“เดี๋ยวนะคะ ค่าเสียเวลาของคุณผู้ชายท่านนี้เท่าไหร่แน่คะ?” เธอยอมเสียมารยาท แทรกถาม เมื่อสะกดความอยากรู้ไว้ไม่ไหว
“ถามเป็นนาที หรือชั่วโมงดีครับ” ลูเซียนเป็นตอบเสียเอง
แลนเดนถึงกับชำเลืองมอง เขากลั้นยิ้ม ฉวยแก้วเปล่ามารินไวน์ให้ตัวเอง วันนี้เขาดื่มโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะไวน์ขวดนี้ ลูเซียนอาสาเป็นคนจ่ายให้
รมิดากลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคออีกแล้ว
“นาที” เธอครางเสียงหลง ไม่เคยรู้มาก่อน ราคาค่าตัวหนุ่มโฮสเขาคิดกันเป็นนาทีด้วย
“ครับใช่ ผมโคตรฮอต ดังนั้นค่าเสียเวลาของผมเลยแพงไปหน่อย” ลูเซียนไม่ได้คุย ทุกนาทีของเขามีราคาที่ต้องจ่าย หากหญิงตรงหน้ารู้ ทุกการสูดลมหายใจเข้าออกของเขา มีรายการเงินเข้าเท่าไหร่ หล่อนคงชักตาตั้ง
“แล้วมันเท่าไหร่ละคะ?” รมิดากลั้นใจถาม
แลนเดนเลิกหัวคิ้วขึ้นสูง ลูเซียนเลยผายมือ “ให้เจ้านายผม เป็นคนบอกดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าผมโม้”
เมื่อลูเซียนส่งไม้ต่อมาให้ แลนเดนทรงตัวลุกขึ้นยืน เขาเดินไปควานหาของบางอย่างที่โต๊ะทำงานด้านหลัง เขาเดินกลับมาพร้อมกับเครื่องคิดเลข ท่าทางแลนเดนเคร่งเครียดจนรมิดาหายใจไม่ทั่วท้อง
“สามแสนครับ สำหรับค่าเสียเวลาตอนนี้” สิ้นคำตอบ รมิดาเกือบทรุด ขาเธออ่อนยวบ เรี่ยวแรงหดหายไปดื้อๆ
“สามแสน คุณจะบ้าเหรอคะ!!” เธอทะลึ่งลุกขึ้นยืน ตะเบ็งถามเสียงแหลม
“ไม่บ้าหรอกครับคุณผู้หญิง นี่ผมคิดแค่สามสิบนาที หากคุณมัวโอ้เอ้ไม่ยอมจ่าย ราคาจะขยับขึ้นไปเรื่อยๆ นะครับ” แลนเดนตอบหน้าตาย
“คุณบ้าไปแล้ว” รมิดาพึมพำ
ลูเซียนขยิบตาส่งให้ แลนเดนเลยรีบยื่นข้อเสนอ “เอาอย่างนี้มั้ยครับ หากคุณพอใจ ‘เค้า’ คุณพาเข้าออกไปตกลงกันข้างนอกได้ วันนี้เขาแค่มารับจ็อบ ยังไม่ได้เริ่มงานจริงจัง”
เปลือกตารมิดากระพือปริบๆ ราคาที่เธอต้องจ่าย ทำงานทั้งปียังเก็บเงินจำนวนนี้ไม่ได้เลย เธอเม้มปาก “ตกลงค่ะ คุณออกไปกับฉัน เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
ลูเซียนยกมือปิดเหนือริมฝีปาก ไม่อย่างนั้นหญิงตรงหน้าจะจับได้ เขากำลังฉีกยิ้ม แววตาที่เฉยชาเป็นนิจก็ไหวระยิบระยับ
“ขอไวน์นี่ไปด้วยนะครับ เจ้านาย” ลูเซียนฉวยขวดไวน์ติดมือไปด้วย เขาถูกหญิงแปลกหน้ารั้งข้อมือ เดินออกไปนอกห้อง
“ลงบัญชีคุณนะครับ” แลนเดนตะโกนตามหลัง
“ได้!!” เสียงตอบกลับมา ผสมอารมณ์ยินดีแบบปิดไม่มิด
รมิดาฮึดฮัดมาตลอดทาง มือของเธอกำข้อมือใหญ่ๆ นั่นแทบไม่หมด แถมคนตัวใหญ่ที่เธอพยายามลากออกมาด้วย ก็พยายามขืนตัวหลายครั้ง เธอโมโหหนัก จนเห็นช้างตัวเท่ามดไปแล้ว
“ผู้หญิงที่ขนเงินมาเปย์ให้คนอย่างคุณนี่ ในสมองของพวกหล่อนคิดอะไรอยู่นะ” รมิดาบ่นพึมพำ
ลูเซียนพูดแทรก “คนอย่างผมเป็นยังไงเหรอครับ” เขาโน้มหน้าลงมาใกล้หญิงแปลกหน้าตรงหน้าด้วย ตอนที่เธอเอียงคอมอง เธอเลยผงะเล็กๆ เพราะปลายจมูกของเขาเฉียดข้างแก้มของเธอพอดี
“เอะ!”
“เอะอะไรครับ คุณยังไม่ตอบเลยนะ ผู้ชายอย่างผมเป็นยังไงในสายตาของคุณ” ลูเซียนถามย้ำ
“จะเป็นยังไงละคะ แค่หล่อ แค่ดูดี แค่มีเสน่ห์จนชักสายตากลับไม่ได้ อยากจ้อง อยากมองอยากลูบ....เอ๋ย ไม่ใช่!!” รมิดาพูดโพล่ง เธอแทบกัดลิ้นตาย เมื่อเผลอพูดความในใจของตนเองออกมา
ลูเซียนยืดตัวยืนตรง เขารีบสอดมือตนเองเก็บในกระเป๋ากางเกง ไม่อย่างนั้น เขาคงทำอะไรรุ่มร่าม จนหญิงตรงหน้าตื่นตกใจ
“คุณจะพาผมไปไหนครับ”
รมิดาถอนใจแรงๆ เธอหยุดเดิน เงยหน้ามองสบตาคนตัวใหญ่ “ไปห้องฉันสิ ที่อื่น ฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรอกค่ะ”
ทั้งที่เพิ่งมีความสุขหลังได้พักผ่อนในวันหยุดยาว แต่ความสุขเหล่านั้นก็ต้องควักสตางค์จ่ายไปไม่น้อย แถมหลังจากกลับจากต่างจังหวัด เงินเดือนบวกโบนัสของเธอก็ร่อยหรอลงเกือบหมด กว่าจะถึงสิ้นเดือน หรือวันเงินเดือนออกก็อีกแสนยาวนาน เธอไม่อยากอดขนาดต้องใช้น้ำลูบท้อง เพราะต้องเจียดเงิน จ่ายรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเลย
“ก็น่าสนใจนะ” ลูเซียนไหวไหล่ นาทีนี้ หากหญิงตรงหน้าจะพาเขาไปที่ไหน เขาก็เต็มใจอยู่แล้ว
ลูเซียนแอบวาดฝันในอากาศ บนเตียงที่คนสองคนปราศจากเสื้อผ้า หรือสิ่งอื่นใดที่รัดลึง เขาจะมีความสุขได้มากขนาดไหนนะ แต่แล้ว...ความฝันที่เขาวาดไว้ก็พังลงต่อหน้าต่อตา...
“แน่ใจนะ ว่าผมต้องนั่งเจ้านี่ไปกับคุณ” ลูเซียนเดินผ่านรถหรูของตนเองมาโดยไม่ปริปาก เขายืนท้าวเอวมองรถโดยสารประจำทางที่วิ่งเข้ามาจอดตรงหน้าด้วยแววตามีคำถามมากมาย
“แน่สิคะ ค่าแท็กซี่ตอนนี้ราคามหาโหดเลย ฉันจ่ายไม่ไหวหรอก”
ลูเซี่ยนยกมือตบหน้าผาก กลั้นใจพูด “ผมจ่ายเอง ผมไม่ยอมนั่งรถบุโรทั่งคันนี้เด็ดขาด”
รมิดาไหวไหล่ แบมือตรงหน้าลูเซียน “ค่ารถค่ะ น่าจะประมาณสามร้อย” เลยวันใหม่มาแล้วหนึ่งชั่วโมง หากวันพรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด รมิดาไม่มีทางสลัดผ้าห่มกระโจนลงจากเตียงนอนมาเที่ยวในย่านคนรวยแบบนี้หรอก
ลูเซียนตะปบกระเป๋ากางเกง สีหน้าเขาค่อยๆ ซีดลงเรื่อยๆ
‘เขาไม่เคยพกกระเป๋าสตางค์’ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาไม่มีสตางค์สักบาทเดียว แม้แต่บัตรเครดิตก็ไม่มี แถมโทรศัพท์ของเขาก็ไม่มีแอพพลิเคชันธนาคาร ส่วนใหญ่อดัม การ์ดของเขาจะเป็นคนจัดการให้
“ไม่มีสตางค์สินะ งั้นก็ขึ้นไป ฉันออกให้ก่อน วันหลังต้องเอามาคืนด้วยละ” รมิดาพูดเสียงขึงขัง เธอพยายามรั้งคนตัวใหญ่สุดแรงเกิด ลูเซียนขืนตัวสุดฤทธิ์ แต่...
“ถ้าไม่ขึ้น ก็แยกกันตรงนี้นะคะ” รมิดาหยุดรั้ง เธอยกมือท้าวเอว มองหน้าลูเซียนตาขวาง
ลูเซียนกลอกตามองบน เขาคิดในใจ ‘นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเขาต้องพกสตางค์หรือไม่ก็บัตรเครดิตบ้าง’ เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกต้อนจนจนมุมแบบครั้งนี้อีก
“โอ๊วะ!!” ลูเซียนอุทานเสียงหลง รถประจำทางกระชากออกจากจุดจอด จนเขาตั้งหลักไม่ทัน เขาเกือบล้ม ดีทว่ารมิดาดาช่วยประคองไว้
“โชคดีนะที่ขึ้นตอนดึก ถ้าเป็นเวลาปกติ ไม่มีที่ให้นั่งหรอกค่ะ” เธอกดหัวไหล่ลูเซียน ให้เขานั่งลงบนเบาะว่างๆ และเธอก็ทิ้งตัวนั่งด้านข้าง พร้อมกับบ่นพึมพำ “ท่าทางเหมือนไม่คุ้นกับการขึ้นรถสาธารณะเลยนะคะ”
ลูเซียนได้แต่ยิ้มกร่อยๆ เขาไม่เคยนั่งรถสาธารณะเลยตั้งแต่เกิด หากบอกหญิงด้านข้าง เธอคงไม่เชื่อหรอก
“ฉันข้องใจนานแล้ว แอกเซสซอรีของคุณนี่ ของก็อปใช่มั้ยคะ?” รมิดากลั้นความอยากรู้ไม่ไหว ทุกสิ่งบนร่างกายของชายตรงหน้า ดูมีราคา จนคนแบบเธอเข้าไม่ถึง
เป็นอีกครั้งที่ลูเซียนไม่คิดจะตอบ เขายกมือขึ้นกอดอก หลุบเปลือกตาลง
“ไม่ต้องอายหรอกค่ะ ฉันเองก็ใช้ของก็อปเกรดเอหลายชิ้นอยู่ ของจริงฉันสู้ราคาไม่ไหวหรอกค่ะ ฉันแค่มนุษย์เงินเดือนเองนี่คะ”
ลูเซียนหลับตาฟังเสียงบ่นพึมพำข้างตัว เสียงหงุงหงิงนั่นทำให้เขานึกถึงสัตว์เลี้ยงของตนเอง แมวน้อยจอมขี้เกียจและค่อนข้างเอาแต่ใจ สัตว์เลี้ยงที่เขาฟูมฟัก หมดสตางค์ไปกับค่าอาหารและของใช้ของเจ้าแมวตัวนั้นไม่น้อย แต่สิ่งที่เขาได้รับ กลับไม่เป็นตามที่ตัวเองต้องการ เขาเลี้ยงเจ้าแมวจอมหยิ่งนั่นเข้าปีที่สาม เขายังไม่สามารถอุ้ม หรือกอดมันได้เลย
“เชอะ!!”
“ถึงแล้ว เตรียมตัวลงเถอะค่ะ” ลูเซียนลืมตา เขามองแสงไฟน้อยนิดข้างทางแบบค่อนข้างงง
เขานั่งอยู่บนรถประจำทางคันนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ เขาไม่คิดว่าบนโลกใบเดียวกัน จะมีพื้นที่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแบบนี้เลย เขาเดินตามรมิดามาอย่างเงอะๆ งะๆ รอบตัวเขามีแต่ความมืด และความเงียบ แสงไฟที่เคยสว่างจ้าก็เหลือแค่น้อยนิด นอกจากแสงไฟจากเสาไฟข้างทาง นอกนั้น แทบไม่มีแสงสว่างจากที่ไหนเลย
“ที่นี่ที่ไหน?” เขาพึมพำถาม