“โอมคงไม่รู้ซีนะว่า เมื่อห้าปีก่อนตอนที่...โอมหายไปในวันแต่งงาน ลูกสาวแม่เกือบเป็นบ้า อัยย์เกือบไม่เป็นผู้เป็นคน เก็บตัวและร้องไห้อยู่นานนับเดือน แม่พยายามปลอบและคิดว่าเรื่องร้าย ๆ มันคงผ่านไปได้และอัยย์จะเข้มแข็ง ลูกสาวแม่อาจได้พบกับใครคนใหม่ที่จะมาช่วยเยียวยาหัวใจให้หายเจ็บปวด จนกระทั่งอัยย์ล้มป่วยและต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล เป็นไข้หนักเพราะร่างกายและจิตใจอ่อนแอ นั่นล่ะถึงทำให้แม่ได้รู้ว่า ที่จริงแล้วอัยย์ท้องก่อนแต่งงานได้เดือนกว่าๆ แต่เขาไม่เคยบอกใคร พอแม่ถามเขาร้องไห้และบอกแม่ว่า เขาอยากบอกโอมในคืนส่งตัวเข้าหอ แต่...ก็ไม่มีวันนั้น”
“แล้วตอนนี้ล่ะครับ อัยย์พบใครใหม่หรือยัง”
“โอมจะไม่ถามหน่อยหรือว่าลูกของอัยย์เป็นอย่างไรบ้าง ในเมื่อเด็กคนนั้นก็เป็นลูกของโอม”
“ผมแค่คิดว่าอัยย์อาจจะโกรธผมและคงหาผู้ชายคนใหม่มาเป็นพ่อของลูก”
“โอมน่าจะคิดว่าตลอดห้าปีที่ผ่านมาอัยย์กับลูกใช้ชีวิตอยู่กันยังไง ลูกสาวแม่ต้องเข้มแข็งขนาดไหนถึงทำใจได้ให้มีชีวิตอยู่เพื่อเด็กคนหนึ่งที่พ่อทิ้งไปได้จนถึงตอนนี้”
“คนทุกคนต้องเจอกับบททดสอบของชีวิตด้วยกันทั้งนั้นล่ะครับ เพียงแต่จะพบกับการทดสอบที่หนักหรือเบาก็เท่านั้น และคนที่ไม่เคยผ่านบทเรียนชีวิตก็จะไม่รับรู้ถึงรสชาติความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างคนที่เคยผ่านมันมาเลย”
“แต่อัยย์ไม่ควรได้รับบททดสอบที่หนักหน่วงมากขนาดนั้น เป็นคนอื่นคงฆ่าตัวตายไปแล้ว เป็นเจ้าสาวตอนอายุแค่สิบแปด พอคลอดลูกก็ต้องกลับไปเรียนใหม่ โดนเหยียดหยามดูถูกว่ามีลูกไม่มีพ่อยังไงก็ต้องทน ตอนนั้นโอมก็คงไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้วสินะ แต่...บอกแม่หน่อยได้ไหมว่าโอมหายไปไหนในวันแต่งงาน”
“ผมมีความจำเป็นที่ต้องไปอย่างกะทันหัน”
“โดยที่โอมปล่อยให้ลูกสาวแม่ต้องเผชิญกับความอับอายที่ต้องเป็นเจ้าสาวในงานแต่งที่ไม่มีเจ้าบ่าวอย่างนั้นหรือ?”
“มันเป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นใครก็ต้องปล่อยทุกอย่างทิ้งไว้ในเมื่อพ่อผมฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึก”
“พ่อของโอมฆ่าตัวตาย...”
“ครับ...พ่อผมฆ่าตัวตายและคิดว่าคุณแม่อาจจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี...ชัชวิน บรินรามพิพัฒน์”
“บรินรามพิพัฒน์!”
แววตาตื่นตระหนกของรมิตายังแจ่มชัดในมโนนึกของชาครินทร์ นัยน์ตาสีสนิมเหล็กเข้มเคียดขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเก็บเรื่องราวต่าง ๆ ลึกล้ำในใจ ห้าปีที่ผ่านไปเขาทั้งคั่งแค้นและทุกข์ทรมานสาหัสไม่ต่างจากว่าที่เจ้าสาวของเขาแม้แต่น้อย
หลังออกจากรอยัล ไพรด์ อัยย์ญาดาก็รีบกลับมาหาหัวใจดวงน้อยที่ธอฝากไว้กับป้าเฟื่องฟ้าที่บ้านไม้สองชั้นซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเธอไปเพียงไม่กี่หลังและเมื่อไปถึงก็พบเจ้าของบ้านซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนเปิดประตูรั้วออกมาพอดี พอเห็นหน้าหญิงสาวป้าเฟื่องฟ้าก็เอ่ยขึ้นว่า
“อ้าว...หนูอัยย์ ทำไมกลับเร็วจัง ไหนบอกป้าว่าอาจจะกลับมาเย็น ๆ นี่มันยังไม่ทันจะบ่ายสามเลยนะ”
“ค่ะ...หนูเสร็จธุระแล้วก็เลยรีบกลับ”
“เหรอจ๊ะ...แล้วเป็นไงบ้าง ตกลงว่าหนูได้ทำงานที่ใหม่แล้วใช่ไหม โอ๊ย...โรงแรมนั่นหรูหราจะตาย แล้วเห็นว่าได้เป็นเลขาเจ้านายใหญ่ด้วยนี่ไม่ใช่เหรอ”
อัยย์ญาดาแค่นยิ้มเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ตลอดทางที่กลับมาก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเธอกำลังพบปัญหาหนักอึ้ง เธอได้งานใหม่และต้องเผชิญปัญหาใหญ่อย่างที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง ทว่ายังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไปก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กของอรินลดาที่วิ่งปรี่ออกมาเกาะขามารดาไว้แน่น
“แม่จ๋า...แม่จ๋ากลับมาแล้ว”
เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นจนหญิงสาวต้องช้อนร่างนั้นขึ้นอุ้มและหอมแก้มยุ้ยหนึ่งฟอดพร้อมทั้งบอกว่า
“ค่ะ...แม่จ๋ากลับมาแล้ว เรากลับบ้านกันนะคะ”
“แม่จ๋าๆ น้องเอ๋ยอยากกินไข่ดาว”
“ป้าทำให้น้องเอ๋ยกินไปรอบหนึ่งละ นี่หิวอีกแล้วเหรอลูก”
ป้าเฟื่องฟ้าพูดอย่างเอ็นดู หญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีเป็นผู้เอื้ออารีอัยย์ญาดาและครอบครัวตั้งแต่เธอย้ายมาอยู่ที่นี่ ซอยเล็ก ๆ ในหมู่บ้านที่หญิงสาวรู้จักและคุ้นเคยเพียงไม่กี่คน เวลามีธุระอย่างเช่นตอนนี้ที่เธอต้องไปเฝ้ามารดาที่โรงพยาบาลก็ต้องฝากลูกสาวไว้กับคุณป้าใจดีที่เอื้ออาทรในทุกเรื่อง อัยย์ญาดาวางลูกสาวลงและยกมือไหว้ป้าเฟื่องฟ้า
“ขอบคุณมากนะคะ หนูรบกวนป้าอยู่บ่อย ๆ เกรงใจเหลือเกิน”
“ไม่เป็นไรหรอก เราคนบ้านใกล้เรือนเคียง แล้วนี่วันนี้จะแวะไปโรงพยาบาลหรือเปล่า”
“คิดว่าคงไม่ค่ะ คงต้องเป็นพรุ่งนี้เพราะอัยย์ไม่อยากรบกวนคุณป้าต้องคอยดูแลน้องเอ๋ยนาน ๆ “
“แล้วพรุ่งนี้ต้องเริ่มทำงานนี่ไม่ใช่เหรอ”
“แม่จ๋าจาไปทำงานที่หนาย?”
อรินลดาถามขณะเขย่ามือมารดาเบา ๆ อัยย์ญาดาหันมายิ้มอ่อนและบอกว่า
“ก็...ที่โรงแรมที่แม่จ๋าพาน้องเอ๋ยไปตอนเย็นเมื่อวานไงจ๊ะ”
เด็กหญิงทำท่าคิดก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้
“อ๋อ...ที่นั่น...แม่จ๋า...ที่ป๋าโอมอยู่ใช่ไหม”
“อะไรนะคะน้องเอ๋ย...ป๋าโอมไหน”
“ก็ป๋าโอม...ผู้ชายที่...ชื่อเหมือนป๊ะป๋าของน้องเอ๋ยไงคะแม่จ๋า”