็ว่าได้...
“กลับแล้วเหรอจ๊ะมุข ไปหาข้าวต้มรอบดึกกินกับพวกพี่ก่อนไหม” พลอยเอ่ยปากชวน เมื่อมุขธิดาถอดชุดฟอร์มมาฝากเธอคืนให้ชมพู่
“ไม่ดีกว่าจ้ะพี่ วันนี้มุขมีกับข้าวแล้ว พอดีลุงเซฟแกใจดี ทำไอ้นี่ให้มุขเอากลับไปทานที่บ้าน” มันเป็นอาหารสวัสดิการจากทางร้านที่พนักงานทุกคนจะได้สิทธิ์กินกันคนละมื้อ วันนี้ยุ่งวุ่นวายมากมุขธิดาเลยขอเสียสละไม่นั่งทานที่ร้านแต่ขอเอากลับไปทานที่บ้าน ของอร่อยรสชาติจากเซฟมือหนึ่งระดับโลก เธออยากให้ป้าละมัยได้ลองชิมดูบ้าง
“เอาอย่างนั้นเหรอ” พลอยเลิกคิ้วถาม
“จ้ะพี่...นั้นมุขขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ เอาไว้เจอกันงานหน้า...” มุขธิดากระชับกระเป๋าสะพาย ยกมือขึ้นโบกลาเพื่อนด้วยกันพร้อมกับยกมือไหว้ล่ำลาพวกพี่ๆที่อายุเยอะกว่าตัวเอง ต่างคนหันมาส่งยิ้มรับไหว้ด้วยไมตรีอันดี
“กลับบ้านดีๆนะมุข ดูซ้ายดูขวาก่อนจะข้ามถนนด้วยล่ะ ตรงนั้นมันเป็นทางเลี้ยว มักเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ พี่เป็นห่วง ยังไม่อยากไปเยี่ยมใครที่โรงพยาบาล”
ผู้จัดการหนุ่มใหญ่จิตใจดีตะโกนเตือนลูกน้องชั่วคราวตามหลัง ด้วยเพราะอดเป็นห่วงไม่ได้ ตรงจุดนั้นไฟมันค่อนข้างมืดแถมรถยังขับกันรวดเร็วปานจรวด เขาเองโชคดีที่มีรถขับไม่ต้องไปเดินข้ามเสี่ยงเหมือนกับลูกน้องคนอื่น จะห่วงก็แต่ลูกน้องสาวๆเท่านั้น ที่ต้องข้ามถนนเส้นนั้นกันทุกค่ำคืน
มุขธิดายกถุงกับข้าวขึ้นมองด้วยสายตาแวววาว อาหารดีๆรสชาติอร่อยระดับห้าดาวแบบนี้ใช่ว่าคนฐานะอย่างเธอจะยอมจ่ายเงินเพื่อหาซื้อกินกันง่ายๆเสียเมื่อไหร่ วันนี้ลุงเซฟใจดีเก็บเอาอาหารในส่วนของเธอไว้ให้ แถมยังอุ่นร้อนให้เธอก่อนกลับอีกครั้ง
เธอเคยกินอาหารพวกนี้มาหลายมื้อ จากการมารับทำงานพิเศษนั่นแหละ ความอร่อยนั้นต้องยอมยกนิ้วโป้งให้กันเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้จะมีลูกค้าตบเท้าเข้ามาใช่บริการแน่นขนัดทุกวันได้อย่างไรถ้าหากรสชาติของอาหารไม่อร่อยสมดั่งคำร่ำลือจริง...
หญิงสาวเดินแกว่งถุงแกงเดินไปตามถนน วันนี้ทางร้านได้ติบไม่ใช่น้อย พอแบ่งสันกันเสร็จเห็นจำนวนเงินที่พี่สรเพชรส่งให้ทำเอาเธอหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“อย่างน้อยก็พอจ่ายค่าดอกของเสี่ยชัยได้หลายวันละนะ” หญิงสาวตบกระเป๋ากางเกงพร้อมรอยยิ้มกริ่ม แสงไฟนีออนจากเสาไฟพอทำให้ทางเดินจากตัวร้านไปยังริมถนนนั้นไม่มืดมากนัก เธอมองซ้ายมองขวาด้วยความระมัดระวังตามคำเตือนของผู้จัดการร้าน พอเห็นถนนโล่งจึงรีบเดินข้าม ครั้นพอเดินข้ามได้เพียงครึ่งทางถนน สิ่งที่คิดว่าปลอดภัยดีแล้วนั้น กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อดันเกิดความซวยเข้ามาเยี่ยมเยือนได้โดยไม่ได้ตั้งใจ...
ว้าย!
เสียงเบรกล้อรถดังลั่นไปทั่วบริเวณท้องถนน จนได้กลิ่นไหม้ของยางก็ว่าได้ ดีที่ไม่มีรถคันอื่นวิ่งตามมา พอรถเบรกกะทันหัน ทำให้ตัวรถลื่นไถลชนเข้ากับฟุตบาท เกิดรอยถลอกเป็นทางยาว
ร่างน้อยนั่งลงแหมะลงกับพื้นปูนอย่างหมดสภาพ ถุงแกงในมือลอยละลิ่วขึ้นฟ้าก่อนจะร่วงหล่นสู่พื้นปูนเสียงดังตุบ พอๆกับสติของมุขธิดา มันกระเจิดกระเจิงหายไปไหนแล้วไม่รู้ ขาทั้งสองข้างของเธอยังสั่นไหวเป็นเหตุให้อ่อนยวบนั่งหมดเรี่ยวแรงกับพื้นถนนอย่างที่เห็น หัวใจเกือบหยุดเต้น มุขธิดายกมือขึ้นปิดใบหน้าไว้ด้วยความกลัวสุดหัวใจ ร่างบอบบางสั่นผวางันงก น้ำตาไหลปริ่มนองอาบสองข้างแก้ม เธอยังไม่ตาย!อีกหรือเนี่ย โอ๊ย!ขุนพระขุนเจ้า...
ทว่าคนที่เปิดประตูรถออกมานั้นกลับมีอารมณ์สวนทาง ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้ง สองมือกำเข้าหากันจนเห็นเส้นเลือดปูดบวม
“นี่ยายผู้หญิงบ้า!” เสียงดังยิ่งกว่าฟ้าผ่าตวาดลั่น ร่างน้อยมีอันต้องสะท้านไหว สะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงกัปนาทฟาดเปรี้ยงลงมาข้างกายของเธอ
“เดินประสาห่าเหวอะไรแบบนี้วะ ไม่เห็นรถขับมาหรือไง หรือว่าอยากจะฆ่าตัวตายเพื่อเรียกเงินจากฉัน แม่คนสิ้นคิดจอมเจ้าเล่ห์”
คำด่ายาวเหยียดพ่นหลุดออกจากปากชายหนุ่มเจ้าของรถสปอร์ต Lamborghini Gallardo ที่กระชากประตูรถสุดแรงเกิดลงมายืนอย่างหัวเสียไม่ไกลจากรถของตนเอง เขากระแทกฝ่ามือใหญ่ทุบลงบนฝารถเสียงดังอักตามแรงอารมณ์เดือดดาลเพื่อต้องการระบายอารมณ์โกรธ พอเห็นตัวต้นเหตุนั่งคุดคู่อยู่กลางถนน เขาจึงไม่รั้งรอ รีบเดินปรี่ตามอารมณ์ระอุตรงไปยังเงาตะคุ่มที่เจ้าตัวเอาแต่นั่งกอดตัวเองร้องไห้กระซิกอยู่ริมถนน สายตาคมกริบมองร่างนั้นไม่ต่างจากขยะก้อนกลมสักก้อนที่ไม่เคยสร้างสรรค์จรรณโลงโลกให้สวยงาม มีแต่คอยทำลายชั้นบรรยากาศให้เหม็นเน่าคละคลุ้งเสียมากกว่า
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไงวะ อย่ามาดัดจริตทำสำออยบีบน้ำตาเป็นเผาเตา ตอนจะข้ามข้ามถนนทำไมไม่เสือกมองให้มันดีเสียก่อน ทะเล่อทะล่าข้ามมาได้ไม่ดูตาม้าตาเรือ แล้วสุดท้ายเป็นไงล่ะ คนที่ซวยก็คือฉันนี่ไง ยัยผู้หญิงบ้า...” คนหัวเสียด่าไม่ยั้งปากยั้งอารมณ์คุกรุ่น กลับยิ่งหัวเสียหนักขึ้นไปกว่าเดิม เมื่อปลายรองเท้าหนังยี่ห้อดังสัมผัสเข้ากับอะไรเหนียวเหนอะหนะสักอย่าง พอก้มลงไปมองกลิ่นแกงเผ็ดสีแดงสดนั้นเลอะเปื้อนขึ้นมาจนถึงหัวรองเท้าเขาเต็มไปหมด อานนท์หลับตาเบ้หน้า รู้สึกขยะแขยงสิ่งที่ตัวเองเหยียบโดยไม่รู้ตัว
“โว้ย!อะไรนักหนาวะเนี่ย” เขารีบสะบัดรองเท้ากับพื้นปูน ป้ายสิ่งน่าขยะแขยงนั้นออกไปโดยไว
“ ใครมันปัญญาอ่อนเอาถุงแกงมาทิ้งไว้ตรงนี้กันวะ นี่มันถนนสำหรับรถวิ่ง มันใช่ถังขยะเสียที่ไหน ไอ้แกงนี่ก็เหม็นบรรลัย” พอก้มสำรวจปลายรองเท้าตัวเอง ใบหน้าหล่อนั้นเหยเกย พอสีแดงของแกงเริ่มจางหาย ไม่โผล่ให้เขาเห็น สายตาพิโรธดังไฟโลกันตร์หันกลับไปเล่นงานขยะก้อนกลม ที่เอาแต่นั่งร้องไห้ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าทันที...
“ลุกขึ้นตามฉันมาเดี๋ยวนี่เลยแม่ตัวดี เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว”
*********************************