อัยย์ญาดาปากระริก ความหนาวเยือกแล่นวาบเข้าจับขั้วหัวใจ ตัวเธอสั่นเทาเล็กน้อยและสมองสั่งการเชื่องช้าลงกว่าเก่า นัยน์ตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำรื้นที่เพียรสะกดไม่ให้มันหยดลงบนแก้ม และขณะนั้นเองที่ชาครินทร์มองเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งเขาจำได้ว่าพบเด็กคนนี้มาก่อนหน้า ลูกสาวที่ตามแม่จ๋าไปสมัครงานที่รอยัล ไพรด์ พอตั้งสติได้อัยย์ญาดาจึงก้มลงบอกลูกน้อยว่า
“น้องเอ๋ย...นี่เจ้านายแม่จ๋าเองนะลูก...สวัสดีสิคะ...นี่คือ...คุณอาชาครินทร์”
“สวัสดีคะคุณอา...คุณอา...ชาครินทร์”
หนูน้อยยกมือพุ่มไหว้พร้อมย่อตัวลงตามที่แม่จ๋าเคยสั่งสอน อากัปกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กหญิงไม่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะดุดใจเท่ากับเค้าโครงใบหน้าที่เมื่อมองใกล้ ๆ นั้นยิ่งกว่าถอดแบบมาจากผู้ให้กำเนิด หัวใจของชาครินทร์ไหวยวบลงด้วยความไหวหวั่นชั่วขณะ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าได้ทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังนับจากวันนั้นที่เขาหักดิบทุกอย่างด้วยการผลักอัยย์ญาดาลงกลางทางและหันหลังมุ่งหน้าไปตามวิถีที่ตั้งมั่นเพียงผู้เดียว ร่างสูงใหญ่อดไม่ได้ที่ต้องจ้องมองนัยน์ตาเป็นประกายสุกใสและช่างไร้เดียงสาของเด็กน้อยที่เขารู้เต็มอกแล้วว่าอรินลดาเป็นเลือดเนื้อของใคร รอยยิ้มอ่อนจุดประกายบนมุมปากหยักได้รูป
“สวัสดี...ยังจำ...อาได้สินะ”
“จำได้คะ...ก็คุณอาชื่อเหมือนป๊ะป๋าของน้อยเอ๋ยนิคะ”
“น้องเอ๋ยยังไม่เข้าโรงเรียนเหรอคะ”
เด็กหญิงส่ายหน้าไปมา “ยังคะ...น้องเอ๋ยกำลังจะเข้า...แม่จ๋าบอกว่า...จะซื้อชุดให้น้องเอ๋ย”
“น้องเอ๋ยคงน่ารักมากเวลาใส่ชุดนักเรียน”
“คุณชาครินทร์...ไม่มีธุระอะไรแล้วใช่ไหมคะ”
อัยย์ญาดาแทรกขึ้นขณะสองคนคุยกันทำให้ชาครินทร์ต้องชะงัก เขาหันมาด้วยแววตาเครียดขึ้งเล็กน้อย หญิงสาวแทบไม่กล้าสบนัยน์ตาคู่นั้น แววตาคมปลาบราวปลายมีดเชือดเฉือนหัวใจเธอตลอดเวลา และยิ่งอยู่ท่ามกลางสถานการณ์บีบคั้นเช่นนี้เธอคิดเพียงว่าเขาไม่ได้มาดี ไม่นึกว่าวันหนึ่งต่างต้องมาเผชิญหน้ากัน ทำเหมือนไม่รู้จักกัน เป็นความเหินห่างที่อัยย์ญาดายิ่งกว่าเจ็บปวด เธอแทบไม่อยากมองหน้าลูกน้อยที่ยังเยาว์นัก อรินลดาไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ก่อร่างสร้างเลือดก้อนนั้นมาก่อนทิ้งขว้างไม่เคยเหลียวแล ก่อนหญิงสาวจะเอ่ยปากชายหนุ่มกลับพูดขึ้นว่า
“ที่ผมตามมาก็ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอะไร แค่ให้แน่ใจเท่านั้น”
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องของคุณ”
“จริง ๆ แล้วคุณควรจะแน่ใจได้แต่แรก เพราะถ้าไม่แน่ใจคุณคงไม่...”
“ผมจะไม่พูดเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว สิ่งที่ผมจะพูดคือตอนนี้ เวลานี้...น้องเอ๋ย...จะเป็นไรไหมคะถ้าป๋าโอมจะขอเข้าไปนั่งในบ้านของน้องเอ๋ย”
ชาครินทร์ตัดบทอย่างแยบยลด้วยการหันไปพูดกับลูกสาวของอัยย์ญาดาแทน อรินลดายิ้มกว้างอวดฟันขาวเรียงตัวเป็นระเบียบ
“ได้ค่ะ ได้ค่ะ...เข้ามาสิคะ...มานั่งตรงนี้ค่ะ”
เด็กหญิงเข้าไปจูงมือชายหนุ่มให้เดินตามเข้าไปนั่งในห้องรับแขกขณะอัยย์ญาดามองตามด้วยความอัดอั้นหัวใจ เธออยากกรีดร้อง อยากให้เขาออกไปจากบ้านเพราะชาครินทร์แทบไม่อยากเปิดเผยความสัมพันธ์อันแท้จริงระหว่างเขากับอรินลดาแม้แต่น้อย ลูกสาวของเธอน่าสงสารเป็นที่สุด ถูกทิ้งขว้างไม่พอยังต้องมาเผชิญกับความตลบตะแลงของคนเป็นพ่อที่แสร้งแสดงตัวเป็นคนอื่นทั้งที่ไม่ยอมรับลูกตัวเอง หญิงสาวกลืนความเจ็บช้ำเข้าไปในอก เธอเดินตามเข้าไปและเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่ทราบว่า...คุณอยากจะรับกาแฟสักแก้วหรือเปล่าคะ”
“ก็ดี...ขอบคุณ”
เขาตอบสั้นห้วนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ร่างแน่งน้อยเดินดุ่มเข้าไปในครัวและขณะหยิบแก้วชงกาแฟก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักระหว่างทั้งสองดังแว่วเข้ามา หญิงสาวอึดอัดเหมือนมีบางอย่างจุกอก ขณะยังไม่ทันเปิดฝาขวดกาแฟกลับต้องชะงักเมื่อไหล่บางถูกกระชากให้หันกลับไปข้างหลัง
“ชาครินทร์!”
อัยย์ญาดาร้องตระหนกเมื่อถูกร่างสูงใหญ่ดันตัวเธอจนหลังชนผนังห้องครัวโดยไม่ทันตั้งตัว
“ชาครินทร์...นี่คุณจะทำอะไร...แล้วลูก...ลูกฉันล่ะ”
“ผมให้คนพาลูกไปแล้ว”
“ว่ายังไงนะคะ! น้องเอ๋ย...คุณทำอะไรกับลูกของฉัน!”
“ลูกของเรา!”
ชาครินทร์ตอกย้ำความเจ็บปวดลงไปใต้บึ้งของอัยย์ญาดาอีกครั้งด้วยการยืนยันเสียงหนักแน่นทว่าเบาโหวงในความรู้สึกของหญิงสาว เธอแค่นหัวเราะทั้งน้ำตา
“ลูกของเราเหรอคะ...น้องเอ๋ยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของแกเป็นใคร”
“แต่คุณก็บอกลูกนี่ไม่ใช่หรือว่าพ่อของแกชื่ออะไร”
“แค่ชื่อไม่สำคัญหรอกค่ะ มันสำคัญที่ว่าคนคนนั้นมีตัวตนอยู่บนโลกนี้หรือเปล่า”
“มีสิ...ตัวตนของคนคนนั้นยังอยู่ แค่จิตวิญญาณของคนคนนั้นได้ตายไปแล้ว มองหน้าผมสิอัยย์...มองหน้าผมให้ชัดๆ”
เขาออกคำสั่งแน่นหนักขณะอัยย์ญาดาเอียงหน้าไปอีกทาง มือหนาจับไหล่บางไว้ไม่ยอมปล่อย เธออยากหลับตาลงแต่ลมหายใจร้อนผ่าวที่อยู่ใกล้แค่คืบกำลังทำลายความเข้มแข็งลงจนแทบหมดสิ้นใบหน้าสวยหมดจดค่อย ๆ เอียงกลับมาเผชิญกับเขาโดยตรง ใบหน้าคร้ามคมและนัยน์ตาเข้ม ภาพที่ฝังลึกในความทรงจำของเธอไม่ว่ายามหลับหรือตื่น น้ำหยดน้อยถั่งจากดวงตาคู่งาม มีประโยคนับล้านที่อัดอั้นกับคำถามหากเธอได้แต่ปล่อยมันออกมาเป็นเสียงสะอื้น