ตอนที่ 2
“แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! แย่แล้วองค์หญิง!”
กู่หลีจิ้งนั้นกลับวิ่งร้อนรนลืมรักษากิริยาเช่นปกติเข้ามาภายในห้องพักผ่อนที่วันนี้ซ่งไฉ่หนิงเลือกจะรับอาหารมื้อค่ำภายในห้องไม่ออกไปภายนอกด้วยใบหน้าซีดขาวหญิงสาวจึงวางตะเกียบลงแล้วยกผ้าขึ้นซับมุมปากก่อนจะมองตรงไปที่ขันทีหนุ่มด้วยสายตาตำหนิไม่ปิดบัง
“เพลิงไหม้หรือไรเอะอะชวนเสียขวัญยิ่ง” ถ้อยคำเช่นนี้หากเป็นยามปกติกู่หลีจิ้งคงแปลกใจมากเป็นแน่แต่ในยามนี้เขามีเรื่องร้ายแรงกว่าจะต้องรายงาน
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะหากแต่ยิ่งกว่าเกิดเพลิงไหม้ เพราะชุดเจ้าสาวขององค์หญิงที่กองช่างภูษาหลวงเร่งซ่อมแซมและปักลวดลายเพิ่มทั้งกลางวันและกลางคืนจนสำเร็จแต่พอจางกุ้ยเฟยคิดจะนำไปให้ฮองเฮาและฮ่องเต้ทอดพระเนตรกลับหายไปเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
…ชุดเจ้าสาวหาย? นี่มันเรื่องน่ายินดีมิใช่หรือไร? …
ซ่งไฉ่หนิงแทบจะตะโกนออกมาด้วยความยินดี แต่เนื่องจากนางอายุไม่น้อยแล้วจึงเก็บอาการยินดีเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน
“หายไปตั้งแต่ยามใด” นางแกล้งถามออกไปด้วยกิริยาสุขุมไม่เผยอาการยินดีแทบตายออกไปแม้แต่น้อย
“ไม่น่าจะเกินหนึ่งชั่วยามก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เช่นนี้ก็ต้องเป็นคนภายในวังหลังเป็นแน่และต้องเป็นสตรีไม่ก็ต้องเป็นพวกขันทีเพราะห้องภูษาหลวงนั้นอยู่ในเขตแดนของวังหลังแม้แต่องครักษ์เงาของฮ่องเต้ยังมิอาจก้าวล่วงเข้ามาได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาทของพวกเขาคนต้องสงสัยจึงใกล้แคบลงไปแต่จะเป็นผู้ใดที่ลงมือซ่งไฉ่หนิงก็อยากจะขอบคุณผู้นั้นจริง ๆ
หลินซีเหยาหรือ?
คิดเช่นไรก็มีเพียงสตรีผู้นั้นแต่ซ่งไฉ่หนิงก็แน่ใจว่าตนเองเขียนอีกฝ่ายขึ้นมากับมือจะไม่รู้นิสัยใจคอและความคิดของนางเอกของตนเองที่เป็นดังบุตรสุดที่รักได้อย่างไรหลินซีเหยาคงไม่ใช่ผู้ลงมือแน่นางจิตใจงดงาม
“ไปหยิบเสื้อคลุมมาเปิ่นกงจู่คงต้องออกไปดูสักหน่อย” ประเดี๋ยวฮ่องเต้จะสงสัยว่าเป็นข้าที่ขโมยชุดแต่งงานไปทำลาย
แน่นอนว่าประโยคหลังซ่งไฉ่หนิงพูดอยู่แค่ภายในใจเท่านั้นทั้งที่อ่อนล้าจากการถูกนางกำนัลสูงวัยแสนจะเข้มงวดขัดถูและดูแลผิวพรรณมาตลอดหลายวันอย่างไรแต่เพื่อไม่ให้ตนเองถูกฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาตำหนิเอาได้ว่าไม่ใส่ใจงานแต่งงานของตนเองไม่พอดีไม่ดีอาจสงสัยว่านางเป็นคนขโมยชุดแต่งงานไปทำลายเสียเอง ซ่งไฉ่หนิงก็จำเป็นต้องโผล่หน้าออกไปดูเหตุการณ์พอเป็นพิธีสักหน่อย อาจเพราะว่าชาติก่อนนั้นนางอยู่กับสังคมปั้นหน้ามาร่วมครึ่งชีวิตพอข้ามภพมาเป็นองค์หญิงที่อย่างไรก็มีหน้าตาให้รักษาจึงจำต้องเสแสร้งขึ้นมาด้วยความเคยชิน
“หนิงเอ๋อร์ถวายพระพรเสร็จพ่อ ถวายพระพรเสร็จแม่ ถวายพระพรจางกุ้ยเฟยเพคะ”
อยู่กันพร้อมหน้าถึงเพียงนี้ดูแล้วชุดแต่งงานนี้คงไม่ธรรมดาเป็นแน่ นางเองก็เพิ่งข้ามภพมาเป็นซ่งไฉ่หนิงได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้นจึงไม่ทันได้ไปเห็นชุดแต่งงานดังกล่าวมาก่อนหรืออันที่จริงก็คือนางไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลยมากกว่า เพราะมัวแต่สนใจสินเดิมที่จะนำติดตัวออกจากวังไปในวันแต่งงานมากกว่า ก็นั่นน่ะ ต้นทุนไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นางใฝ่ฝันเชียวนะก็ต้องใส่ใจและพิถีพิถันกันสักหน่อยมิใช่หรือไร? ยิ่งนางวางแผนจะหลบหนีในวันแต่งงานเงินทองจึงยิ่งสำคัญ
“เจ้ามัวทำสิ่งใดอยู่จึงเพิ่งมาเอาป่านนี้หนิงเอ๋อร์ ชุดแต่งงานนี้สมควรเป็นเจ้าที่นำไปให้ข้ากับฮองเฮาตรวจดูก่อนจะส่งแก้ไขมิใช่หรือ?”
“...”
ขนาดนางรู้แจ้งก็รีบเร่งออกจากตำหนักของตนเองทันทีก็ยังจะโดนฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาตำหนิเข้าจนได้ ซ่งไฉ่หนิงที่กำลังวิงเวียนกับกลิ่นเครื่องหอมถึงกับนึกคำจะแก้ตัวไม่ออกไปเลยทีเดียว นี่หรือไม่ลูกที่ไม่ใช่คนโปรดแค่ยืนหายใจยังผิด ดวงตาดอกท้อเหลือบมองผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาเล็กน้อยจากนั้นจึงเลือกจะก้มหน้าทำเป็นสำนึกผิดไปย่อมดีที่สุดในยามนี้และสถานการณ์ตรงหน้า
“ฝ่าบาทอย่าตำหนิหนิงเอ๋อร์เลยเพคะ วันนี้หม่อมฉันได้ให้โจวมามากับคนของนางไปดูแลผิวพรรณให้หนิงเอ๋อร์ดังนั้นนางย่อมไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เป็นแน่”
ฟังเหมือนจะช่วยพูดออกหน้าให้กับนางแต่กลับไม่ใช่หากเป็นซ่งไฉ่หนิงคนในอดีตคงนับถือน้ำใจของจางกุ้ยเฟยขึ้นมาอีกหลายส่วนแต่นี่นางเป็นหญิงสาวที่เคยผ่านเหตุการณ์และคำพูดเช่นนี้มาเป็นสิบปีมีหรือจะไม่เข้าใจเจตนาของมารดาเลี้ยงผู้นี้
“เรื่องเล็กน้อย?! ชุดแต่งงานนี่คือเล็กน้อยหรือหนิงเอ๋อร์?!”
นั่นอย่างไรเติมเพลิงโทสะให้บิดาของนางโกรธจนแทบจะเผาผลาญโถงกลางของโรงตัดเย็บภูษาหลวงได้อยู่แล้วร้ายกาจเกินไปแล้วตัวละครนี้
“มิได้เพคะเสร็จพ่อ หนิงเอ๋อร์มิได้คิดเช่นนั้นเลย ตรงกันข้ามกัน หนิงเอ๋อร์มองว่าชุดแต่งงานนี้สำคัญมากจึงยกให้คนสำคัญเช่นจางกุ้ยเฟยเป็นธุระให้เพคะ”
โยนเผือกร้อนมาก่อนนางก็เพียงโยนมันกลับไปหาผู้ส่งมอบเท่านั้น จางกุ้ยเฟยถึงกับเหลียวมองลูกเลี้ยงสาวที่ปกติจะต้องโต้เถียงกับฮ่องเต้ชนิดยอมตายแต่ไม่ยอมแพ้ด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“จางกุ้ยเฟย หนิงเอ๋อร์ทำท่านลำบากใจแล้ว”
กล่าวจบหญิงสาวก็ตรงเข้าไปทรุดกายลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าสตรีโฉมงามที่ดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบต้น ๆ ทั้งที่จางกุ้ยเฟยนั้นสี่สิบเอ็ดหนาวแล้ว จากนั้นซ่งไฉ่หนิงก็บีบน้ำตามาขังอยู่แค่เพียงนัยน์ดวงตายังไม่ให้มันไหลริน รอเวลาที่เหมาะสมอีกหน่อยค่อยปล่อยมันหยดลงมาสักสองถึงสามหยดก็นับว่าแผนคืนเผือกร้อนของตนเองสำเร็จด้วยดี
“ลุกขึ้น! เอ่อ...หนิงเอ๋อร์ลุกขึ้นเถอะ เจ้าผิดอันใดกัน เจ้าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้วเปิ่นกงย่อมรู้ฝ่าบาทขออย่าได้ตำหนิหนิงเอ๋อร์อีกเลย พี่สาว ท่านได้โปรดช่วยพูดให้หนิงเอ๋อร์ด้วยเถิดเพคะ”
น้ำเสียงของจางกุ้ยเฟยนั้นขอร้องวิงวอน ทว่าสายตาที่มองตรงไปยังหลินฮองเฮานั้นดุร้ายอย่างยิ่ง เห็นเช่นนั้นหลินฮองเฮาจึงปากคอสั่นเร่งก้าวออกมาประคองให้ซ่งไฉ่หนิงลุกขึ้น ทำให้หญิงสาวอดจะรู้สึกผิดเสียมิได้ที่ตนเองดันอุตริอยากจะเขียนให้นิยายของตนเองแหวกแนวโดยการให้บทของหลินฮองเฮานั้นเป็นสตรีอ่อนแอไร้อำนาจจะต่อกรกับตัวร้ายหมายเลขหนึ่งเช่นจางกุ้ยเฟยได้
“ลุกขึ้นเถิดหนิงเอ๋อร์ ฝ่าบาทอย่าได้กล่าวโทษหนิงเอ๋อร์อีกเลย นางป่วยไข้อยู่หมอหลวงเป็นพยานพอเริ่มจะหายดียังวุ่นวายกับการเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวอีก”
“เอาละ ช่างเถอะ ช่างเถอะ ใครผิดใครถูกมาตามหาในยามนี้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว เด็ก ๆ เร่งสั่งการลงไปให้ทุกคนหยุดงานในมือแล้วตามหาชุดแต่งงานของไฉ่หนิงกงจู่ให้เจอโดยเร็ว!
ฮ่องเต้ซ่งไห่หยางถอนหายใจแล้วหยุดเอาความกับบุตรสาวลำดับที่สี่ทันที ใครจะเข้าใจเขาดีเท่าตัวของเขาเองคงไม่มี ฝ่ายซ่งไฉ่หนิงนั้นก็ยิ่งสงสัยที่ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาดูตึงเครียดกับการที่ชุดแต่งงานนี้หายไปถึงขนาดสั่งให้ทุกคนหยุดงานในมือเพื่อตามหา เพราะหากจะกล่าวกันแล้วด้วยอำนาจของผู้เป็นฮ่องเต้เวลาที่เหลืออีกแปดวันเช่นไรก็สามารถสั่งให้ช่างภูษาหลวงทั้งหมดที่มีตัดเย็บชุดแต่งงานที่ดีที่สุดออกมาใหม่ได้แน่นอนไม่เสียเกียรติของฐานะองค์หญิงขั้นหนึ่งเป็นแน่แต่นี่อีกฝ่ายคล้ายจะอย่างไรก็ต้องตามหาให้เจอ
“อี้ผิงเจ้าทราบหรือไม่ว่าชุดแต่งงานนี้มีมูลค่ามากเพียงใด”