ถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้สลบต่อไปเพื่อความแนบเนียน
จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงพรมจูบว่าที่ชายาของเขา ไม่สิ! นางเป็นชายาของเขาแล้วอย่างเต็มตัว เหลือแค่เพียงพิธีการก็เท่านั้น
เขาเริ่มที่จะรู้สึกได้แล้วว่าสตรีตรงหน้าคล้ายกับแน่นิ่งไป เขาจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากของนาง ก่อนจะก้มหน้าลงพิศมองนางในอ้อมกอดนิ่งงัน
เขาเห็นนางหลับตาพริ้ม ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง ริมฝีปากได้รูปบวมแดงจากการกระทำของเขา อา...ขอจูบต่ออีกทีหนึ่ง
คิดได้แล้วก็ก้มหน้าจูบชายาของตนต่อไป…
เฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าใช้วิธีนี้ไม่ได้ผลจึงหรี่ตามองบุรุษน่าตายผู้นี้อย่างนึกขัดเคืองขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ใช้แผนการอันใดดี? นางยังคงครุ่นคิดอยู่ในใจขณะยังคงถูกกดจูบดูดดันริมฝีปากอยู่อย่างนั้น
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เฉินเจียวเหมยก็ยังคงคิดแผนการใดๆ ไม่ออก เนื่องจากว่ายามนี้ นางไม่มีสมาธิเอาเสียเลย บุรุษน่าตายผู้นี้กำลังรบกวนสมาธิของนางอย่างไม่น่าให้อภัย
“ท่านหมอ” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นอยู่ทางด้านหน้าของโรงหมอ
เฉินเจียวเหมยกับจ้าวจิ่นหลงพลันตกใจจนผละริมฝีปากออกจากกันก่อนจ้องหน้ากันและกันอยู่นิ่งงันอยู่ในระยะที่ใกล้กันมากๆ
“ท่านหมอ” เสียงทางด้านหน้ายังคงเอ่ยเรียกขาน “ท่านหมออยู่หรือไม่”
“ปล่อยนะ” เฉินเจียวเหมยเอ่ยเสียงเบาดุดันใส่หน้าใครบางคนที่ถอนใบหน้าถอนริมฝีปากออกจากนางแล้วแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขนออกแต่อย่างใด
“...”
จ้าวจิ่นหลงได้แต่เงียบงันไร้การตอบสนองต่อน้ำเสียงดุดันของสตรีตรงหน้าแต่อย่างใด
เฉินเจียวเหมยจึงเอื้อมมือของตนขึ้นตีวงแขนแข็งแกร่งของเขาไปหนึ่งทีก่อนคำราม “ปล่อย!”
จ้าวจิ่นหลงจึงค่อยๆ ปล่อยวงแขนของตนออกจากร่างงามที่กำลังถลึงดวงตาสวยใสเข้าฟาดฟันเขาอย่างน่าเอ็นดู
เมื่อเฉินเจียวเหมยได้รับอิสระจากบุรุษตรงหน้าแล้วนางจึงค่อยๆ เบี่ยงตัวออกจากเขาอย่างระมัดระวัง
เมื่อเบี่ยงตัวออกมาห่างได้ระยะหนึ่งแล้วนางจึงวิ่งหนีผละออกไปอีกทางอย่างหนึ่งอย่างรวดเร็วในทันที
จ้าวจิ่นหลงถึงกับยืนนิ่งอึ้งไปอีกครา
“อ้าว!ท่านหมอ วิ่งไปไหน ท่าน!” เสียงของชาวบ้านคนนั้นตะโกนไล่หลังเฉินเจียวเหมยไปอย่างงุนงง
เขาเข้ามาเป็นรอบที่สองแล้ว แต่ทว่า...ท่านหมอเฉินก็ยังคงวิ่งหนีเขาไป ยาอันใดเขาก็ไม่กล้าหยิบเอาไปเอง แล้ววันนี้เขาจะได้กินยาหรือไม่กัน เขายังคงไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ
เฉินเจียวเหมยวิ่งหนีออกมาจากโรงหมออีกครั้งหนึ่งจนเหน็ดเหนื่อยแขนขาอ่อนแรง “อ๊ะ!” หญิงสาวอุทานออกมาเมื่อเดินสะดุดกับอะไรบางอย่างจนหน้าทิ่มชนเข้ากับกำแพงบ้านเรือนในตรอกแห่งหนึ่ง
นางถึงกับรู้สึกเจ็บที่บริเวณหน้าผากพลันคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างฉับไว
อา...คิดออกแล้ว แกล้งความจำเลอะเลือนดีหรือไม่
แล้วเป็นคนเสียสติคุยไม่รู้เรื่องไปเลยดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงตั้งใจเอาหน้าผากของตนกระแทกเบาๆ ไปที่กำแพงอีกสองทีเพื่อให้เกิดริ้วรอยสีแดงบนหน้าผากของนางเพิ่มเติมอีกหน่อย
ประเดี๋ยวค่อยไปทายาตามด้วยประคบก็หายดีแล้ว หญิงสาวคิดแผนการสำรองสำหรับรอยแดงอันนี้เอาไว้อยู่ภายในใจ
เวลาต่อมา...
เฉินเจียวเหมยแอบเดินเข้ามาทางด้านหลังของโรงหมออย่างระแวดระวัง เพราะเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการวิ่งหนีวกไปวนมาภายในหมู่บ้านอยู่หลายรอบ
หากนางเจอเขานางจะทำเป็นเสียสติจำเขาไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง คอยดู หึ!
หญิงสาวคิดอย่างนั้นพลางเดินเข้ามายังซอกหลืบตรงทางเดินเล็กแคบหลังโรงหมอของตนด้วยท่าทางมุ่งมั่นหมายมาด
และแล้วนางกลับต้องชะงักเพราะบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนกอดอกด้วยมาดของผู้สูงศักดิ์ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอยู่
ยืนรอเลยรึ!? เฉินเจียวเหมยถึงกับหรี่ตามอง
จ้าวจิ่นหลงที่คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีนางนี้จะต้องวิ่งหนีเขาจนเหน็ดเหนื่อยแล้วเดินกลับเข้ามายังโรงหมอของนางด้วยตัวของนางเอง
เขาจึงเพียงยืนรอนางอยู่อย่างใจเย็น
เมื่อเขามองเห็นนางกำลังเดินเข้ามาในโรงหมอเขาจึงเพียงแค่จ้องมองนางอยู่นิ่งๆ
เขาจะต้องคุยกับนางให้รู้เรื่องเสียที ฮึ!
“ท่านเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน ข้าเป็นใครกันนี่” เฉินเจียวเหมยเริ่มต้นบทบาทที่คิดเอาไว้พลางยกมือของตนขึ้นกุมศีรษะด้านหนึ่ง คงเหลือเอาไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อเผยให้เห็นรอยจ้ำสีแดงบนหน้าผาก “ได้โปรดข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย”
จ้าวจิ่นหลงเพียงหรี่ตามองใครบางคนที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย
เฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองไม่ถนัดเรื่องมารยาสักเท่าไหร่จึงได้แต่ทำแข็งใจตีเนียนต่อไปอย่างมึนๆ
“ท่านคงเป็นท่านหมอของที่นี่สินะ ท่านควรไปดูแลคนป่วยบ้านโน้น” ว่าแล้วก็วาดนิ้วพลางผินใบหน้าไปตามทิศทางอันไกลโพ้น
“ได้ข่าวว่าใกล้ตายแล้ว ท่านหมอรีบไปเลย” จบคำก็เดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้าแล้วผลักดันเขาให้ออกไปยังทิศทางที่นางวาดนิ้วชี้ไปเมื่อครู่
“ข้าว่าทางนี้มีคนป่วยมากกว่าทางนั้น” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ
“อา...ใช่...ข้าเองก็ป่วย ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ท่านรีบไป” เฉินเจียวเหมยยังคงตีเนียนหน้ามึนพลางฉุดดึงร่างของใครบางคนที่บัดนี้คล้ายกับรากไม้อีกแล้ว
“หากเจ้าจำสิ่งใดไม่ได้ ข้าจะบอกกล่าวให้” จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงขืนตัวเองเอาไว้ไม่ยอมขยับเอ่ยขึ้นเนิบนาบอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้า “ข้าเป็นสามีของเจ้า”
“...”
เฉินเจียวเหมยถึงกับนิ่งอึ้งไป
“เจ้าเป็นภรรยาของข้า”
“...”
เฉินเจียวเหมยถึงกับทำอันใดไม่ถูก
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปแต่งงาน”
ครานี้เฉินเจียวเหมยถึงกับตั้งท่าจะวิ่งหนี
จ้าวจิ่นหลงรู้ทันในท่าทีจึงตวัดวงแขนของตนโอบกอดเฉินเจียวเหมยเอาไว้อย่างแนบแน่น
“ปล่อยข้านะ” หญิงสาวดิ้นรนพลางตะโกนออกมา
“หยุดหนีเสียที” ชายหนุ่มเริ่มคำราม
“ไม่..” เฉินเจียวเหมยยังคงไม่ยินยอม
จ้าวจิ่นหลงยังคงไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน เขายังคงกอดรัดโรมรันเรือนร่างของเฉินเจียวเหมยเอาไว้โดยไม่คิดที่จะปล่อย
ไม่มีทาง!
“อาเหมย” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้นมาตรงทางด้านหน้าของโรงหมอ
“อาหยวน” เฉินเจียวเหมยที่จดจำน้ำเสียงของสหายนามว่าจูหยวนจางได้ นางจึงรีบตะโกนเรียกขานเขาในทันที
จ้าวจิ่นหลงถึงกับนิ่งอึ้งไป
เมื่อเฉินเจียวเหมยรู้สึกได้ถึงอาการนิ่งอึ้งเงียบงันของบุรุษที่กำลังโอบกอดนางอยู่ นางจึงรีบสลัดเขาออกจากวงแขนของเขาแล้ววิ่งไปทางจูหยวนจางในทันที
เมื่อจูหยวนจางเห็นเฉินเจียวเหมยวิ่งออกมาจนปรากฏกายแก่สายตาจึงรีบเอ่ย “ข้าจะเดินทางแล้ว ข้าจึงเข้ามาลาเจ้า”