เดิมทีครอบครัวของนางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฝางร่วมกับชาวบ้านคนอื่นๆ แต่หลังจากที่มารดาได้คลอดมู่เกอบุตรชายคนโตออกมาอายุได้ 3 ปีก็มีอาการชักอยู่บ่อยๆ จนทำให้ชาวบ้านที่งมงายเรื่องภูตผีปีศาจสงสัยว่ามู่เกออาจจะถูกปีศาจร้ายเข้าสิง ขับไล่ครอบครัวสกุลมู่ออกมานอกหมู่บ้าน ปล่อยให้พวกเขาสร้างกระท่อมใช้ชีวิตกันเองเพื่อดูสถานการณ์ต่อไป
พอมู่เกออายุได้ 5 ปี มารดาก็คลอดมู่หรั่นชิวออกมาอีกคน พร้อมกับอาการชักของมู่เกอก็ค่อย ๆ หายไป แต่กลายเป็นว่าเขาเป็นเด็กที่มีปัญหาทางสมองเล็กน้อย เติบโตขึ้นมาเป็นคนทึ่มทื่อพูดช้าคิดช้า แต่ร่างกายกลับใหญ่โตแข็งแรงยิ่งนัก
ครอบครัวสกุลมู่ไม่ได้ย้ายกลับไปอยู่ในหมู่บ้านอีกต่อไปแม้ว่าข้อสงสัยในตัวมู่เกอจะหมดสิ้นไปแล้วทำให้เด็กๆ ไม่ค่อยได้ไปสุงสิงกับพวกชาวบ้านเท่าใดนัก เส้นทางที่จะเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อข้าวของก็ใช้คนละเส้นกับชาวบ้านในหมู่บ้าน 10 กว่าปีผ่านไปชาวบ้านจึงหลงลืมครอบครัวนี้ไป แม้จะมีหลายคนที่รู้จักพวกเขาแต่ก็ต่างคนต่างอยู่กันมานานไม่ได้มีการติดต่อไปมาหาสู่กัน
พวกเขามีบุตรชายหญิงเพิ่มขึ้นมารวมเป็น 4 คน แต่สุดท้ายเมื่อ 2 ปีก่อนสองสามีภรรยาก็จากไปเพราะพิษไข้ป่า มู่เกอพี่ใหญ่ในวัย 16 ปี จึงเลี้ยงดูน้องสามคนด้วยตนเองมาตลอด 2 ปี โดยอาศัยปลูกผักปลูกมัน จับสัตว์ไปขายแลกข้าวสารและเสื้อผ้ามาได้บ้าง
ไม่คิดว่าไม่นานเกิดการรบทางชายแดน ทางการจึงมาเรียกตัวชายหนุ่มอายุ 18 ปีจากทุกครอบครัวไปเป็นทหาร ซึ่งมู่เกอก็อายุเกือบจะครบ 19 ปีอยู่แล้ว หมู่บ้านฝางค่อนข้างจะใกล้พื้นที่ชายแดนจึงถูกคัดเลือกไปเป็นชุดแรกๆ ร่วมกับหมู่บ้านอื่นๆ คนในหมู่บ้านแจ้งกับทางการว่าบ้านสกุลมู่อยู่ทางนี้ พวกเขาไม่ได้รู้แม้แต่น้อยว่าสองสามีภรรยาได้จากไปแล้ว เหลือเพียง 4 พี่น้องใช้ชีวิตกันตามลำพัง
พอทหารมาเรียกตัวมู่เกอ เขาก็ไปที่หมู่บ้านโดยไม่ได้พูดคุยกับผู้ใด ชาวบ้านก็เห็นเพียงบุตรชายคนโตสกุลมู่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ แม้จะไม่ค่อยพูดแต่ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติ ซ้ำยังคิดว่าสองสามีภรรยาดูแลบุตรชายได้ดียิ่งนัก พวกเขารู้จากทหารว่ามู่เกอมีน้องอยู่ที่บ้านอีก 3 คน แต่ทุกคนเข้าใจว่าสองสามีภรรยาคงจะออกไปหาของป่าหรือเข้าเมืองไม่อยู่บ้านเท่านั้น
มู่เกอไม่ได้มีอาการเสียใจใดๆ เขาทำตามหน้าที่ในทุกช่วงชีวิตของตนอย่างดีมาโดยตลอด เมื่อครั้งบิดามารดายังอยู่ก็ช่วยเพาะปลูก ล่าสัตว์ พอต้องเลี้ยงน้องก็ทุ่มเทดูแลน้องสุดความสามารถเท่าที่สมองของเขาจะอำนวย พอทางการให้ไปเป็นทหาร ก็กลับมาเล่าให้น้องสามคนฟังด้วยความภาคภูมิใจ ร่ำลาจากน้องทั้งสามออกจากกระท่อมหลังน้อยไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
กลับเป็นมู่หรงฉีที่รับปากรับคำพี่ชายคนโตเป็นอย่างดี ให้เขาดูแลตัวเองให้ดี ไม่ต้องห่วงน้องทั้งสามคน เขาจะดูแลพี่สาวและน้องสาวต่อไปเอง ทั้ง ๆ ที่ตนก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะต้องพบเจอสถานการณ์ใดบ้าง
มู่หรั่นชิวที่ได้อาหารรองท้องทำให้หายตาลาย พอจะมีเรี่ยวแรงกลับคืนมาบ้างแล้ว มองน้องสองคนด้วยความอดสู พวกเขารู้ว่าพี่ชายของตนหัวช้า พี่สาวอ่อนแอและเจ้าอารมณ์ แต่สองเด็กน้อยกลับกล้าหาญไม่เคยร้องไห้งอแง ทำการเพาะปลูกอย่างไม่รู้ประสีประสาดูแลนางมาได้นานถึง 2 เดือน
หากมู่หรั่นชิวคนก่อนยังไม่ตาย ด้วยข้าวสารที่นับเม็ดได้ในบ้าน ต้นมันที่ไม่เติบโตเพราะเด็กๆ ดูแลพวกมันไม่เป็น และยังถูกขุดกินมาจนเกือบหมดไม่ได้ทำการเพาะปลูกสิ่งใดลงไปใหม่ ทั้ง 3 ชีวิตจะต้องอดตายไปในไม่ช้าอยู่ดี เว้นเสียแต่พวกเขาจะสามารถวิ่งไปขออาหารที่วัดหนานผูบนภูเขาได้ทุกวัน แต่ในเมื่อนางมาใช้ร่างของเด็กสาวผู้นี้แล้ว ด้วยอายุ 18 ปีในชาติก่อนก็น่าจะพอเลี้ยงดู 3 ชีวิตไม่ให้อดตายไปได้กระมัง
หญิงสาวจัดการหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้เด็กสองคน พาพวกเขาไปล้างมือที่บ่อน้ำหลังกระท่อม ส่วนตนเองก็พยายามล้างคราบเลือดที่แห้งกรังติดกับเส้นผมสีเหลืองแห้งของตนเองออก บาดแผลบริเวณขมับซ้ายปากแผลปิดไปแล้วจากเลือดที่แห้ง นางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ไปแตะต้องบาดแผลตรงนั้น เพราะยังไม่รู้ว่านางจะหายามาใส่บาดแผลได้อย่างไร
มู่หรั่นชิวส่งเด็กน้อยสองคนเข้านอน กางผ้าห่มออกมาคลุมร่างเด็กน้อยอย่างเบามือ มู่หรงฉีและมู่หยวนน้ำตาคลอเบ้า ลอบสะอึกสะอื้นเพราะไม่เคยได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยนเช่นนี้จากพี่สาวคนรองเลยสักครั้ง แม้แต่พี่ใหญ่มู่เกอก็ไม่เคยเช็ดหน้าล้างมือพาพวกเขาเข้านอนมาก่อน ทำได้เพียงเป็นเพื่อนเล่นสนุกและหาของกินให้สามพี่น้องได้กินประทังชีวิตไปเท่านั้น
พอเด็กๆ หลับไปแล้ว มู่หรั่นชิวจึงเดินสำรวจข้าวของภายในกระท่อมอีกครั้ง ยามนี้สิ่งที่สามพี่น้องขาดคืออาหาร นางรู้ว่าข้าวสารไม่เหลือแล้วจึงหวังว่าจะพบของมีค่าอะไรสักอย่าง หากจำเป็นต้องขายของเพื่อแลกกับข้าวสารนางก็คงจะต้องทำ
เดิมทีกระท่อมหลังนี้ยังมีส่วนที่เป็นห้องนอนอีกสองห้อง แต่หลังคาและไม้โครงสร้างหลายจุดมันผุพังจนไม่สามารถเข้าไปพักอาศัยได้อีกต่อไป พวกเขาจึงต้องมานอนรวมกันอยู่ภายในห้องที่ควรจะเป็นห้องโถงของบ้านเพียงห้องเดียว
มู่หรั่นชิวเปิดผ้าม่านที่กั้นห้องเก่าของบิดามารดาเข้าไป นางพบว่ามีโอ่งดินเผาใบเล็กๆ ที่มู่เกอใช้เก็บเมล็ดพันธุ์พืชผักเอาไว้ในนั้นอยู่หลายชนิด มู่หรงฉีและมู่หยวนแต่เดิมทำเพียงช่วยรดน้ำต้นไม้เก็บผักมาปรุงอาหาร ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการเพาะปลูกต้องใช้เมล็ด มู่หรั่นชิวคนเก่าที่แทบจะไม่ออกจากเรือนก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาจึงเห็นสองพี่น้องใช้ถังตักน้ำเดินรดไปทั่วผืนดินว่างเปล่าที่ไม่มีพืชผักใดๆ ปลูกอยู่ ด้วยเข้าใจว่ารดน้ำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวผักก็จะเติบโตขึ้นมาเอง
"มีเมล็ดพันธุ์ผักเหล่านี้ก็ยังพอแลกเปลี่ยนข้าวสารมาได้บ้าง"
เด็กสาวพยายามค้นหาสิ่งของมีค่าต่อไปจากห้องที่ผุพังทั้งสองห้องนั้น แต่ก็ไม่พบอะไรเพิ่มเติม ข้าวของส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ในการดำรงชีพพวกเครื่องครัว และอุปกรณ์ทำไร่ทำสวน กับผ้าที่ยังไม่ได้ตัดเย็บอีก 1 พับ นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งใดอีก
นางพยายามแตะตรงนั้นแตะตรงนี้ทั่วร่างกายของตนเอง เพื่อมองหาว่าจะมีมิติวิเศษเหมือนคนที่หลุดเข้ามาในนิยายหรือต่างโลกที่เคยอ่านเจอในนิยายเขามีกันแต่ก็ไม่พบอะไร นางไม่มีตัวช่วย มีเพียงสมองที่จดจำเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตในวัย 18 ปี ของชาติก่อนติดตัวมาเท่านั้น
มู่หรั่นชิวคนเก่าเคยเข้าไปในเมืองและไปที่วัดหนานผู เพราะนางไม่ค่อยแข็งแรงบิดาจึงอุ้มนางไปหาหมอในเมือง และไปหานักพรตที่วัดเพื่อให้ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกจากร่าง
“ถ้าเข้าเมืองเพื่อขายเมล็ดพันธุ์คงไม่มีผู้ใดยอมซื้อกระมัง ดีไม่ดีอาจถูกข่มเหงเอาเปรียบได้อีก เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเอาเมล็ดพันธุ์ไปแลกกับข้าวสารที่วัดหนานผูน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด” เด็กสาวรำพันกับตัวเองเบาๆ
วัดหนานผู มีอารามดับทุกข์ที่สร้างไว้ตรงเชิงเขาหลังวัดอยู่หนึ่งหลัง ที่นั่นเดิมทีตั้งใจจะสร้างเอาไว้ให้คนที่เดินทางมาทำบุญที่วัดใช้พักอาศัยชั่วคราว จะได้ไม่ต้องไปอยู่รวมปะปนกับนักบวชในวัดบนภูเขา แต่ต่อมาไม่รู้ว่าชาวบ้านค้นพบวิธีดับทุกข์กันอีท่าไหน จึงได้ทิ้งเด็กที่พวกเขาเข้าใจว่ามีปีศาจมาสิงสู่อยู่เอาไว้ที่อารามแห่งนั้น นานเข้าก็มีเด็กมากมายถูกทิ้งไว้เป็นภาระให้กับนักบวชและนักพรตในวัดที่ไม่ได้เต็มใจรับเลี้ยงเด็ก หรือสร้างอารามดับทุกข์ไว้ให้รองรับเด็กเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย