ยุคอดีต
ณ.ค่ายทหารกองทัพแคว้นซาง
ภายในกระโจมแม่ทัพไร้พ่าย
พระพักตร์งามคมคร้ามของบุรุษที่เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อผุดพรายปรากฏขึ้นเต็มไปหมด พระวรกายใหญ่ประทับอยู่บนฟูกบรรทม โคมไฟที่เคยลุกโชนมอดดับลงไปนานแล้วเวลาแห่งรัตติกาลกำลังผ่านพ้นไปรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่กำลังก้าวเข้ามาเยือน
ทว่าแลดูเหมือนว่าแม่ทัพชื่อก้องกำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความฝัน พระพักตร์หล่อเหลาเริ่มส่ายไปมาเมื่อสิ่งที่พระองค์กำลังฝันอยู่ในขณะนั้น ทรงยืนทอดพระเนตรกลุ่มชายฉกรรจ์กำลังจับคนผู้หนึ่งสวมอาภรณ์พิลึกพิลั่น ช่างแปลกประหลาดเป็นยิ่งนักมิเคยพานพบจากแคว้นใดมาก่อน
ร่างนั้นถูกพันธนการด้วยเชือกอย่างแน่นหนา มือทั้งสองข้างถูกมัดไพล่หลังและยังมัดเท้าทั้งสองเอาไว้ด้วยกันศีรษะถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ ก่อนจะถูกโยนลงไปในหลุมขนาดใหญ่ซึ่งถูกขุดลึกลงไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้างสูดลูกหูลูกตา
ตุบ! ร่างนั้นถูกจับโยนลงไปในหลุมดังกล่าวอย่างไม่ปราณี ท่ามกลางอาการดิ้นรนเพื่อหาทางให้มีชีวิตรอด
“เอ้า! ดิ้นพลาดๆ เลยวะ สงสัยจะกลัวตายขนาดหนัก”หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์เอ่ยออกมาพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะขบขันเป็นการใหญ่ ก่อนจะได้ยินเสียงของลูกน้องเอ่ยแทรกดังขึ้น
“ลูกพี่ดูนั่น!”กล่าวพร้อมชี้มือไปบริเวณใต้ผืนทราย
เมื่อร่างที่ถูกโยนไปที่ก้นหลุมและกำลังพยายามดิ้นรนให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการที่มัดเอาไว้จนแน่นยากนักที่จะสามารถหลุดพ้นได้ แรงดิ้นทำให้ก้นหลุมที่มีแต่ทรายเผยให้เห็นซากโครงกระดูกซึ่งถูกฝังไว้อยู่ลึกลงไปอีกโผล่พ้นขึ้นมาเป็นหัวกะโหลกของคนนั่นเอง
ทันทีที่เห็นซากโครงกระดูกโผล่ขึ้นมาให้เห็นเช่นนั้น หัวหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์เปล่งเสียงหัวเราะดังก้องราวกับว่าสิ่งที่ได้พบเห็นช่างขบขันเสียเต็มประดา
“เฮ้ย! นางลูกสาวเจ้าพ่อมันมีเพื่อนนอนร่วมหลุมเป็นเพื่อนด้วยวะ นึกว่าจะไม่มีใครถูกลากมาฝังกลางทะเลทรายที่แท้ก็มีคนถูกฆ่าเหมือนนางนี่ด้วยเหมือนกันโว้ย!”
ถ้อยคำดังกล่าวทำให้ร่างที่กำลังดิ้นรนไปมาอยู่ในขณะนั้นหยุดชะงักไปทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น แต่ก็หามีเสียงใดเล็ดรอดออกมาเพราะปากถูกผ้าอุดไว้จนเต็มมิสามารถเอ่ยร้องขอความช่วยเหลือหรือแม้แต่จะกล่าวถ้อยเจรจาอื่นใดออกมาได้แม้แต่น้อย ก่อนจะได้ยินเสียงตัดสินชะตาชีวิตดังขึ้น
“ฝังมัน! กลบทรายให้มิดขุดลึกขนาดนี้ไม่เหลือร่องรอยให้ใครมาตามขุดซากศพนางนี่ขึ้นมาได้แน่ ยิ่งพอมีพายุทรายพัดผ่านก็จะกลบรอยทุกอย่างเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดีไม่ดีทะเลทรายแถวนี้คงจะมีศพถูกฝังไว้ใต้ผืนทรายจนนับไม่ถ้วนเสียด้วยกระมัง”ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้ากล่าวพร้อมยกเท้าถีบร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มรูปร่างสันทัดลงไปในหลุมดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ตุบ!!! ร่างไร้วิญญาณของหัวหน้าแก๊งฮ่องกงถูกถีบตกไปอยู่ก้นหลุมเคียงข้างเพื่อนสาวร่วมแก๊งไป๋หลันฮวาลูกสาวเจ้าพ่อไป๋โหย่งอี๋นั่นเอง
“ฝังไอ้นี่ลงหลุมไปพร้อมกันด้วยเลย กำจัดศพพวกมันสองคนเรียบร้อยแล้ว พวกแกทั้งหมดก็รีบขับรถออกจากทะเลทรายด้วยนะ เพราะช่วงพระอาทิตย์ตกดินจะทำให้หาเส้นทางกลับกันไม่เจอ..รีบลงมือตามที่สั่งเร็วๆ เข้า!!”เสียงหัวหน้ากลุ่มคนโฉดสั่งกำชับลูกน้องของตน
“ครับหัวหน้า!” ลูกน้องแต่ละคนขานรับทันที
กลุ่มชายฉกรรจ์ต่างรีบจับเครื่องมือพากันกลบทรายฝังร่างทั้งสองไว้ใต้ผืนทรายอย่างรวดเร็ว พร้อมรถโฟร์วิลสำหรับวิ่งในทะเลทรายเคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณดังกล่าว คงเหลือทิ้งไว้อีกหนึ่งคันพร้อมลูกน้องอีกห้าคนทำหน้าที่กลบฝังร่างผู้เคราะห์ร้ายนั้นต่อไป
ทันใดนั้นเอง
เสียงสตรีดังแผดก้องขึ้นมาจากก้นหลุมลึกอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ในเมื่อภายในปากถูกอุดด้วยผ้าเอาไว้จนแน่น
“พวกแกคิดหรือว่าจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้นานอย่างนั้นเหรอ คนอย่างไป๋หลันฮวาไม่ตายง่ายๆ หรอกเว้ย!!!”เสียงอิสตรีแผดดังก้องมาจากก้นหลุมกลางทะเลทรายได้ยินไปทั่วบริเวณ
พรึ่บ!!! เปลือกพระเนตรที่ปิดสนิทเปิดขึ้นมาโดยพลัน พร้อมวรองค์ใหญ่ลุกพรวดพราดจากฟูกพระบรรทมประทับขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว พระเนตรคู่สวยกวาดไปทั่วภายในกระโจมที่ประทับอย่างละเอียด
เฮ้อ!!! เสียงถอนพระทัยออกมาอย่างแรงด้วยความรู้สึกโล่งพระทัย
“ที่แท้ก็เป็นเพียงแค่ความฝัน”สุรเสียงรับสั่งพึมพำพลางยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ไปชั่วขณะราวกับว่าทรงต้องการลืมความฝันดังกล่าวออกไปจากความทรงจำ
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าสิ่งที่ข้าฝันเห็นนั้นกำลังเกิดขึ้นจริงๆ อยู่ในขณะนี้ด้วยนะ ใยจึงมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เห็นนั้นคือเรื่องจริงหาใช่ความฝันแต่อย่างใด อีกทั้งผู้คนในฝันก็ช่างแปลกประหลาดเสียนี่กระไร แต่งกายผิดแปลกชอบกลนักหามีแคว้นใดสวมอาภรณ์เช่นว่านั้นแม้แต่น้อย”แม่ทัพลืมนามรับสั่งรำพึงด้วยความสงสัยมิรู้วาย
พระวรกายสูงใหญ่ค่อยๆ ลุกยืนจากแท่นพระบรรทม พระขนงเข้มขมวดเข้าหากันอยู่ตลอดมิมีทีท่าว่าจะคลายออกจากกันแต่อย่างใด พระหัตถ์ไพล่ไปทางด้านหลังทรงทบทวนความฝันอันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับพระองค์เมื่อครู่ที่ผ่านมาก่อนจะทรุดพระวรกายลงนั่งบนตั่งที่ประทับ
“กลุ่มคนพวกนั้นสังหารบุรุษยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังสังหารสตรีด้วยวิธีการฝังทั้งเป็นกลางทะเลทรายเช่นนั้น นางช่างโชคร้ายเสียนี่กระไร มิรู้ว่าถูกฝังกลบร่างไว้ตรงส่วนไหนของผืนทรายกันเล่า”สุรเสียงรับสั่งรำพึงออกมาก่อนจะรู้สึกพระองค์
“ข้านี่ก็แปลกเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นเหตุใดจึงเฝ้าครุ่นคิดตามไปด้วย”รับสั่งพึมพำพลางส่ายพระพักตร์ไปมาติดๆ กันด้วยไม่เข้าใจในตัวของพระองค์
ทันใดนั้นเอง
“รายงาน!!!!”เสียงทหารอารักขาหน้ากระโจมดังก้องขึ้นมาโดยพลัน
ผ้ากระโจมซึ่งเป็นประตูทางเข้าถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วติดตามด้วยร่างของราชองครักษ์เหอผิง ซึ่งเป็นราชองค์รักษ์คนสนิทของอดีตฮ่องเต้ไท่เจิ้งพระบิดาของแม่ทัพไร้พ่ายซึ่งพระองค์ไว้วางพระทัยมากที่สุดก้าวเข้ามาภายในกระโจมดังกล่าว
“เหอผิง! นี่เจ้าเองอย่างนั้นรึ”รับสั่งออกมาด้วยความแปลกพระทัยเมื่อราชองครักษ์ที่คอยดูแลพระองค์มาตั้งแต่เยาว์ชันษาปรากฏกายขึ้นตรงพระพักตร์
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมต้องขอพระราชทานอภัยที่จู่ๆ ก็มาเข้าเฝ้าพระองค์อย่างกะทันหันแต่เพราะมีเรื่องด่วนสำคัญจำต้องรีบเร่งนำความมากราบทูลให้ทรงทราบ”
ครั้นแม่ทัพหนุ่มทรงได้ยินเช่นนั้น พระขนงขมวดเข้าหากันทันใดด้วยความแปลกพระทัย
“เจ้ามีเรื่องสำคัญอะไรอย่างนั้นรึ จึงต้องรีบเร่งเดินทางมาบอกข้าด้วยตัวเองเช่นนี้ อายุมิใช่น้อยๆ แล้วหาใช่หนุ่มฉกรรจ์ดั่งเช่นกาลก่อนเสียที่ไหนกันเล่า ระวังสุขภาพของเจ้าด้วยเหอผิง ข้ามีเจ้าเปรียบดั่งเช่นญาติสนิทหลงเหลืออยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้นนะล่วงรู้หรือไม่”
ครั้นอดีตราชองครักษ์ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลาคลี่ยิ้มออกมาบางๆ พร้อมประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากันทันที
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะที่พระองค์ทรงคิดกับกระหม่อมเช่นนั้น เหตุที่กระหม่อมต้องเดินทางมาด้วยตัวเองเพราะเรื่องที่จะกราบทูลให้ทรงทราบเป็นเรื่องเกี่ยวกับโอรสลับของอู๋ฮองเฮาและไค๋หยวนฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”เหอผิงรีบกราบทูลรายงานกลับไป
ครั้นแม่ทัพไร้พ่ายได้ยินเช่นนั้นวงองค์ใหญ่หยุดชะงักไปโดยพลัน
“เรื่องของจินเฟิ่งอย่างนั้นรึ!”รับสั่งถามกลับไปพลางทอดพระเนตรอดีตราชองครักษ์ตรงพระพักตร์เขม็ง
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย กระหม่อมล่วงรู้แล้วว่าจินเฟิ่งถูกซ่อนเร้นไว้อยู่ที่ใด”เหอผิงกราบทูลกลับไป
และนั่นทำให้แม่ทัพชื่อก้องยืนนิ่งไปชั่วขณะพลางทอดพระเนตรอดีตราชองครักษ์ ครั้นทรงได้ยินถ้อยกราบทูลเช่นนั้นออกมา
“เจ้าล่วงรู้ได้เยี่ยงไร ผู้ใดเป็นคนบอกและแน่ใจแล้วรึว่าสิ่งที่รู้มานั้นคือเรื่องจริงหาใช่ข่าวลวงแต่อย่างใด”รับสั่งถามกลับไปเพื่อย้ำให้แน่พระทัย
“กระหม่อมแอบได้ยินเจ้าผู้ครองแคว้นต้าซางทรงมีรับสั่งกับสตรีสูงวัยนางหนึ่ง ภายหลังสืบรู้มาว่านางคือแม่นมที่ถวายการเลี้ยงดูองค์ชายจินเฟิ่งที่ถูกนำมาฝากเลี้ยงกับเจ้าผู้ครองแคว้น ก่อนจะแอบติดตามไปจนถึงที่หลบซ่อนซึ่งเป็นกระท่อมอยู่กลางหุบเขาดอกไม้ของต้าซางพ่ะย่ะค่ะ ที่นั่นมีเพียงแม่นมและองค์ชายจินเฟิ่งเท่านั้นพำนักอยู่ กระหม่อมจึงได้รีบเร่งเดินทางมากราบทูลให้พระองค์ทรงทราบก่อนที่พระสนมเอกฮั่วซีจะล่วงรู้”
พระพักตร์หล่อเหลาของแม่ทัพไร้พ่ายมิได้แปรเปลี่ยนหรือแสดงออกมาแต่อย่างใด พระองค์ยังคงยืนทอดพระเนตรอดีตราชองครักษ์คนสนิทอยู่เช่นนั้น จวบจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“เหตุใดองค์ชายจึงแลดูไม่ยินดียินร้ายกับข่าวที่กระหม่อมสู้อุตสาห์นำมากราบทูลรายงานเล่าพ่ะย่ะค่ะ ทรงคิดเห็นประการใดใยจึงมิรับสั่งออกมา”เหอผิงอดไม่ได้ที่จะกราบทูลถามกลับไปด้วยความสงสัย
พระพักตร์คมคร้ามยังคงเรียบเฉยและสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนจะได้ยินพระสุรเสียงมีรับสั่งตอบกลับไป
“เรื่องที่เจ้าบอก...ข้าล่วงรู้มานานแล้วแต่สิ่งที่ล่วงรู้มาและอุตสาห์รีบเร่งเดินทางมาบอกข้า ล้วนแล้วแต่เป็นข่าวลวงทั้งสิ้นเจ้ารู้หรือไม่”
“ห๊ะ!ข่าวลวงอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ!เป็นไปได้เยี่ยงไร แต่กระหม่อมสืบจนรู้แน่ชัดมาแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”เหอผิงมิวายเถียงกลับไปในสิ่งที่ตนพยายามหาข่าวมา
แม่ทัพลือนามยกยิ้มพระโอษฐ์ออกมาเพียงเล็กน้อยพร้อมส่ายพระเศียรไปมาครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะเหตุใดเจ้าจึงไปแอบได้ยินเจ้าผู้ครองแคว้นต้าซางมีรับสั่งกับสตรีนางนั้น ในเมื่อพระองค์เป็นผู้มอบจินเฟิ่งให้แก่ข้า อีกทั้งแม่นมอะไรนั่นที่เจ้าบอกว่าคอยดูแลอยู่ก็มิเคยปรากฏเพราะอะไรล่วงรู้หรือไม่”รับสั่งถามกลับไป
“เพราะอะไรอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”เหอผิงรีบเป็นฝ่ายถามกลับไปโดยพลันด้วยความอยากรู้
วงองค์สูงใหญ่ค่อยๆ ลุกขึ้นจากตั่งที่ประทับพลางพระดำเนินก้าวเข้าไปหาอดีตราชองครักษ์ซึ่งกำลังยืนงงด้วยความสงสัยอยู่ในขณะนั้น พร้อมยกพระหัตถ์ตบลงบนบ่ากว้าง
“นั่นก็เพราะว่าจินเฟิ่งตายไปเมื่อ 6 ปีที่แล้วนะสิ แม้กระทั่งเจ้าผู้ครองแคว้นต้าซางก็มิทรงทราบเรื่องนี้ ข้าปกปิดเป็นความลับมาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ต่อให้สนมเอกผู้นั้นพลิกหาทั่วแผ่นดินก็ไม่มีทางพบคนตายหรอก”รับสั่งตอบกลับไป
และนั่นทำให้เหอผิงเข้าใจอย่างถ่องแท้ขึ้นมาทันใด ดวงตายาวรีลุกวาววับจ้องพระพักตร์หล่อเหลาตรงหน้าเขม็ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ในเมื่อองค์ชายทรงทราบว่าจินเฟิ่งตายไปตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว เหตุใดจึงมีข่าวออกมาอยู่ตลอดเวลาว่าเสมือนยังมีชีวิตอยู่ด้วยเล่า กระหม่อมไม่เข้าพระทัยพระองค์จริงๆ”
“นี่เจ้าไม่เข้าใจจริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ ว่าเพราะเหตุใดข้าจึงต้องทำให้แลดูเหมือนว่าจินเฟิ่งยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่ได้ตายไปนานแล้วเช่นนั้น”รับสั่งถามกลับไป
ในขณะที่อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมาติดต่อกันเป็นการยอมรับว่าตนนั้นไม่เข้าใจนั้นเอง ก่อนจะได้ยินองค์ชายของตนมีรับสั่งอธิบายกลับมา
“ข้าแสร้งให้จินเฟิ่งเสมือนยังมีตัวตนอยู่ก็เพื่อรอคอยวันที่ชายโฉดหญิงชั่ว ต้องการโอรสลับกลับคืนวังหลวงเพื่อสืบทอดบัลลังก์ซีโจว ซึ่งแท้จริงแล้วบัลลังก์นี้จะต้องเป็นของข้า!มันเป็นของข้ามาตั้งแต่เกิดแต่เพราะพวกมันแย่งชิงบัลลังก์จากพระบิดาจึงทำให้ข้ากลายเป็นรัชทายาทไร้บัลลังก์จนถึงทุกวันนี้ และเวลาที่ข้ารอคอยก็มาถึง ในที่สุดพวกมันก็เพรียกหาโอรสที่ถูกซ่อนเร้นกลับคืนสู่วังหลวง”รับสั่งสุรเสียงลอดไรพระทนต์ แรงแค้นยังคงฝังแน่นมิเคยลืมเลือนไปได้เลย
“อ่อ..เป็นเช่นนี้เอง”เหอผิงกล่าวออกมาสั้นๆ
รอยแสยะยิ้มเหยียดหยันปรากฏออกมาอยู่เพียงครู่ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วจากใบหน้า ในขณะที่สายพระเนตรขององค์ชายรูปงามเหลือบมาพบเข้าพอดิบพอดี
แม่ทัพหนุ่มชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนจะได้ยินคนสนิทกราบทูลถามพระองค์กลับมา
“แล้วองค์ชายจะทรงมีแผนการต่อไปเยี่ยงไรดีพ่ะย่ะค่ะ”เหอผิงกราบทูลถามกลับไปด้วยความอยากรู้
แม่ทัพไร้พ่ายทรงทอดพระเนตรคนสนิทของพระองค์อยู่เพียงครู่ ก่อนจะมีรับสั่งตอบกลับไป
“ข้าก็จะแอบเข้าไปในวังหลวง ในวันที่มีพระราชพิธีแต่งตั้งรัชทายาท เวลาตายของชายโฉดหญิงชั่วก็จะมาถึงเสียที ใช้โอกาสนี้ที่ผู้คนและทั่วราชสำนักกำลังวุ่นวายกับรัชทายาทพระองค์ใหม่ ข้าจะทำการปลิดชีพพวกมันทั้งหมดด้วยตัวของข้า วิธีนี้ไม่สิ้นเปลืองกำลังทหารของข้าแม้แต่น้อย”
พระองค์แสร้งมีรับสั่งปดออกไป ด้วยทรงมีความรู้สึกบางอย่างกำลังบอกว่าอดีตราชองครักษ์คนสนิทมีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ครั้นเหอผิงได้ยินเช่นนั้นคิ้วที่เริ่มมีสีขาวแซมขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยขึ้นมาทันที
“แต่พระองค์ทรงลืมไปแล้วหรือไรว่าทั่วหล้าต่างรู้จักแม่ทัพไร้พ่ายด้วยกันทั้งสิ้น แม้จะไม่ค่อยมีผู้ใดพานพบตัวจริงก็ตามแต่อย่างน้อยก็มีต้าซางรวมไปถึงทหารในกองทัพทั้งหมดล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วทรงเป็นผู้ใด พระองค์จะทรงแอบแฝงเข้าไปในราชสำนักซีโจวในฐานะอะไรเล่าพ่ะย่ะค่ะจึงจะสามารถเข้าถึงชายโฉดหญิงชั่วนั้นได้ กระหม่อมเกรงว่าจะไม่แนบเนียนเป็นที่น่าเชื่อถือเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”เหอผิงแสดงความคิดเห็นกลับไป
และนั่นทำให้พระโอษฐ์ได้รูปสวยยกยิ้มออกมาเล็กน้อยครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“เรื่องนั้นข้าเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว หามีผู้ใดล่วงรู้เป็นแม่นมั่น”รับสั่งอย่างมั่นพระทัย
ใบหน้าอิ่มของเหอผิงเชิดขึ้นสูงทันที กิริยาดังกล่าวช่างแลดูคล้ายอิสตรีเสียนี่กระไร
“องค์ชายทรงเตรียมการเอาไว้อย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”ถึงกระนั้นก็มิวายเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้อีกครา
องค์ชายหนุ่มค่อยๆ หันพระวรกายกลับ ทรงยืนหันหลังให้อดีตองค์รักษ์คนสนิท ด้วยทรงมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้แม่ทัพไร้พ่ายไม่ทรงมีรับสั่งไปมากกว่านี้
“ถึงเวลาเจ้าก็จะล่วงรู้เอง ตอนนี้ทุกอย่างล้วนเป็นความลับสุดยอด มิควรให้ผู้ใดล่วงรู้ทั้งสิ้น”รับสั่งตอบกลับไป
“แม้กระทั่งกระหม่อมอย่างนั้นอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ!”เหอผิงกราบทูลถามกลับไปเสียงห้วน
และนั่นทำให้พระองค์รู้สึกสะดุดพระทัยอย่างยิ่งยวดกับน้ำเสียงและถ้อยเจรจาที่มิใช่ตัวตนของเหอผิง อดีตราชองครักษ์คนสนิทของพระองค์
พระวรกายสูงใหญ่หันกลับไปทอดพระเนตรร่างสันทัดของเหอผิงในวัย 55 ปีทันใดเพื่อสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทว่าไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือส่วนสูง รวมไปถึงใบหน้าล้วนเป็นคนสนิทของพระองค์อย่างมิมีผิดเพี้ยน แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากเดิมนั้นก็คือแววตา ด้วยดวงตาที่กำลังจ้องพระองค์อยู่ในเวลานี้มีสีดำสนิทในขณะที่เหอผิงมีดวงตาสีน้ำตาล
พระเนตรสีนิลลุกโชนขึ้นมาโดยพลันครั้นทรงล่วงรู้แล้วว่า ร่างสันทัดที่สูงเพียงระดับหน้าอกของพระองค์ซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนี้หาใช่ราชองครักษ์คนสนิทแต่อย่างใด
“เจ้ามิใช่เหอผิง!!!!”สุรเสียงตวาดก้องขึ้นมาทันที