Ep5(2) : โลกกลมพรหมลิขิต By...kanokrot

2456 Words
ร่างเล็กถูกผลักทีเดียวกระเด็นลงนั่งจุมปุ๊กลงบนพื้นปูนข้างรถสปอร์ต “โอ๊ะ!” มุขธิดาพยายามยันตัวเองเพื่อลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกร่างใหญ่โตคุกคามผลักเธอนั่งลงกลับไปกองอยู่ท่าเดิมอีกครั้ง เขาเท้าสะเอวตีหน้ายักษ์ ก่อนจะชี้นิ้วข่มขู่เธอซ้ำ ร่างเล็กสั่นเทาลนลานนั่งก้มหน้าลงงุดด้วยความกลัว วันนี้มันเป็นวันอะไรกันหนอ ทำไมถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนไม่จบไม่สิ้นเสียที หนีพ้นจากเงื้อมมือของคนน้อง แต่กลับต้องมาเจอคนพี่ย่ำยีซ้ำอีก กงกรรมกงเกวียนของเธอแท้ๆต้องมาเจอะเจอแต่กับผู้ชายประเภทจิตใจต่ำทรามซ้ำซากไม่ว่างเว้น “ว่าไงยัยหนูหริ่ง พบกันอีกจนได้นะเรา” อานนท์เอ่ยเสียงเยาะ “คุณปล่อยฉันกลับไปทำงานเถอะนะ ฉันไม่เอาเรื่องน้องชายคุณก็ได้” เมื่อถูกเขาผลักให้นั่งลงท่าเดิม มุขธิดาจึงรีบยกมือไหว้เพื่อร้องขอให้เขาปล่อยตัวเธอเป็นอิสระ เธออยากกลับไปทำงาน แล้วเล่าเรื่องราวที่แท้จริงให้ผู้จัดการฟัง เธอไม่อยากสร้างปัญหาใดให้คนในร้านอาหารเข้าใจผิด เพราะกลัวในวันข้างหน้าเธอจะไม่สามารถกลับเข้ามาทำงานพิเศษที่นี่ได้อีก หรืออาจพลอยกระทบไปถึงการรับพี่ชายของเธอเข้าทำงานด้วย กลัวทางร้านจะเปลี่ยนใจ ยกเลิกไม่รับพี่ชายเธอเข้าทำงานเพราะเธอเป็นสาเหตุ “ใครกันแน่ที่ไม่เอาเรื่องใคร พูดให้มันถูกๆหน่อย” คนตัวสูงย้อนเสียงเข้มใบหน้าเขาดูดุดัน “แต่น้องนักศึกษาคนนั้นเป็นคนลวนลามฉันก่อนนะคะ” มุขธิดาแย้งถึงความจริง “คิดว่าฉันโง่พอที่จะหลงเชื่อผู้หญิงอย่างเธอหรือไง ถ้ายังไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้ หุบปากแล้วก็เลิกพูดจาใส่ร้ายน้องชายของฉันเสียที เพราะฉันเชื่อคำพูดของน้องชายตัวเอง มากกว่าผู้หญิงเจ้าบทบาทเช่นเธอ” นั่นเป็นเพราะอานนท์ยังผูกใจเจ็บเรื่องเมื่อคืนอยู่ เขาเลยใช้อารมณ์ส่วนตัวบดบังความจริง “ให้ฉันสาบานต่อหน้าคุณตรงนี้เลยก็ได้ ฉันพูดความจริง ไม่ได้พูดจาโกหกเหมือนกับน้องชายคุณ” มุขธิดาพนมมือขึ้นเพื่อเตรียมตัวสาบานต่อหน้าชายหนุ่ม แสดงให้เขาเห็นคนพูดความจริงคือเธอไม่ใช่น้องชายของเขา ทว่าอานนท์จงใจปัดมือที่ยกขึ้นไหว้นั้นทิ้งอย่างไม่ไยดี สายตาพญาเหยี่ยวตวัดมองร่างเล็กอย่างนึกสมเพช ยิ่งได้มาเห็นกระโปรงสั้นของเจ้าหล่อน ตอนนี้มันร่นขึ้นด้านบนจนแลเห็นผิวขาวละเอียดโชว์เรียวขาอ่อนตรงหน้า เขากลับยิ่งไม่เชื่อน้ำคำของเจ้าหล่อนหนักเข้าไปกันใหญ่ ไม่รู้เจ้าตัวจงใจยั่วยวนเขาหรือเพราะอะไรกันแน่ แต่เพียงเห็นแค่นี้ อานนท์ก็ตัดสินใจ ลงความเห็นเข้าข้างประภาวิธได้ทันที “โอ๊ะ!” เพราะแรงปัดไม่เบามือ ทำให้มือเรียวของมุขธิดากระแทกลงบนพื้นปูนเต็มแรง เนื่องจากเธอเป็นคนมีผิวขาวเป็นทุนเดิม เลยเกิดรอยแดงช้ำขึ้นเป็นจ้ำบนหลังมือที่กระทบพื้นปูนให้เห็นทันตา อานนท์ถึงกับหางตากระตุกแต่ฝืนใจแข็งทำเป็นไม่สนใจ มุขธิดามองหลังมือตัวเองด้วยความเจ็บปวด จนน้ำตาเม็ดเล็กไหลคลอ แต่หญิงสาวฝืนเอาไว้ไม่ให้มันไหลลงมา หัวใจดวงน้อยนึกเกลียดชังคนพวกนี้เข้ากระดูกดำ นี่เขาเห็นชีวิตคนต่ำต้อยยากจนเงินทองกว่าเป็นเพียงผักปลาสักตัวแค่นั้นเองหรือไง ถึงนึกอยากจะทำอะไรอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ โดยไม่เคยคิดว่าเธอเองก็มีเลือดเนื้อ เจ็บปวดเป็นไม่ต่างจากพวกเขาเลยสักนิด หญิงสาวจำต้องกัดฟันข่มความเจ็บบนหลังมือตัวเอง ขยับถอยหลังจนชิดกับประตูรถยนต์ เบียดร่างน้อยของตัวเองเข้าหาเกราะกำบัง โดยมีร่างใหญ่ยักษ์เดินเข้าหาไม่ยอมรามือง่ายๆ “เธอไม่ใช่ผู้หญิงรายแรกที่คิดหากินด้วยวิธีมักง่ายแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันไม่คิดว่าจะสิ้นคิดถึงขั้นทำบัดสีประเจิดประเจ้อกันในร้านอาหารที่มีคนอยู่พลุกพล่านได้ แถมไอ้ปลามันยังสวมชุดนักศึกษาเสียเต็มยศเสียด้วย ไม่รู้จักให้เกียรติสถานที่ก็สมควรมีจิตสำนึกต่อสถาบันการศึกษาเสียบ้าง” อานน์ส่ายหัวพลางบิดปาก “อ้อ...ฉันลืมไป ผู้หญิงอย่างเธอคงไร้การศึกษาสินะ ถึงได้ไร้สามัญสำนึก เอาได้แม้แต่เด็กในเครื่องแบบ” มุขธิดาเงยหน้ามองคนกล่าวหาพลางส่ายหน้า ดวงตาเธอแดงก่ำเพราะทั้งโกรธทั้งเสียใจ “แต่ฉันไม่ได้หากินอย่างที่คุณเข้าใจผิดนะคะ ทำไมคุณถึงไม่ลองหัดฟังคนอื่นเขาพูดบ้างล่ะ ไม่ใช่เอาแต่ฟังหรือหลับหูหลับตาเชื่อคนของคุณอยู่ฝ่ายเดียว” “แต่ฉันเห็นกับตาตัวเองเมื่อกี้ แล้วฉันก็ไม่ได้ฟังคำพูดของใครทั้งสิ้นด้วย นี่มันร้านอาหาร แถมยังกลางวันแสกๆ เธอยังกล้าทำอุบาทว์กับน้องชายของฉันได้ นี่ถ้าลับตาคนมากกว่านี้ ป่านนี้คงไม่แก้ผ้าอ้าขาเอากันคาโต๊ะอาหารไปแล้วหรือไง” ผู้ชายปากร้ายพ่นคำหยามหมิ่น มุขธิดาเบิกตาโต มองคนปากร้ายอย่างเจ็บแค้น วาจาเจ็บแสบของชายหนุ่มทำเอามุขธิดาแทบสะอึก ร่างบางชาวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ากับคำด่าหยาบคาย เขาเอาตาที่ไหนมอง ถึงได้เห็นว่าเธอสมยอมให้น้องชายของเขาลวนลาม เธอไม่ได้สมยอมและไม่เคยมีความคิดต่ำตมแบบนั้นอยู่ในหัวสมองเลยแม้แต่น้อย “เป็นไง! พอฉันพูดความจริงเข้าหน่อย ถึงกับอึ้งเลยสิท่า” ร่างใหญ่โน้มเข้าหา ก่อนจะย่อตัวนั่งบนส้นเท้า เอื้อมมือหนาบีบปลายคางของผู้หญิงอวดดี “ฉันไม่ได้ทำตัวอย่างที่คุณกล่าวหา…” มุขธิดาพูดลอดไรฟัน พยายามดึงปลายคางของตัวเองออกจากนิ้วมือเหล็ก เขาบีบแน่นขึ้นจนเธอรู้สึกเจ็บร้าว “น้องชายคุณต่างหากที่ เลว คิดย่ำยีได้แม้กระทั่งผู้หญิงไม่มีทางสู้” ดวงตากลมโตตวัดขึ้นมองคนจิตไม่ปกติเขียวปั๊ด อาการหวาดผวาเมื่อก่อนหน้ามลายหายสูญสิ้น เพียงแค่ได้รู้ความคิดชั่วช้าที่เขากล่าวหาเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่า คำกล่าวหาร้ายแรงนั้นมันไม่ยุติธรรมกับเธอเลยสักนิดเดียว “ปากดีนักนะแม่หนูหริ่ง คราวก่อนฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลย” “คุณสองคนมันก็เลวพอกัน ถุย! ไอ้หน้าตัวเมีย” เมื่อหมดความอดทนมุขธิดาจึงถ่มน้ำลายใส่หน้าผู้ชายบ้าอำนาจ เที่ยวตัดสินโยนความผิดให้แต่กับคนที่อ่อนแอกว่า อานนท์เบี่ยงร่างหลบน้ำลายของหญิงสาว นัยน์ตาเข้มสีสนิมวาวโรจน์ด้วยความโกรธสุดชีวิต ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าทำกิริยาต่ำทรามกับเขาแบบนี้มาก่อน แม่หนูหริ่งนี่เป็นใคร ถึงได้กล้าฮึกเหิมทำกิริยาหยามหมิ่นเขาโดยไม่นึกกลัวเกรง “นี่เธอ!กล้าดียังไง...หะ!” อานนท์กัดฟันกรอด ถึงกับเลือดขึ้นหน้า อารมณ์ปะทุเดือดจนห้ามตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เขายกฝ่ามือขึ้นสูงก่อนจะเหวี่ยงมันลงมาปะทะเข้ากับใบหน้านวลของผู้หญิงอวดดี จนใบหน้าเรียวเล็กสะบัดไปตามแรงเหวี่ยงนั่น มุขธิดาหลับตาปี๋เมื่อเธอได้กลิ่นคาวเลือดออกจากริมฝีปากตัวเอง เธอรู้สึกชาไปทั้งใบหน้า ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากการถูกผลักให้ตกหน้าผา มันทั้งเจ็บปวดทั้งทรมาน “ถุย!” พอหันใบหน้ากลับมา หญิงสาวกลับถุยน้ำลายปนเลือดเข้าใส่ร่างสูงอีกหน ดีที่ชายหนุ่มหลบได้ทัน จึงไม่ถูกน้ำลายของหญิงสาว อานนท์กัดฟันกรอดกับการกระทำหยาบกระด้างของคนต่ำต้อยกว่าตัวเอง เขากำลังจะยกมือขึ้นสูงอีกครั้ง แต่พอเห็นหยาดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตากลมโตที่เจ้าตัวตวัดมองเขาตาเป๋ง บวกเข้ากับรอยฝ่ามือของตัวเองบนใบหน้าเรียวเล็ก อานนท์ได้แต่กำมือที่ยกขึ้นสูงแน่น ก่อนจะทุบมันลงบนตัวรถยนต์ด้านข้างด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวแทน มุขธิดาถึงกับหลับตาปี๋ รอรับความเจ็บปวดนั้นอีกครั้ง “โธ่โว้ย!” อานนท์ทุบกำปั้นลงบนตัวรถยนต์อยู่หลายทีเป็นการระบายอารมณ์เกรี้ยวกราด จนบอดี้การ์ดที่ได้ยินเสียงดังโครมคราม ต่างวิ่งกรูกันเข้ามายืนสังเกตการณ์รอบตัวเจ้านาย แต่ไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปยุ่งด้วย เอาแต่ยืนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รอเชิงจะเข้าห้ามตอนไหนดี สันติเองก็ไม่กล้า “เอาสิ จะช้าอยู่ทำไมล่ะ อยากตบก็ตบลงมาเลยสิ ตบให้ฉันตายไปเลยยิ่งดี ผู้ชายเลวอย่างคุณมันทำได้อยู่แล้วนี่ จะช้าอยู่ทำไม...” มุขธิดาตะโกนใส่หน้าผู้ชายใจร้ายน้ำหูน้ำตาไหลพราก ทำเอาผู้ชายอกสามศอกทั้งหลายรีบเบือนหน้าหนีตามๆกันก็ว่าได้ พนักงานในร้านอาการเองที่รู้จักกับมุขธิดาเป็นอย่างดี ต่างแอบชำเลืองมองมายังลานจอดรถด้วยสายตาเป็นห่วง แต่เพราะอิทธิพลความน่ากลัวของอานนท์ จึงไม่มีใครกล้าเสนอหน้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือหญิงสาว แม้แต่ผู้จัดการร้านเอง ยังได้แต่ยืนมองมาด้วยสายตาติดเป็นกังวล ส่วนพลอยนั้นยืนแอบมองอยู่ตรงหลังเสา ถึงกับยกมือขึ้นทาบอก ใจหายวูบตอนเห็นน้องสาวคนขยันถูกคนรักของเจ้าของร้าน ยกมือขึ้นตบจนใบหน้านั้นหัน ตัวเองก็อยากออกไปช่วยอยู่หรอกนะ แต่ใจนั้นกลับไม่กล้าพอ ทำดีที่สุดได้แค่ยืนเอาใจช่วยอยู่ในร้านแค่นั้นเอง “นั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ ห้ามขยับลุกไปไหน ถ้าฉันยังไม่สั่ง เข้าใจไหม?” เจ้าของร่างสูงตะคอกเสียงลั่น ตอนนี้เขาต้องเข้าไปจัดการไอ้น้องชายตัวแสบเสียหน่อย มันบังอาจกล้าขัดคำสั่งของเขาอีกจนได้ มีหน้าคั่วผู้หญิงในร้านอาหารในชุดนักศึกษาเสียด้วย “ฉันถามว่าเข้าใจไหม!” เสียงห้าวตะคอกถามซ้ำพร้อมใบหน้าถมึงทึง มุขธิดาสะดุ้งเฮือกรีบพยักหน้ารับด้วยความตกใจ แม้จะทำใจกล้าลุกขึ้นต่อกรกับเขามาก่อนหน้า แต่พอเห็นดวงตาสีสนิมเหล็กนั้นแดงก่ำไม่ต่างจากซาตานร้าย ใจเธอเริ่มฝ่อลงจนแฟบไม่หลงเหลือความกล้าอีกต่อไป อานนท์พ่นลมหายใจออกแรง เขาเห็นไอ้น้องชายนั่งหน้าซีดเซียวรอเขาอยู่ภายในร้านอาหาร ดีที่มันยังไม่หนีเข้ากลับบ้านไปฟ้องพ่อมันเสียก่อน ไม่อย่างนั้นมันได้เจอเขาหนักกว่านี้เป็นแน่แท้ ไอ้เรื่องผู้หญิงพวกนี้เขารึอุตส่าห์สั่งห้ามมันปากจะฉีกถึงรูหู สั่งให้มันหัดทำตัวอยู่นิ่งสงบเลิกหาเรื่องใส่ตัวเสียบ้าง ในเมื่อเขาเพิ่งจัดการเคลียร์ปัญหาของเหยื่อรายล่าสุดให้มันเงียบไปได้ไม่ได้ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้เอง กว่าจะปิดเรื่องคดีความกันได้ เล่นเอาเขาเสียอารมณ์ไปตั้งหลายยก ทางนั้นจะไม่ยอมเพราะมีลูกสาวเพียงคนเดียว คิดฝากผีฝากไข้ในอนาคต แต่ไอ้น้องระยำของเขาเสือกทำลาย ทำเขาท้องยังเสือกให้เขาไปทำแท้งเกือบตกเลือดตาย ดีที่ยังไม่ถึงฆาต หมอยังช่วยยื้อชีวิตเอาไว้ได้ทัน เขายอมเสียเงินไม่อั้น แต่ทางนั้นไม่ต้องการ แค่อยากจับเจ้าปลาติดคุกอย่างเดียวพอ แล้วนี่มันยังมีหน้ามาสร้างเรื่องปวดหัวให้เขาจัดการสะสางอีกแล้วหรือไงวะ อานนท์ย่นหัวคิ้วมองแม่หนูหริ่งก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืน ส่งสายตาเอาจริงข่มขวัญ... มุขธิดาผวาร่างชิดเข้ากับฝาประตูรถยนต์ หลุบเปลือกตามองมือตนเอง ด้วยรู้สึกกลัวเขาจับใจ ไอ้ความกล้าบ้าบิ่นก่อนหน้านี้มันหนีหายวับไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้ ตอนนี้หลงเหลือเพียงแต่ความกลัวเขาเท่านั้น “อย่าคิดหนี ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” เขาชี้นิ้วขู่สำทับ อานนท์ใช้สิทธิ์ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคุณพิต้า ลากเธอออกมาจากร้านอาหาร โดยกุเรื่องโกหกตามคำบอกเล่าของน้องชายเขาเอง โดยการกล่าวหาว่าเธอคิดให้ท่ายั่วยวนลูกค้าผู้ชายเพื่อหวังขายตัวแลกเงิน เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เขาในฐานะผู้เสียหาย จึงอยากลากตัวเธอไปจัดการสั่งสอนเสียเอง “ไอ้ติมึงมาคอยยืนคุมผู้หญิงคนนี้เอาไว้ให้กูหน่อย แล้วอย่าปล่อยให้แม่นี่ลุกหนีไปไหนได้เด็ดขาด เดี๋ยวกูกลับมา ขอไปจัดการไอ้น้องเวรเสียก่อน กูสั่งอะไรไว้ไม่เคยหลาบจำ ชอบแต่หาเรื่องปวดกระบาลมาให้กูสะสางไม่เว้นแต่ละวันสิน่า” อานนท์บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ใบหน้าหล่อคมบึ้งตึงน่ากลัว หัวคิ้วดกหนาขมวดเข้าหากันจนเหมือนโบผูกได้ เขาต้องรีบเผ่นออกมาจากบริษัท เมื่อได้รับสายจากลูกน้องที่สั่งให้มาดักรอแม่หนูหริ่ง ว่าเจอตัวเจ้าหล่อนแล้ว แต่ไอ้ที่ทำให้เขาแทบระเบิดมันทิ้งทั้งร้าน เมื่อตอนเขาเดินเข้าร้านมา แล้วเห็นทั้งแม่หนูหริ่งกับไอ้น้องชายตัวดีกำลังนัวเนียเข้าได้เข้าเข็ม นั่งกอดฟัดกันกลมดิกบนโต๊ะอาหาร “ครับคุณนนท์...” สันติรีบเดินมาโค้งคำนับรับคำสั่งของผู้เป็นนาย ก่อนเอียงศีรษะก้มมองร่างเล็กด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก เขาเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตามีรอยแดงของฝ่ามือขึ้นนูนจนเด่นชัด หัวใจของชายชาตรีเช่นเขาถึงกับสั่นไหว ได้แต่นึกสงสารผู้หญิงตรงหน้า แต่ด้วยเป็นเพียงขี้ข้าเขาเหมือนกัน เลยได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนลมหายใจออกมาแรงๆเท่านั้นเอง... อานนท์เดินหน้าตึงย้อนกลับเข้ามาในร้านอาหารทางเก่า พนักงานในร้านจำนวนไม่น้อยกำลังยืนรอให้บริการลูกค้าในร้าน ซึ่งเหลือเพียงไม่กี่โต๊ะเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์เอะอะเมื่อสักครู่นี้เกิดขึ้น ทำเอาลูกค้าหลายคนตกใจจนถึงขั้นขอเช็กบิลด่วน เดินออกจากร้านหน้าเริดไปตามๆกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD