ตอนที่๕ ทางหนีทีไล่

1365 Words
ถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้สลบต่อไปเพื่อความแนบเนียน จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงพรมจูบว่าที่ชายาของเขา ไม่สิ! นางเป็นชายาของเขาแล้วอย่างเต็มตัว เหลือแค่เพียงพิธีการก็เท่านั้น เขาเริ่มที่จะรู้สึกได้แล้วว่าสตรีตรงหน้าคล้ายกับแน่นิ่งไป เขาจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากของนาง ก่อนจะก้มหน้าลงพิศมองนางในอ้อมกอดนิ่งงัน เขาเห็นนางหลับตาพริ้ม ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง ริมฝีปากได้รูปบวมแดงจากการกระทำของเขา อา...ขอจูบต่ออีกทีหนึ่ง คิดได้แล้วก็ก้มหน้าจูบชายาของตนต่อไป… เฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าใช้วิธีนี้ไม่ได้ผลจึงหรี่ตามองบุรุษน่าตายผู้นี้อย่างนึกขัดเคืองขึ้นมาอยู่หลายส่วน ใช้แผนการอันใดดี? นางยังคงครุ่นคิดอยู่ในใจขณะยังคงถูกกดจูบดูดดันริมฝีปากอยู่อย่างนั้น เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เฉินเจียวเหมยก็ยังคงคิดแผนการใดๆ ไม่ออก เนื่องจากว่ายามนี้ นางไม่มีสมาธิเอาเสียเลย บุรุษน่าตายผู้นี้กำลังรบกวนสมาธิของนางอย่างไม่น่าให้อภัย “ท่านหมอ” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นอยู่ทางด้านหน้าของโรงหมอ เฉินเจียวเหมยกับจ้าวจิ่นหลงพลันตกใจจนผละริมฝีปากออกจากกันก่อนจ้องหน้ากันและกันอยู่นิ่งงันอยู่ในระยะที่ใกล้กันมากๆ “ท่านหมอ” เสียงทางด้านหน้ายังคงเอ่ยเรียกขาน “ท่านหมออยู่หรือไม่” “ปล่อยนะ” เฉินเจียวเหมยเอ่ยเสียงเบาดุดันใส่หน้าใครบางคนที่ถอนใบหน้าถอนริมฝีปากออกจากนางแล้วแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขนออกแต่อย่างใด “...” จ้าวจิ่นหลงได้แต่เงียบงันไร้การตอบสนองต่อน้ำเสียงดุดันของสตรีตรงหน้าแต่อย่างใด เฉินเจียวเหมยจึงเอื้อมมือของตนขึ้นตีวงแขนแข็งแกร่งของเขาไปหนึ่งทีก่อนคำราม “ปล่อย!” จ้าวจิ่นหลงจึงค่อยๆ ปล่อยวงแขนของตนออกจากร่างงามที่กำลังถลึงดวงตาสวยใสเข้าฟาดฟันเขาอย่างน่าเอ็นดู เมื่อเฉินเจียวเหมยได้รับอิสระจากบุรุษตรงหน้าแล้วนางจึงค่อยๆ เบี่ยงตัวออกจากเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อเบี่ยงตัวออกมาห่างได้ระยะหนึ่งแล้วนางจึงวิ่งหนีผละออกไปอีกทางอย่างหนึ่งอย่างรวดเร็วในทันที จ้าวจิ่นหลงถึงกับยืนนิ่งอึ้งไปอีกครา “อ้าว!ท่านหมอ วิ่งไปไหน ท่าน!” เสียงของชาวบ้านคนนั้นตะโกนไล่หลังเฉินเจียวเหมยไปอย่างงุนงง เขาเข้ามาเป็นรอบที่สองแล้ว แต่ทว่า...ท่านหมอเฉินก็ยังคงวิ่งหนีเขาไป ยาอันใดเขาก็ไม่กล้าหยิบเอาไปเอง แล้ววันนี้เขาจะได้กินยาหรือไม่กัน เขายังคงไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ เฉินเจียวเหมยวิ่งหนีออกมาจากโรงหมออีกครั้งหนึ่งจนเหน็ดเหนื่อยแขนขาอ่อนแรง “อ๊ะ!” หญิงสาวอุทานออกมาเมื่อเดินสะดุดกับอะไรบางอย่างจนหน้าทิ่มชนเข้ากับกำแพงบ้านเรือนในตรอกแห่งหนึ่ง นางถึงกับรู้สึกเจ็บที่บริเวณหน้าผากพลันคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างฉับไว อา...คิดออกแล้ว แกล้งความจำเลอะเลือนดีหรือไม่ แล้วเป็นคนเสียสติคุยไม่รู้เรื่องไปเลยดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงตั้งใจเอาหน้าผากของตนกระแทกเบาๆ ไปที่กำแพงอีกสองทีเพื่อให้เกิดริ้วรอยสีแดงบนหน้าผากของนางเพิ่มเติมอีกหน่อย ประเดี๋ยวค่อยไปทายาตามด้วยประคบก็หายดีแล้ว หญิงสาวคิดแผนการสำรองสำหรับรอยแดงอันนี้เอาไว้อยู่ภายในใจ เวลาต่อมา... เฉินเจียวเหมยแอบเดินเข้ามาทางด้านหลังของโรงหมออย่างระแวดระวัง เพราะเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการวิ่งหนีวกไปวนมาภายในหมู่บ้านอยู่หลายรอบ หากนางเจอเขานางจะทำเป็นเสียสติจำเขาไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง คอยดู หึ! หญิงสาวคิดอย่างนั้นพลางเดินเข้ามายังซอกหลืบตรงทางเดินเล็กแคบหลังโรงหมอของตนด้วยท่าทางมุ่งมั่นหมายมาด และแล้วนางกลับต้องชะงักเพราะบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนกอดอกด้วยมาดของผู้สูงศักดิ์ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอยู่ ยืนรอเลยรึ!? เฉินเจียวเหมยถึงกับหรี่ตามอง จ้าวจิ่นหลงที่คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีนางนี้จะต้องวิ่งหนีเขาจนเหน็ดเหนื่อยแล้วเดินกลับเข้ามายังโรงหมอของนางด้วยตัวของนางเอง เขาจึงเพียงยืนรอนางอยู่อย่างใจเย็น เมื่อเขามองเห็นนางกำลังเดินเข้ามาในโรงหมอเขาจึงเพียงแค่จ้องมองนางอยู่นิ่งๆ เขาจะต้องคุยกับนางให้รู้เรื่องเสียที ฮึ! “ท่านเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน ข้าเป็นใครกันนี่” เฉินเจียวเหมยเริ่มต้นบทบาทที่คิดเอาไว้พลางยกมือของตนขึ้นกุมศีรษะด้านหนึ่ง คงเหลือเอาไว้อีกด้านหนึ่งเพื่อเผยให้เห็นรอยจ้ำสีแดงบนหน้าผาก “ได้โปรดข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย” จ้าวจิ่นหลงเพียงหรี่ตามองใครบางคนที่ไม่แนบเนียนเอาเสียเลย เฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองไม่ถนัดเรื่องมารยาสักเท่าไหร่จึงได้แต่ทำแข็งใจตีเนียนต่อไปอย่างมึนๆ “ท่านคงเป็นท่านหมอของที่นี่สินะ ท่านควรไปดูแลคนป่วยบ้านโน้น” ว่าแล้วก็วาดนิ้วพลางผินใบหน้าไปตามทิศทางอันไกลโพ้น “ได้ข่าวว่าใกล้ตายแล้ว ท่านหมอรีบไปเลย” จบคำก็เดินเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้าแล้วผลักดันเขาให้ออกไปยังทิศทางที่นางวาดนิ้วชี้ไปเมื่อครู่ “ข้าว่าทางนี้มีคนป่วยมากกว่าทางนั้น” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ “อา...ใช่...ข้าเองก็ป่วย ข้าจำอะไรไม่ได้เลย ท่านรีบไป” เฉินเจียวเหมยยังคงตีเนียนหน้ามึนพลางฉุดดึงร่างของใครบางคนที่บัดนี้คล้ายกับรากไม้อีกแล้ว “หากเจ้าจำสิ่งใดไม่ได้ ข้าจะบอกกล่าวให้” จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงขืนตัวเองเอาไว้ไม่ยอมขยับเอ่ยขึ้นเนิบนาบอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้า “ข้าเป็นสามีของเจ้า” “...” เฉินเจียวเหมยถึงกับนิ่งอึ้งไป “เจ้าเป็นภรรยาของข้า” “...” เฉินเจียวเหมยถึงกับทำอันใดไม่ถูก “ข้าจะพาเจ้ากลับไปแต่งงาน” ครานี้เฉินเจียวเหมยถึงกับตั้งท่าจะวิ่งหนี จ้าวจิ่นหลงรู้ทันในท่าทีจึงตวัดวงแขนของตนโอบกอดเฉินเจียวเหมยเอาไว้อย่างแนบแน่น “ปล่อยข้านะ” หญิงสาวดิ้นรนพลางตะโกนออกมา “หยุดหนีเสียที” ชายหนุ่มเริ่มคำราม “ไม่..” เฉินเจียวเหมยยังคงไม่ยินยอม จ้าวจิ่นหลงยังคงไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน เขายังคงกอดรัดโรมรันเรือนร่างของเฉินเจียวเหมยเอาไว้โดยไม่คิดที่จะปล่อย ไม่มีทาง! “อาเหมย” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งพลันดังขึ้นมาตรงทางด้านหน้าของโรงหมอ “อาหยวน” เฉินเจียวเหมยที่จดจำน้ำเสียงของสหายนามว่าจูหยวนจางได้ นางจึงรีบตะโกนเรียกขานเขาในทันที จ้าวจิ่นหลงถึงกับนิ่งอึ้งไป เมื่อเฉินเจียวเหมยรู้สึกได้ถึงอาการนิ่งอึ้งเงียบงันของบุรุษที่กำลังโอบกอดนางอยู่ นางจึงรีบสลัดเขาออกจากวงแขนของเขาแล้ววิ่งไปทางจูหยวนจางในทันที เมื่อจูหยวนจางเห็นเฉินเจียวเหมยวิ่งออกมาจนปรากฏกายแก่สายตาจึงรีบเอ่ย “ข้าจะเดินทางแล้ว ข้าจึงเข้ามาลาเจ้า”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD