CHAPTER 1 “เด็กหญิงตัวน้อย”
‘แว้...อุแว้...อุแว้...’ เสียงร้องของเด็กหญิงตัวน้อยวัยเก้าเดือนเศษดังขึ้น ปลุกให้เจ้าของห้องจำต้องลุกจากที่นอน ‘ปัน’ ลุกขึ้นสะบัดหัวไล่ความง่วงเล็กน้อย ก่อนจะเดินงัวเงียมาอุ้มเด็กน้อยขึ้นจากแปปล
“โอ๋...น้องฝน หนูร้องทำไมคะลูก ฝันร้ายหรอคะ” ปันอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอก คอยลูบหลังเบา ๆ เพื่อปลอบให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้
ปันอุ้มน้องฝนเดินวนไปมาอยู่ภายในห้องนอนของตน พลางเอื้อมมือที่ว่างอยู่ไปกดเปิดเครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กที่เชื่อมต่อไว้กับลำโพงภายในห้องนอน เสียงเพลงคลาสสิคบรรเลงคลอเบา ๆ แบบที่ปันชอบเปิด ค่อย ๆ ดังขึ้นขับกล่อมให้เด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมกอดของปันหลับลงอีกครั้ง
เมื่อเสียงสะอื้นของน้องฝนเงียบลง ปันก็รอเวลาให้แน่ใจว่าน้องฝนหลับดีแล้วซักพัก ก่อนจะวางเด็กน้อยกลับลงไปในเปลเช่นเดิม และยืนจ้องมองใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยที่เธอหลงรักตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็น
ปันเหลือบมองเวลาที่นาฬิกาบนโต๊ะหัวเตียง ก่อนจะตัดสินใจหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปล้างหน้าอาบน้ำแต่งตัวใหม่ แม้เวลานี้จะเช้ากว่าเวลาปกติที่เธอตื่นนอนอยู่มาก แต่เธอก็คงนอนต่อไม่กลับแล้วเช่นกัน
“หวาน...ขึ้นไปอยู่เฝ้ายัยหนูให้ปันที เดี๋ยวตรงนี้ปันช่วยป้าทิพย์เองจ่ะ” ปันเดินลงมาบอกเด็กในบ้านที่กำลังง่วนอยู่กับการช่วยงานป้าทิพย์ แม่นมคนสนิทของเธอ เตรียมอาหารเช้าอยู่ในครัว
“คุณหนู ทำไมวันนี้ตื่นเช้าล่ะคะ น้องฝนกวนรึเปล่า” ป้าทิพย์เอ่ยถาม หลังจากที่หวานเดินออกจากครัวไป
“น้องฝนตื่นมาร้องไห้ค่ะ ปันเห็นว่าอีกนิดก็เช้าแล้วเลยตื่นเลยดีกว่า วันนี้ป้าทิพย์ทำอะไรทานคะ” ปันตอบคำถามป้าทิพย์ ก่อนจะเอ่ยถามถึงเมนูอาหารเช้าที่อีกคนกำลังเตรียมอยู่
“เช้านี้มีข้าวต้มปลาค่ะ ป้าว่าจะทำตำลึงผัดหมูสับไว้ให้ทานคู่กันด้วย คุณหนูอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ เดี๋ยวทำอาหารใส่บาตรพระเสร็จแล้วป้าจะทำเพิ่มให้” ป้าทิพย์ถามปัน
“ไม่ดีกว่าค่ะ ปันทานคนเดียวแค่นั้นก็พอแล้ว เดี๋ยววันนี้ปันใส่บาตรด้วยดีกว่า ไหน ๆ ก็ได้ตื่นเช้าแล้ว” ปันยิ้มให้ป้าทิพย์ ก่อนทั้งสองคนจะช่วยกันเตรียมอาหารสำหรับใส่บาตรและอาหารเช้าจนเสร็จ
หลังจากทั้งสองพากันใส่บาตรพระที่หน้าบ้านพร้อมทั้งทานอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อย หวานก็เดินอุ้มน้องฝนที่อยู่ในชุดใหม่ลงมาจากด้านบนพอดี
“น้องฝน พี่หวานอาบน้ำให้หนูแล้วหรอคะ” ปันเดินไปรับเด็กน้อยมาจากหวาน “ไหนคุณแม่ดูสิคะ ตัวหอมรึยังน้า” ปันหอมแก้มน้องฝนทั้งสองข้างจนเด็กหญิงตัวน้อยปล่อยเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ
“อารมณ์ดีเชียวนะคะน้องฝน เดี๋ยวป้าไปเตรียมอาหารเช้าให้ดีกว่า” ป้าทิพย์เดินมาเล่นกับน้องฝนอีกคน
“งั้นคุณแม่พาหนูไปรอป้าทิพย์ที่ห้องนั่งเล่นนะคะ ไปกันดีกว่าเนอะ” ปันอุ้มน้องฝนไปวางไว้ในคอกกั้นเด็กที่เตรียมไว้ให้ลูก ภายในห้องนั่งเล่น
“หวานมีอะไรก็ไปทำเถอะจ่ะ เดี๋ยวปันดูยัยหนูเอง” หวานพยักหน้ารับคำสั่งแล้วเดินหายไปหลังบ้านเพื่อเตรียมตัวจัดการงานบ้านอื่น ๆ ต่อ
ช่วงสายหลังจากที่น้องฝนทานข้าวและเล่นจนหลับไปอีกครั้ง ปันก็ย้ายตัวเองมานั่งบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความที่ยังไม่ได้เปิดเช็คเลยตั้งแต่เช้า
Line IE GANG
ไผ่ : วันนี้ว่าง ไปหาหลานกันป่ะ
ภูผา : หยุดทีไร มึงก็ว่างตลอด ไปหาหลานจนคนเค้าคิดว่ามึงเป็นพ่อน้องฝนกันหมดแล้ว
ไผ่ : มึงหึงกูหรอ?? ก็กูรักหลาน กูจะไปหาหลาน มีไรป่ะ
: กูไม่ได้เห็นหน้าหลานมาสองอาทิตย์แล้วนะมึง กูคิดถึงของกูอ่ะ
ม่อน : ขิมบอกว่า มึงไปเถียงกันในแชทส่วนตัวไป๊
ไผ่ : กูเบื่อผัวเมียคู่นี้ ตกลงพวกมึงจะไปกับกูมั้ยครับ
ภูผา : กูไป
ม่อน : ขิมบอกว่า จะไปกับกูไม่ไปกับมึงว่ะ
ไผ่ : รำคาญ!! มันก็เหมือนกันนั่นแหละ เจอกันบ้านปันตอน 11 โมง
ภูผา : นัดแนะไม่ต้องรอเจ้าของบ้านเค้ามาตอบเลย
ม่อน : ปันก็ไม่เคยขัดซักที ตามใจมันเหมือนลูก ส่วนมึงก็ขัดมันตลอด ทำตัวเหมือนพ่อมัน
ภูผา : ถ้ากูมีลูกแบบมัน กูคงปวดหัวตาย
ปันนั่งหัวเราะอยู่คนเดียว หลังจากอ่านข้อความที่เพื่อน ๆ ส่งทิ้งไว้ ทุกวันหยุดเพื่อน ๆ จะพากันมารวมตัวที่บ้านเธอแบบนี้แทบจะทุกอาทิตย์ เพราะไม่อยากให้เธอเหงา แถมยังพากันมาช่วยเลี้ยงน้องฝนอีกด้วย
“หวาน บอกป้าทิพย์เตรียมอาหารกลางวันเผื่อเพื่อน ๆ ปันด้วยนะ” ปันเงยหน้าไปบอกหวาน เมื่อเห็นหวานเดินผ่านหน้าห้องนั่งเล่นไป
ทุกคนในบ้านนี้คุ้นชินกับเพื่อน ๆ ของเธอเป็นอย่างดี ตั้งแต่เธอมีน้องฝนและลาออกจากงานมา ทุกคนก็พากันแวะเวียนมาหาเธอที่บ้านอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าเธอจะเหงาและเหนื่อยเกินไปที่จะต้องเลี้ยงน้องฝนคนเดียวลำพัง แม้จะมีป้าทิพย์และหวานคอยช่วย แต่ทั้งสองคนก็มีงานอื่นที่ต้องทำในบ้านเช่นกัน
บ้านที่ปันอาศัยอยู่เป็นบ้านในหมู่บ้านขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ในหมู่บ้านจัดสรรแถบชานเมือง ปันและป้าทิพย์อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้กับคุณพ่อของปันมาตั้งแต่ปันยังเด็ก ส่วนคุณแม่ของปันประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ปันโตขึ้นมากับคุณพ่อ โดยมีป้าทิพย์คอยช่วยดูแลตั้งแต่เธอเพิ่งเกิด จนกระทั่งปันอายุได้ 5 ขวบ คุณพ่อของปันก็แต่งงานใหม่ และให้กำเนิดลูกสาวอีกคนหลังจากนั้น 1 ปี ครอบครัวของเธออยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น แม้ภรรยาใหม่ของคุณพ่อจะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของปัน แต่เธอก็รักและดูแลปันมาอย่างดี ไม่ต่างจากลูกสาวของตัวเอง จนปันรักและสามารถเรียกเธอว่าคุณแม่ได้อย่างเต็มปาก
ปันเติบโตมากับครอบครัวที่อบอุ่น ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ก็มีกินมีใช้ไม่ได้ขาด หลังจากที่ปันเรียนจบชั้นมัธยมปลาย คุณพ่อของปันก็ล้มป่วยและเสียชีวิตไปหลังจากนั้นได้ไม่นาน ดีที่คุณพ่อรอบคอบและแบ่งมรดกไว้ให้ปัน กับคุณแม่ ทำให้ทุกคนอยู่กันได้โดยไม่ลำบาก
หลังจากปันเรียนจบ ปันก็ตัดสินใจหางานทำทันทีเพราะเธออยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ครอบครัว และอยากให้คุณแม่ได้ลาออกจากงานมาอยู่บ้านพักผ่อนสบาย ๆ แต่ถ้าจะถามว่าทำไมที่บ้านเธอตอนนี้ถึงเหลือเพียงปันอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงคนเดียว นั่นก็คงเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเกือบสองปีก่อน
ในขณะที่นันน้องสาวของเธอกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่นั้น ก็มีแมวมองติดต่อพาเข้าวงการบันเทิง แม้จะเริ่มต้นจากงานถ่ายแบบและโฆษณาเล็ก ๆ แต่นันกลับได้รับกระแสตอบรับจากแฟนคลับเป็นอย่างดี เมื่อนันเริ่มมีงานเข้ามามากขึ้น คุณแม่จึงตัดสินใจเข้าไปช่วยดูแลคิวงานให้นันแทน เพื่อให้น้องสามารถรับงานในวงการและเรียนมหาวิทยาลัยไปพร้อม ๆ กันได้
นันมีงานติดต่อเข้ามามากขึ้น ประกอบกับการเรียนที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นันตัดสินใจขอย้ายไปอยู่คอนโดในเมืองเพื่อให้สะดวกกับการเดินทาง จนมาช่วงสองปีหลัง คุณแม่จึงย้ายตามไปอยู่ดูแลนันที่คอนโดด้วยอีกคน ทำให้เหลือเพียงปันอยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียว โดยมีป้าทิพย์คนเก่าคนแก่ของที่บ้านคอยดูแล รวมถึงหวานหลานสาวของป้าทิพย์ที่เพิ่งมาอยู่ด้วยได้ไม่นาน มาคอยช่วยดูแลบ้านอีกแรง ส่วนนันน้องสาวของปันและคุณแม่นั้น จะพากันแวะเวียนมาหาบ้างนาน ๆ ครั้ง
เสียงรถขับเข้ามาจอดในบริเวณรั้วบ้าน ปันแทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าแขกที่มาเยือนเป็นใคร ปันเดินออกไปยืนรอรับเพื่อน ๆ อยู่หน้าบ้าน เพื่อดักไว้ไม่ให้ไผ่เสียงดังจนปลุกน้องฝนตื่น
“ปัน!!” เสียงไผ่ดังมาก่อนปันจะได้เห็นหน้าเพื่อนลงจากรถด้วยซ้ำ “ทำไมไม่อ่านไลน์เลย ยุ่งหรอ”
“เบาเสียงหน่อยไผ่ น้องฝนหลับอยู่” ปันยกมือตีแขนไผ่เบา ๆ เพื่อเตือนให้ไผ่ลดเสียงลง “เมื่อเช้าเล่นกับน้องฝน เพิ่งได้จับโทรศัพท์ เห็นตกลงกันได้แล้วว่าจะมาเลยไม่ได้ตอบอะไร”
“ปันมันคงทำใจไว้ตั้งแต่รู้ว่าวันนี้วันหยุดแล้ว ว่ายังไงมึงก็ต้องมาป่วนมันกับน้องฝนที่บ้านอ่ะ” ขิมเพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มเดินลงจากรถตามมา
“ขิมอย่าพูดไม่เพราะเดี๋ยวน้องฝนได้ยิน” ภูผาเตือนเพื่อน
“เจ้าค่ะคุณภูผา ดิฉันจะระวังการพูดจานะเจ้าคะ” ขิมตอบกวน “ไปหาน้องฝนกันดีกว่าเจ้าค่ะคุณเพื่อนปัน” ขิมเดินไปลากแขนปันเข้าบ้าน โดยมีม่อน ไผ่ และภูผาเดินหัวเราะตามมาด้านหลัง
“น้องฝนหลับอยู่ ยังไม่ตื่นหรอก เดี๋ยวนั่งเล่นรอไปก่อนนะ” ปันบอกเพื่อน ๆ เมื่อเดินเข้ามาถึงห้องนั่งเล่น
“น้องฝนหลานน้าไผ่ ไม่เจอกันตั้งหลายอาทิตย์ น้าไผ่คิดถึงจังเลย” ไผ่เดินไปเกาะขอบคอกกั้นเด็กที่น้องฝนนอนหลับอยู่
“ไอ้คุณไผ่!! อย่าไปกวนหลาน มานั่งนี่เลย” ขิมเค้นเสียงเรียกไผ่ให้เดินมานั่งกับเพื่อน ๆ
“ไอ้คุณขิม!! คุณก็ขัดผมจังเลยนะครับ ผมก็แค่คิดถึงหลานมันผิดรึไงครับ” ไผ่เดินบ่นขิม ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ภูผา
“เลิกทะเลาะกันซักวันได้มั้ย ทั้งคู่เลยเนี่ย ม่อนดูแลเมียหน่อยดิ๊ เดี๋ยวทางนี้เราจัดการเอง” ภูผาบ่น
“ปันว่าถ้ามันลำบาก แค่ไม่พูดต่อหน้าน้องฝนก็พอแล้วเนอะ น้องฝนไม่ได้ยินก็ไม่เป็นไรหรอก” ปันแย้งขึ้นขำ ๆ เมื่อเห็นว่าเพื่อน ๆ ดูพยายามกันจนเกร็งทุกครั้งที่ต้องพูดเพราะ ๆ
“มันกูมึงมาจนชินไง ตั้งกี่ปีล่ะ พอมาปรับมันเลยดูประหลาด ๆ แบบนี้แหละ” ภูผาตอบ
“แล้วน้องฝนดื้อมั้ยช่วงนี้ เลี้ยงยากป่ะ” ขิมถามเพื่อน
“ไม่ดื้อนะ น้องฝนเลี้ยงง่ายมาตั้งแต่เกิด อารมณ์ดี ไม่งอแงเท่าไหร่ ดีที่มีป้าทิพย์คอยช่วยอีกคน” ปันตอบ “ทำไมขิมอยากมีเป็นของตัวเองบ้างหรอ” ปันแซวเพื่อนต่อ
“ยังหรอกปัน ขิมยังอยากทำงานอยู่ ม่อนกะว่าถ้ามีลูกจะให้ขิมออกจากงานมาเลี้ยงลูกเลย ไม่อยากให้เหนื่อยอ่ะ” ม่อนตอบปันแทนขิม
“จริง เห็นแกเลี้ยงน้องฝนแล้วน่าจะเหนื่อยมาก ถ้าทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย กูตายแน่ ๆ เลย” ขิมตอบ
“แล้วปันวางแผนต่อจากนี้ไว้บ้างรึยัง ว่าจะเอายังไงต่อ” ภูผาถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
“นั่นดิ ปันลาออกจากงานมาตั้งแต่น้องฝนเกิด ไม่คิดอยากกลับไปทำงานบ้างหรอ หรือว่าอยากเลี้ยงน้องฝนเอง” ไผ่ร่วมวงถามด้วยอีกคน
“เอาจริง ๆ ปันอยากกลับไปทำงานนะ ถึงจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่เลี้ยงเด็กคนนึงให้โตมาอย่างมีคุณภาพ มันก็ต้องใช้เงินเยอะอยู่ ปันอยากเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุด” ปันตอบเพื่อน
“แล้วคิดไว้บ้างมั้ย ว่าอยากทำงานอะไร หรือจะกลับไปทำที่เดิม” ไผ่ถามต่อ เพราะเดิมทีเค้า ภูผา และปัน ทำงานอยู่ที่โรงงานเดียวกัน ก่อนที่ปันจะลาออกไป
“ไม่อ่ะ ที่เก่ามีโอทีบ่อย ปันอยากทำงานแบบเข้าออกงานตามเวลาปกติ ถึงจะกลับไปทำงานแต่ปันก็อยากมีเวลาให้น้องฝนมากหน่อย” ปันเอ่ย
“ก็ดีนะ ผาไม่อยากให้ปันทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบเมื่อก่อน จนไม่มีเวลาให้น้องฝน” ภูผาเห็นด้วยกับความคิดของปัน
“แล้วถ้าปันไปทำงานแล้วน้องฝนล่ะ จะฝากเลี้ยงหรือป้าทิพย์ดูให้” ขิมถาม
“ป้าทิพย์จะดูให้ แต่ปันคงจะหาเด็กที่บ้านมาเพิ่มอีกคน ให้ดูแลงานบ้านช่วยหวานไป ป้าทิพย์ก็จะได้ดูแลน้องฝนได้เต็มที่ เพราะถ้าให้หวานดูแลงานบ้านคนเดียว หวานจะเหนื่อยเกินไป” ปันบอก “อีกอย่างปันไม่อยากเอาลูกไปฝากเลี้ยงตามเนสเซอร์รี่ ปันไม่ไว้ใจใครให้มาดูแลลูกหรอก” เพื่อน ๆ พยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นเดี๋ยวเราให้คนที่บ้านมาช่วยดีกว่า อย่างน้อยก็ไว้ใจได้และเป็นงานแล้ว ไม่ต้องฝึกกันเยอะ มาถึงจะได้ช่วยงานป้าทิพย์ได้เลย” ขิมเสนอตัวช่วยเพื่อน
“ขอบใจมากนะขิม รบกวนด้วยแล้วกัน เดี๋ยวว่าจะลองหว่านใบสมัครงานดู เผื่อมีที่ไหนเรียกไปสัมภาษณ์” ปันบอกกับเพื่อน ๆ
“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะปัน พวกเราพร้อมช่วยปันเสมอ ผารู้ว่าปันเข้มแข็งมากพอที่จะเดินต่อไปได้ แต่ผาอยากให้ปันรู้ว่าปันยังมีพวกเราอยู่ตรงนี้นะ” ภูผาเอ่ยเสียงหนักแน่น
“พระเอกมากเพื่อนกู แต่จะได้เป็นพระเอกให้ใคร อันนี้กูตอบไม่ได้นะ” ไผ่พูดขึ้นลอย ๆ
“สงสัยอยากลงไปนอนกองที่พื้น ซักทีมั้ยครับเพื่อนไผ่” ภูผาหันมาถามไผ่ ที่ลุกหนีไปนั่งหลังปันเรียบร้อย
“คุณหนูคะ” ป้าทิพย์เดินยิ้มเข้ามาหาปันในห้องนั่งเล่น “พาเพื่อน ๆ ไปทานข้าวกันก่อนดีกว่าค่ะ ป้าตั้งโต๊ะไว้ให้แล้ว เดี๋ยวป้าดูน้องฝนให้”
“สวัสดีครับป้าทิพย์” ไผ่นำทีมเพื่อน ๆ ยกมือไหว้ผู้อาวุโสของบ้าน “มาบ้านปันทีไร อิ่มท้องกลับไปทุกที นี่ผมกำลังหิวเลย กับข้าวป้าทิพย์นี่อร่อยทู้กอย่างจริง ๆ” ไผ่เดินไปกอดแขนอ้อนป้าทิพย์
“แหม ปากหวานเหลือเกินพ่อคุณ เก็บไว้ไปอ้อนสาว ๆ เถอะค่ะ ไม่ต้องอ้อนป้า ป้าก็ทำให้ทานได้” ป้าทิพย์ยิ้มตอบเพื่อน ๆ ปัน
“ขอบคุณนะคะป้าทิพย์ ปันฝากยัยหนูก่อนนะคะ เดี๋ยวปันมารับช่วงต่อ” ปันเอ่ยขอบคุณป้าทิพย์
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหนู เดี๋ยวอีกหน่อยป้าก็ต้องดูแลน้องฝนให้อยู่แล้ว แค่นี้เองสบายมากค่ะ” ป้าทิพย์ตอบ
“งั้นเดี๋ยวปันมานะคะ ไปทานข้าวกันเถอะ” ปันชวนเพื่อน ๆ เดินไปทานข้าวพร้อมกัน เพื่อจะได้กลับมาช่วยป้าทิพย์ดูแลน้องฝนต่อ เพราะนี่ก็ใกล้เวลาที่น้องฝนจะตื่นนอนแล้ว