ตอนที่ 8
หกโมงเย็น งานเสียบบาร์บีคิวห้าร้อยไม้ งานหั่นสารพัดผักกับเนื้อตามคำสั่งแม่บ้านใหญ่ก็เสร็จสิ้น แล้วปรียาก็ต้องไปประจำตรงหน้าเตาเพื่อทำหน้าที่ปิ้ง
แม่บ้านใหญ่เริ่มทยอยปรุงอาหารแต่ละอย่าง ตามคำสั่งของคุณผู้หญิงที่เดินมาบอก ก่อนจะออกไปต้อนรับแขกที่เริ่มมาแล้ว
“แม่จ๋า! สุกหรือยังจ๊ะ เดียร์หิวจังเลย”
คนท้องอ่อนๆ กระซิบถาม ขณะมือกำลังปอกผลไม้ตามคำสั่งแม่บ้านใหญ่อยู่ตรงแคร่
“แป้บหนึ่งนะลูก ใกล้แล้ว”
ปรียารู้ว่าลูกหิว เพราะต่างก็ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเหมือนกัน หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ ตอนอยู่โรงพยาบาลนั้นไม่มีใครหิว และไม่มีใครคิดถึงอาหารเอาเสียเลย ในเมื่อมีเรื่องอื่นให้ต้องเสียอกเสียใจมาทำให้ลืมหิว
“เดียร์เอาจานมาใส่เร็วลูก”
พอบาร์บีคิวสุก ก็เลยจะส่งให้ลูกรองท้องสักสองไม้ก่อน
“อะไรกันยะหล่อน!!! ใจจริงจะกินก่อนเจ้านายเลยหรือไงยะ ฉันทำมาตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักคำ นี่พวกหล่อนเพิ่งมา จะกินแล้วเหรอยะ มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ!”
แต่ยังไม่ทันที่ไม้บาร์บีคิวจะวางลงจานด้วยซ้ำ แม่บ้านซึ่งดูเหมือนจะคอยจับตามองสองแม่ลูกอยู่ ก็มายืนเท้าสะเอวว่าให้ตรงประตูครัวแล้ว ความหิวของสองแม่ลูกจึงหดหาย แล้วแยกย้ายกลับไปทำงานของตัวเอง
โดยไม่เอ่ยอะไร แม่บ้านใหญ่ก็รีบกลับไปหาอาหารในกระทะ เพราะทำค้างไว้หลังเบาะปากใส่คนที่ตัวเองเกลียดโดยไม่มีเหตุผลส่วนตัว นอกจากเกลียดตามเจ้านายเท่านั้น
“นี่หล่อน! มาช่วยยกของออกไปเสิร์ฟหน่อยสิยะ บาร์บีคิวหยุดปิ้งไว้ก่อน”
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา สองแม่ลูกก็ถูกเรียกให้เข้าไปช่วยยกอาหารออกไปแล้ว ชุดแรกเป็นปูผัดผงกระหรี่ ปริยกรเห็นชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกในท้อง นั่งข้างกับอลิยามาแต่ไกล
หัวใจนั้นเต้นผิดจังหวะด้วยความเจ็บอย่างไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเขาตักอาหารใส่จานให้คู่หมั้น
แต่ก็พยายามควบคุมสองเท้าให้ก้าวเดินต่อ ควบคุมสองมือที่ประคองจานอาหาร ให้วางลงบนโต๊ะโดยไม่ให้ถูกตัวแขก ในใจก็อดถามไม่ได้ ว่าทำไมไม่จัดแบบบุฟเฟ่ต์เหมือนทุกครั้ง
จะได้ไม่ต้องคอยยกอาหารมาเสิร์ฟ คนในบ้านเหนื่อยเตรียมงานแล้ว ยังจะต้องเหนื่อยยกมาให้อีก และต้องยกกลับไปเก็บล้างอีกทอด
“มาเอาหม้อไฟไปเร็วๆ เข้าสิยะหล่อน คนอื่นเดินได้ตั้งหลายรอบแล้ว หล่อนสองคนแม่ลูกเพิ่งจะได้ไม่กี่รอบเอง”
พอเข้าในครัว ก็มีต้มยำหม้อไฟนับสิบใบรออยู่ ปรียาไม่อยากให้ลูกยกเท่าไหร่ เพราะน้ำในแกงเพิ่งตักออกจากหม้อใหญ่ยังร้อนอยู่ ไหนจะต้องจุดไฟใส่แอลกอฮอล์แข็ง ตอนยกไปวางให้แขกอีก ด้วยห่วงลูกที่ดูจะเหนื่อยและหิวไม่น้อย
“เดี๋ยวแม่ยกเองเดียร์”
“อะไรกันนักหนายะแม่คุณ! ลูกโตเป็นควายแล้ว! ยังจะกลัวเหนื่อยอีก รีบๆ ยกไปทั้งสองคนนั่นล่ะ แขกรอกินอยู่ อย่ามาพิรี้พิไรนักเลย รำคาญ!!!”
เมื่อถูกแม่บ้านแหวใส่ เลยจำต้องเปลี่ยนใจตรงไปหาหม้อไฟกับลูกแล้วยกไปคนละหม้อ โต๊ะของคุณผู้หญิงนั่งอยู่คือจุดหมาย ที่ถูกสั่งให้เอาไปเสิร์ฟให้ก่อน
ความร้อนกับระยะทางจากครัวไปหาสนามข้างบ้านไกลพอสมควร ทำให้ปริยกรต้องค่อยๆ ประคองหม้อเดินไป
พอถึงก็ค่อยๆ วางลงตรงช่องที่พอจะว่าง มีญาติผู้ใหญ่ของคุณผู้หญิงนั่งอยู่ ฝั่งตรงข้ามนั้นมีคุณหนูแอลกับคู่หมั้น ปริยกรไม่วายปรายตามองเขาตักอาหารใส่จานคนข้างๆ ขณะกำลังยกหม้อจะไปวางบนโต๊ะ เลยไม่ทันเห็นญาติผู้ใหญ่ที่นั่งอีกข้างผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ว๊ายๆๆๆ ร้อนๆๆๆ”
เป็นเหตุให้แกงในหม้อหกรดแขนตัวเองและถูกแขนแขกไปด้วย ความชุลมุนวุ่นวายจึงเกิดขึ้นในทันที อังคณานั่งอยู่ข้างสามีโกรธจนเลือดขึ้นหน้า รีบลุกพรวดพราดแล้วเดินตรงมาหาทันที
‘เผียะ!!!’
ฝ่ามือฟาดหนักๆ ลงไปหาแก้มขาว จนเปลี่ยนเป็นแดงทันที ปรียาตกใจรีบวางหม้อไว้บนโต๊ะ แล้ววิ่งไปหาลูกที่ยืนหน้าซีดปากสั่นอยู่ตรงนั้น เพราะไม่เคยถูกตบต่อหน้าแขกมาก่อน
“แกทำยังไง!!! ถึงให้แกงรดแขกของฉัน ไปให้พ้นๆ นะ อย่าสะเออะยกอาหารมาเสิร์ฟอีก ไป๊!!!”
ปรียารีบดึงแขนลูกพาเดินกลับทันที ไม่ได้แวะในครัวเหมือนทุกครั้ง แต่ตรงเข้าบ้านแล้วพาลูกไปล้างแขนกับรีบเอายาสีฟันมาทาตรงที่ถูกน้ำแกงร้อนๆ ราดรดลงมา
“เจ็บมากมั้ยลูก”
แม้ตอนถูกแกงหกรดใหม่ๆ ปริยกรจะเจ็บแสบที่แขนไม่น้อย แต่พอถูกตบฉาดใหญ่ ความเจ็บกายนั้นเทียบไม่ได้กับความเจ็บใจเอาเสียเลย อีกทั้งยังเสียใจที่พ่อผู้ให้กำเนิดไม่ได้ลุกมาปกป้องลูกคนนี้แม้แต่นิดเดียว เสียใจเมื่อชายคนที่ตัวเองรัก เพียงแค่ลุกขึ้นยืนแล้วมองมาหา โดยไม่คิดจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
‘เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อฐานะของเธอกับเขาในสายตาคนอื่น คือไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน’
หญิงสาวพยายามคิดในแง่ดี แม้น้ำตาจะไหลรินออกมาเป็นสายแล้วก็ตาม ร่างเล็กๆ ซบไปกับอกแม่ที่ร้องไห้ไม่ต่างกัน สองมือแม่ยกขึ้นลูบแผ่นหลังลูกไปมาด้วยความรักและห่วงใยยิ่ง
“เดียร์ไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวแล้วนอนพักนะ แม่จะกลับไปช่วยงานแล้วจะแอบเอามื้อเย็นมาให้”
“จ้ะ”
แม้ความหิวจะหดหายแล้ว แต่หญิงสาวก็ไม่อยากทำให้แม่ห่วงไปมากกว่านี้ เลยรับคำแล้วเดินเข้าห้องนอนไปทั้งน้ำตา กำลังจะถอนเสื้อผ้าออกเพื่อเช็ดตัว มือถือดังขึ้น พอรู้ว่าเป็นใครแค่นั้น มือบางรีบกดรับทันที
“คุณเป็นยังไงบ้าง ไปหาหมอมั้ย ผมจะให้คนมารอรับอยู่ที่เดิม”
น้ำเสียงของเขาที่ส่งมานั้นแผ่วเบา เดาได้ว่าอาจจะแอบออกไปคุยอยู่จุดใดจุดหนึ่งในงานแน่ แต่ก็แฝงความห่วงใยอยู่ในนั้นเต็มเปี่ยม