“น้องเอ๋ยมากับแม่จ๋าค่ะ...แม่จ๋าเข้าไปในห้องนู้น...ยังไม่ออกมา”
ตอบพลางหันหลังให้และชี้นิ้วเล็ก ๆ ไปยังห้องซึ่งด้านหน้ามีป้ายติดว่า ฝ่ายบุคคล ร่างสูงมองตามก่อนรอยยิ้มจางผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากหยักได้รูปและคราวนี้เขาคืนลูกแก้วให้เด็กหญิงตัวน้อยที่รับเอาไว้ในมือเล็กที่มีลูกแก้วกองเต็มฝ่ามือ เขามองท่าทีลิงโลดและดวงตาเป็นประกายใสแจ๋ววับวาวเมื่อได้ของกลับคืนอย่างนึกเอ็นดูขณะย่อตัวลงและจ้องมองดวงหน้าหมดจดของเด็กวัยสี่ขวบกว่าตรงหน้า
“ชื่อน้องเอ๋ยหรือ...น้องเอ๋ยกลับไปนั่งรอแม่จ๋าของหนูที่หน้าห้องนั้นนะ แล้วอย่าไปเล่นซนที่ไหน เดี๋ยวแม่จ๋าของน้องเอ๋ยเสร็จธุระกลับออกมาจะไม่พบ”
“ค่ะ...”
อรินลดารับคำ แต่ก่อนจะกลับไปนั่งก็หันกลับมาและถามชายหนุ่มที่ยืดลำตัวขึ้นยืนเต็มความสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรว่า
“คุณชื่ออะไรคะ?”
เมื่อหนูน้อยตั้งคำถามอีกฝ่ายเงียบไปอึดใจก่อนตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“ฉันชื่อ...ชาครินทร์”
“มีชื่อเล่นไหมคะ?”
“ชื่อเล่นว่า...โอม”
“ชื่อเหมือนป๊ะป๋าของน้องเอ๋ยเลยค่ะ”
พูดอย่างภูมิใจพลางยิ้มอวดฟันขาวเรียงตัวเป็นระเบียบไม่มีผุเลยสักซี่ ทว่าแววประหลาดใจผุดวาบขึ้นมาเพียงชั่วขณะบนดวงตาคมปลาบของร่างสูงสง่าในชุดสูทสีเทาควันบุหรี่ก่อนมันจะจางลงและกลายเป็นราบเรียบ ชาครินทร์ก้าวเข้าไปและลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มนวลเป็นคลื่นเล็ก ๆ ของอรินลดาอย่างนึกเอ็นดู มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นใต้จิตสำนึกก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ป๊ะป๋าของน้องเอ๋ยชื่อโอมเหมือนกันเหรอ...อืม...ดีจัง...ถ้างั้นเจอกันวันหลังน้องเอ๋ยเรียกฉันว่าป๋าโอมก็ได้นะ”
“ค่ะ...ป๋าโอม”
ชายหนุ่มพยักหน้าซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกับเด็กหญิงคนนี้ที่รู้สึกถูกชะตาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างสูงสมาร์ทเดินห่างออกไปโดยมีสายตาไร้เดียงสาของอรินลดามองตามก่อนเห็นหลังกว้างหายไปและประตูห้องฝ่ายบุคคลเปิดออก ร่างเล็กหันมองและยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อเห็นมารดาก้าวออกมายืนปาดเหงื่อหน้าห้อง หนูน้อยกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วเข้าไปกอดขาอัยย์ญาดา
“แม่จ๋า...เราจะกลับบ้านใช่เป่าคะ”
“ค่ะ...ใช่...เราจะกลับบ้านกันแล้วนะคะ”
เธอตอบเสียงเนือย ๆ ขณะนึกถึงคำพูดของพนักงานฝ่ายบุคคลที่เข้าไปพบเมื่อครู่
“ดิฉันจะรับใบสมัครของคุณไว้ก่อนนะคะ แต่จะติดต่อไปเมื่อไหร่นั้นคงต้องเป็นไปตามขั้นตอนของทางโรงแรม แต่คิดว่าคงเร็ว ๆ นี้ค่ะเพราะท่านประธานพึ่งกลับจากเยอรมัน และตำแหน่งนี้ท่านอาจจะรับเรื่องไปพิจารณาด้วยตัวท่านเอง”
ซึ่งถ้าเร็ว ๆ นี้ก็คงจะดีไม่น้อย แต่แล้วความคิดของอัยย์ญาดาต้องชะงักลงเมื่อลูกน้อยกระตุกแขนเรียวเบา ๆ
“แม่จ๋าสัญญากับน้องเอ๋ยว่างายคะ”
“หืมม์?”
“แม่จ๋าบอกว่าจะพาน้องเอ๋ย...ไปกินขนมไง”
“อ๋อๆ...จ้ะๆๆ”
หญิงสาวรับปากแต่แอบลูบกระเป๋าเสื้อสูทและนึกอยู่ว่าวันนี้ใช้เงินเป็นค่ารถเดินทางไปสมัครงานหลายแห่งจนมันพร่องลงไปมาก และจริง ๆ แล้วตอนนี้การเงินของเธอง่อนแง่นอย่างถึงที่สุดหลังตกงานจากบริษัทเก่าที่เลย์ออฟพนักงานจากพิษเศรษฐกิจ อัยย์ญาดามีเงินเหลือเก็บจากการถูกเลิกจ้างพอประทังค่าใช้จ่ายไปได้หลายเดือนก็จริงแต่เงินใช้ไปก็ย่อมต้องร่อยหรอและเธอกำลังพยายามดิ้นรนหางานใหม่เพื่อแบกรับภาระมากมายที่แบกบนบ่า
อรินลดากำลังจะเข้าโรงเรียน แม่เธอป่วยเป็นโรคร้ายและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังพ่อเสียชีวิตไปกว่าสามปีบ้านที่จำนองไว้กำลังจะถูกยึด แต่เธอยังมีกำลังใจและคิดว่าสักวันจะพ้นจากปัญหาที่รุมเร้าหลังเก็บตัวอยู่ในบ้านตลอดระยะเวลาสองปีเมื่อต้องเป็นเจ้าสาวที่ถูกเจ้าบ่าวทิ้งกลางงานแต่งและเขาคนนั้นไม่รู้เลยว่าเธอตั้งครรภ์ได้เดือนกว่า ทุกอย่างในชีวิตของอัยย์ญาดาพังพินาศ ความฝันถูกกระชากลงเหวลึก นาฬิกาชีวิตราวกับหยุดเดินไปชั่วกัปชั่วกัลย์ในวัยเพียงสิบแปด ยังเยาว์เหลือเกินสำหรับฝันร้ายที่ทำให้เธออับอายจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ หากไม่มี...น้องเอ๋ย
“เดี๋ยวแม่จ๋าจะพาน้องเอ๋ยไปกินขนมอร่อย ๆ ก่อนกลับบ้านนะ น้องเอ๋ยยังไม่เหนื่อยใช่ไหม”
“น้องเอ๋ยไม่เหนื่อย...ม๊ายเหนื่อย”
เด็กหญิงกระโดดขึ้นลงเหมือนตุ๊กตาติดสปริงซึ่งเป็นนิสัยน่ารักน่าเอ็นดูประจำตัวก่อนทั้งสองจูงมือกันเดินออกไปถึงชั้นล็อบบี้ของ เดอะ รอยัล ไพรด์ โรงแรมหรูติดอันดับหนึ่งในห้าของประเทศ อัยย์ญาดาจูงลูกสาวเดินไปถึงบริเวณลานจอดรถหากก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสายตาคู่นั้นเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ต้องทำให้ชะงักกึก หญิงสาวราวกับถูกตรึงไว้ด้วยหมุดเหล็กเมื่อเห็นร่างสูงสง่าในชุดสูทสีเทาควันบุหรี่ก้าวขึ้นรถเก๋งเมอร์เซเดสเบนท์สีขาวโดยมีคนขับรถคอยเปิดและปิดประตูให้ เป็นใครคนนั้นที่เธอจำได้ไม่เคยลืม
“พี่โอม...”
อาการชะงักงันของอัยย์ญาดาพลอยทำให้ลูกสาวต้องหยุดตามแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแม่จึงไม่ก้าวต่อไปกระทั่งหนูน้อยต้องเขย่ามือเรียวบางที่เกาะกุมไว้
“แม่จ๋า...แม่จ๋า...แม่จ๋าเป็นอะไร...แม่จ๋าร้องไห้ทำไม”