“เหยาเอ๋อร์”
ก่อนที่ร่างอรชรจะก้าวขึ้นจากไปกงหยวนฉีก็ตัดสินใจจะกล่าวบางประโยคออกไป ไม่ใช่เพื่อเขาแต่เพื่อผลดีต่อตัวของหลินซีเหยาเอง
“นับจากนี้หากไม่จำเป็น เจ้าก็ไม่ต้องนำขนมมาให้เปิ่นหวางอีกแล้วนะ”
ตัดใจกล่าวออกไปทั้งที่เขาเองก็รู้สึกไม่ดีที่ตัดสัมพันธ์กับอีกฝ่ายทั้งที่นางไม่ผิดอันใดเลย
“เพราะเหตุใด หรือฉู่อ๋องรังเกียจเหยาเอ๋อร์เสียแล้ว แม้แต่เป็นสหายพวกเราก็มิอาจเป็นได้อีกต่อไป”
หลินซีเหยากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแววตากลับยิ่งเจ็บช้ำยิ่งกว่า ทำเอาชายหนุ่มถึงกับจุกหน้าอกเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นล้วนไม่ใช่ความผิดของหลินซีเหยาตัวเขาเองหากจะผิดก็คือผิดที่ไม่ระวังตัวจนถูกวางยาจากสตรีต่ำทรามเช่นซ่งไฉ่หนิงจนได้
เขาชิงชังนางอย่างยิ่ง!
“ไม่ใช่เช่นนั้นนะเหยาเอ๋อร์หากแต่เปิ่นหวางเป็นห่วงชื่อเสียงของเจ้า เปิ่นหวางไม่เคยคิดรังเกียจเจ้าเลยสักครั้ง”
ชายหนุ่มเผลอตัวเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยกระทำมาก่อน เกือบจะเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาที่ขังอยู่ที่ขอบตาของอีกฝ่ายอยู่แล้วยังดีว่าเขาได้สติคืนกลับมาก่อน
“หากจะกล่าวไม่ใช่เจ้าหรอกเหยาเอ๋อร์ที่ต้องหวาดกลัวว่าเปิ่นหวางนั้นจะนึกรังเกียจเจ้า หากแต่เป็นตัวของเปิ่นหวางต่างหากที่ต้องกังวลว่าเจ้าจะรังเกียจเปิ่นหวาง เพราะบัดนี้ร่างกายของเปิ่นหวางนั้นแปดเปื้อนเสียแล้ว”
“ฉู่อ๋องอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยเพคะ เหยาเอ๋อร์ไม่เคยคิดเช่นนั้นและยิ่งไม่เคยรู้สึกว่าท่านอ๋องนั้นแปดเปื้อนเลยสักครั้ง อดีตที่ผ่านมาเคยรักท่านอ๋องอย่างไร วันนี้ก็ยังคงรักท่านอ๋องไม่จืดจางมีแต่นับวันจะยิ่งรักมั่นคงต่อท่านอ๋องตลอดไป”
“เหยาเอ๋อร์...”
ภาพของคนรักกันแต่จำใจต้องแยกจากกันด้วยฝีมือของสตรีร้ายกาจเอาแต่ใจผู้ใดพบเห็นก็มีแต่ซาบซึ้งและเห็นใจทำให้ภาพในใจที่ทุกคนมองไปที่เซี่ยซูเหยายิ่งเลวร้าย
“เหยาเอ๋อร์ไม่มีวาสนาได้แต่งเป็นชายาเอกของฉู่อ๋องวันนี้หากวันหน้าได้มีวาสนาต่อกันถึงเหยาเอ๋อร์จะต้องเป็นรองสตรีอื่นก็ยินดีเพคะ ดังนั้นขอฉู่อ๋องอย่าได้ห้ามให้เหยาเอ๋อร์มาพบหน้าฉู่อ๋องอีกเลยนะเพคะ อย่ากังวลถึงชื่อเสียงเหยาเอ๋อร์เพราะชีวิตนี้เหยาเอ๋อร์จะไม่แต่งให้บุรุษใดอีกหากผิดไปจากฉู่อ๋องเพคะ”
กล่าวจบหลินซีเหยาก็หันหลังวิ่งจากไปขึ้นรถม้าด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตาผู้คนไม่น้อยที่ได้เห็นภาพดังกล่าว กงหยวนฉีไม่เคยรู้สึกว่าตนเองไม่เอาไหนได้เท่าวันนี้มาก่อนนับตั้งแต่มารดาจากไปเขาที่ถูกฮ่องเต้ซ่งไห่หยางเรียกตัวเข้ามาเมืองหลวงตั้งแต่อายุสิบเอ็ดหนาวภาพภายนอกเพื่อให้เขามาศึกษาหาความรู้ในเมืองหลวงแต่ความจริงแล้วใคร ๆ ย่อมรู้เขาก็คือตัวประกันให้บิดาของเขาที่เป็นอ๋องต่างแซ่ปกครองแคว้นเฉิงตูที่แดนใต้ของต้าเหลียงนั้นคิดกบฏมากกว่าจนสิ้นบิดาของเขาที่เป็นฉู่อ๋องเขาจึงสืบทอดต่อมาในวัยสิบแปดหนาวเท่านั้น
แต่ทว่าถึงเขาจะได้รับสืบทอดตำแหน่งก็ได้เป็นเพียงฉู่อ๋องที่มิอาจกลับแคว้นเฉิงตูได้ เป็นฉู่อ๋องก็เพียงฐานะแต่อำนาจยังมิอาจเทียบได้กับสกุลจางหรือสกุลเจียงได้เลยหาไม่วันนี้เขาคงสามารถจะทำอันใดได้บ้างไม่ใช่ยืนมองภาพหญิงคนรักวิ่งร้องไห้จากไปเช่นนี้…
ฝ่ายของซ่งไฉ่หนิงนั้นใกล้ถึงวันงานสมรสนางก็ยิ่งยุ่งกับการเตรียมสินเดิมไหนจะต้องวิ่งไปตรวจดูและลองชุดเจ้าสาวที่เร่งตัดเย็บขึ้นมาให้ย่อมไม่ทราบเรื่องข่าวลือที่หน้ากรมอาญายิ่งก่อนจะงานแต่งอีกสองวันซ่งไฉ่หนิงก็แทบจะไม่มีแม้แต่เวลานอนหลับพักผ่อนด้วยซ้ำ
ทว่าซ่งหลิงจูที่ริษยาน้องสาวต่างมารดาผู้นี้ยิ่งกว่าอะไรก็นำข่าวดังกล่าวคิดไปเย้ยหยันซ่งไฉ่หนิงให้อีกฝ่ายอาละวาดจะได้ถูกฮ่องเต้มองว่าเป็นคนไม่ดีเพิ่มขึ้นไปอีก!
“น้องสาว…”
เสียงหวานที่ปั้นแต่งของซ่งหลิงจูทำเอาซ่งไฉ่หนิงขนลุก แต่ก็ยังวางกิริยาเรียบเฉยได้แนบเนียนผิดไปจากซ่งไฉ่หนิงคนเก่าไปหลายส่วนแต่คงเพราะหลายวันนี้นางเหนื่อยเกินไปจึงไม่อยากจะฝืนปั้นแต่งเป็นผู้อื่นอีกต่อไปเพราะคิดให้ดีคนเราปั้นแต่งไปตลอดชีวิตไม่ไหวหรอกนางเองก็เช่นกันตนเองเคยเป็นเช่นไรทุกวันนี้จึงเป็นเช่นนั้นไป
“หนิงเอ๋อร์คารวะพี่สาวเพคะ”
พออีกฝ่ายเข้ามาทรุดนั่งภายในห้องพักผ่อนโดยไม่ได้รับเชิญนางที่อ่อนวัยกว่าก็ลุกขึ้นคารวะไปตามมารยาทเท่านั้น ซ่งหลิงจูอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะปกติน้องสาวตัวดีไม่เคยอ่อนข้อหรือคารวะตนเองมาก่อนหากบิดาไม่กำชับนั่นเอง แต่เพียงครู่คนด้อยสติปัญญาเช่นนางก็คิดไปว่าซ่งไฉ่หนิงคงตกน้ำไปจนสติฟั่นเฟือนเป็นแน่
“ดูเจ้าคงวุ่นวายน่าดูนะหนิงเอ๋อร์”
“เพคะพี่สาว”
“เฮ้อ! เจ้าก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับงาน แต่เจ้าคงไม่รู้ว่าหลินซีเหยามันไปยั่วยวนฉู่อ๋องที่กรมอาญาแทบจะทุกวัน”
ถึงจะไปเพียงวันเดียวแต่นางอยากให้น้องสาวอกแตกตายจึงเพิ่มสีสันลงไปเอง
“อ๋อ…”
หากแต่ซ่งไฉ่หนิงนั้นกลับร้องออกมาเพียงเท่านั้นทำเอาผู้มา ‘เป่าหู ‘เช่นซ่งหลิงจูถึงกับไปต่อไม่ถูกเพราะผิดจากที่นางคาดเอาไว้ราวกับหน้ามือและหลังเท้าเลยทีเดียว
“อันใดคือ ‘อ๋อ ‘กันหนิงเอ๋อร์?”
อดจะถามออกไปด้วยความกังขาเสียมิได้
“ก็หมายความว่าหนิงเอ๋อร์รับทราบแล้วเพคะพี่หญิง”
“แล้วเจ้าไม่โกรธ”
“โกรธเรื่องอันใดเพคะ?”
ซ่งไฉ่หนิงยังคงถามกลับไปด้วยสีหน้าใสซื่ออย่างยิ่ง
“ก็โกรธหลินซีเหยากับฉู่อ๋องที่ทำเรื่องบัดสีลับหลังเจ้า”
“เรื่องบัดสี? ก็แค่พวกเขาไปพบกันและพูดคุยต่อหน้าผู้คนในกรมอาญามากมายก็นับว่าเป็นเรื่องบัดสีแล้วหรือหนิงเอ๋อร์ไม่เข้าใจเพคะพี่หญิง”
“นี่เจ้า!”
“พี่หญิงร้อนหรือเพคะ? อี้ผิงรินน้ำเร็วเข้าพี่หญิงของเปิ่นกงจู่กระหายน้ำแย่แล้วเจ้าไม่เห็นหรือไร?!”
“นี่เจ้า! หึเช่นนั้นก็รอให้ฉู่อ๋องแต่งหลินซีเหยามาเป็นชายารองร่วมตำหนักกับเจ้าก็แล้วกันข้าหรือสู้อุตส่าห์หวังดีมีเตือนให้ระวังเอาไว้เจ้ากลับไม่ใส่ใจ!”
กล่าวจบซ่งหลิงจูก็สะบัดชายกระโปรงปึงปังจากไปราวกับพายุหมุน ซ่งไฉ่หนิงมองตามแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ใช่เพราะความกลัดกลุ้มอันใดแต่นางโล่งใจที่พี่สาวยอมจากไปเสียสักคราเพราะกว่าจะมีเวลาส่วนตัวเช่นนี้นั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยนางอยากจะเอนกายลงนอนอย่างสงบเท่านั้น
“เอ่อ…องค์หญิงเพคะ”
“มีอันใดอีกหรืออี้ผิงเปิ่นกงจู่อยากพักผ่อนสักครู่เจ้ามีเรื่องใดก็วางเอาไว้ก่อนเถิดนะ”
ซ่งไฉ่หนิงกล่าวออกไปทั้งที่ตนเองเอนกายบนตั่งเตียงหลับตาพริ้มอยู่
“เรื่องฉู่อ๋องกับท่านหญิงซีเหยานั้นปล่อยไปเช่นนี้จะดีหรือเพคะ”
จงอี้ผิงเอ่ยออกไปด้วยความเป็นห่วงผู้เป็นนายไม่ได้มีใจคิดริษยาเช่นซ่งหลิงจูที่เพิ่งจากไปแม้แต่น้อย
“เฮ้อ! เจ้าเชื่อหลิงจูกงจู่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือตลอดมาคำพูดของนางมีน้ำหนักเพียงใดเจ้าสมควรรู้ดีกว่าเปิ่นกงจู่นะอี้ผิง”
“……”
คราวนี้นางกำนัลคนสนิทถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะเรื่องกลับดำเป็นขาวนี้นางเคยเจอมากับตนเองสมัยเพิ่งเข้าวังเมื่อหลายหนาวก่อนหากไม่มีไฉ่หนิงกงจู่ยื่นมือเข้าช่วยนางคงตายไม่ตั้งแต่ในยามนั้นแล้ว ซึ่งก็เพราะเป็นเช่นนั้นนางกำนัลสาวจึงเคารพรักซ่งไฉ่หนิงยิ่งกว่าชีวิตตนเอง เช่นเดียวกับกู่หลีจิ้งที่ก็ติดค้างไฉ่หนิงกงจู่ด้วยหนี้ชีวิตไม่ต่างจากนาง
“นางเพียงอยากให้เปิ่นกงจู่เป็นตัวตลกหากเปิ่นกงจู่กระโดดโลดเต้นไปกับคำยั่วยุของนางเช่นนั้นนางก็สมใจแล้ว ดังนั้นเปิ่นกงจู่จึงไม่ทำ เอาละเจ้าออกไปตรวจดูด้านนอกเถอะกำชับเหล่าองครักษ์ด้วยว่าเวรยามต้องเข้มงวดสักหน่อยหากชุดเจ้าสาวถูกทำลายอีกคราวนี้เสด็จพ่อทรงกริ้วหนักเป็นแน่เปิ่นกงจู่ไม่ต้องการเห็นผู้ไร้ความผิดต้องมาสังเวยชีวิตเพราะเรื่องชุดแต่งงานอีกแล้ว”
“เพคะ”
จงอี้ผิงจากไปแล้วหากแต่ซ่งไฉ่หนิงกลับยังมิอาจหลับได้ลงคงเพราะสับสนกับเนื้อเรื่องที่กำลังดำเนินไปส่วนหนึ่งก็เป็นไปดังที่ตนเองเคยประพันธ์เอาไว้แต่อีกส่วนนางกลับไม่เคยรับรู้จึงเกิดคำถามเดิมหวนมาอีกครั้งว่าตกลงที่นี่คือมิติของนิยายหรือแท้จริงแล้วมันคือโลกคู่ขนานที่บังเอิญคล้ายกับนิยายของนางกันแน่หญิงสาวสับสนมากจริง ๆ
“แต่จะอย่างไรข้าก็ต้องปกป้องชีวิตตนเองเอาไว้ก่อน”
คิดตกได้เช่นนั้นหญิงสาวก็มิอาจหลับได้ลง นางลุกขึ้นไปยังห้องหนังสือเริ่มร่างสัญญาข้อตกลงขึ้นมาหนึ่งฉบับระหว่างตนเองและฉู่อ๋อง บุรุษผู้นั้นคือดาวเภทภัยสำหรับนางหลีกได้เป็นหลีก หลบได้นางต้องเร่งกระทำหญิงสาวนึกไปถึงสินเดิมที่ตนเองจัดเตรียมเอาไปเต็มที่ยังดีว่าฮ่องเต้ไม่ขี้เหนียวกับบุตรสาวนิสัยแย่เช่นตนเองหาไม่ภพชาตินี้นางคงเริ่มต้นชีวิตได้ยากพอสมควร ทองคำหลายสิบหีบกับตัวเงิน ไหนจะมีเครื่องประดับนับรวมนางก็ขนไปเกินร้อยกว่าหีบแค่นี้ชีวิตใหม่ยังนอกวังของนางก็สดใสไร้กังวลแล้ว
นอกจากร่างหนังสือสัญญาทำข้อตกลงต่างคนต่างอยู่กับฉู่อ๋องที่งานแต่งงานถูกเลื่อนมาให้เร็วขึ้นจากเดิมถึงห้าวันซ่งไฉ่หนิงยังเขียนจดหมายคิดจะส่งไปถึงพี่ชายที่อยู่ชายแดนอีกด้วยเพราะนางคิดว่าหากจะปลอดภัยที่สุดตนเองก็ต้องออกจากเมืองหลวงไปให้ไกลจากฉู่อ๋องและคนที่จะช่วยพานางไปได้ก็มีเพียงซ่งไฉ่หมิงเท่านั้น จะหนีก็ต้องหนีอย่างมีสติและสตางค์หาไม่หนีไปก็คงยากจะตลอดรอดฝั่งไปได้อยู่ดี…